ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งจัดการได้ง่ายขึ้น
อาศัยโอกาสที่เหวินจู๋มารับของขวัญตรุษจีน สืออีเหนียงรั้งให้นางอยู่พูดคุยต่อ
“…เจ้าอายุมากกว่าคุณชายน้อยสองและเป็นสตรี ต้องระมัดระวัง มีบางเรื่องที่ข้าทำได้เพียงกำชับเจ้า” นางให้บ่าวรับใช้ในห้องออกไป “ชีวิตคนเราไม่ควรสูญเปล่า และควรทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง คุณชายน้อยสองอยู่ที่เล่ออาน มีอาจารย์เจียงแล้วก็ยังมีสหายร่วมชั้นเรียน เจ้าต้องคอยจับตาดูอย่างละเอียด อย่าให้คุณชายน้อยสองเดินทางที่ผิดเด็ดขาด มิเช่นนั้นอนาคตของคุณชายน้อยสองก็จะจบลง คนที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายอย่างพวกเจ้าก็จะจบลงเช่นกัน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ใบหน้าของเหวินจู๋ก็ซีดเผือก คุกเข่าลงตรงหน้าสืออีเหนียง “ฮูหยิน บ่าวสาบาน…”
“ข้าเชื่อใจเจ้า” สืออีเหนียงพูดตัดบนสนทนาของนาง จับมือนางแล้วพูดว่า “ดังนั้นข้าจึงได้กำชับเจ้าอย่างเงียบๆ เรื่องอันใดก็ตาม หากเป็นสิ่งที่ถูกต้องก็จะทำได้อย่างมั่นใจ เจ้าเป็นคนฉลาด ควรรู้ว่าข้าหมายถึงอะไร!”
เหวินจู๋รู้สึกสับสนแต่ก็พยักหน้าอย่างงุนงง เมื่อลมหนาวปะทะใบหน้าถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองเดินออกมาจากเรือนของฮูหยินตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
สืออีเหนียงเห็นว่าเหวินจู๋เป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่าย จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตั้งใจเตรียมพร้อมสำหรับฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ
เดือนสิบสองวันที่ยี่สิบสี่ตามปฏิทินจันทรคติได้มีการบวงสรวงเทพเจ้าแห่งเตาไฟ เปลี่ยนคำมงคลกับยันต์ไม้ท้อ ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถู จุดตะเกียงสว่างไสวต้อนรับตรุษจีน
สืออีเหนียงให้เหวินอี๋เหนียงช่วยหู่พั่วแจกจ่ายอั่งเปาให้แต่ละเรือน
เหวินอี๋เหนียงเห็นลี่ว์อวิ๋นชงชาน้ำตาลแดงให้สืออีเหนียงก็ถอนหายใจเล็กน้อยแล้วกลับไปบอกชิวหงว่า “คนจะเข้มแข็งแค่ไหนก็หนีไม่พ้นโชคชะตาชีวิต เจ้าดูฮูหยินสิ ไม่ว่าด้านไหนนางก็อยู่เป็นอันดับแรก แต่การมีทายาทก็ยังเป็นเรื่องยาก คงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง”
หู่พั่วก็แอบเป็นกังวล
วันสุดท้ายของปีตอนที่นมัสการพระโพธิสัตว์ นางแอบอธิฐานไว้ว่าวันแรกของปีและวันที่สิบห้าจะทานมังสวิรัติ
สืออีเหนียงรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
ก่อนอื่นต้องเตรียมพร้อมสำหรับวันตรุษจีน เมื่อถึงวันที่หนึ่งตอนเช้าตรู่ก็ต้องเข้าวังเพื่อไปถวายพระพร หวงฮูหยินจวนหย่งชังโหว หลินฮูหยินและคนอื่นๆ ตามมาเล่นไพ่เป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน แม้ว่านางจะไม่ต้องยืนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่สามารถหลบไปอยู่ในห้องได้ พอถึงกลางคืนจึงได้มีเวลาอาบน้ำ
สวีลิ่งอี๋ให้คนยกเตาเข้ามาสี่ห้าเตา
“เจ้าอยากสะอาดหรืออยากจะมีชีวิตอยู่”
แม้ว่าในเรือนจะอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็อับชื้น
สืออีเหนียงไอไปพลางพูดไปว่า “ข้าอยากสะอาดมากกว่า!”
สวีลิ่งอี๋หมดปัญญา จากนั้นก็ให้คนเอาเตาออกไป เปลี่ยนผ้าห่มให้หนาขึ้นแล้วนอนกอดนาง
“โชคดีที่ช่วงนี้เจ้าไม่ต้องออกไปข้างนอก” ตอนนี้สกุลหลัวไม่อยู่ที่อวี๋หัง วันที่สองและวันที่สามจึงไม่ต้องไปเยี่ยมญาติ “เจ้าอยู่พักผ่อนที่เรือนเถิด หากท่านแม่ถามก็บอกว่าไม่สบายเล็กน้อย”
สืออีเหนียงพยักหน้า ไม่นานนักนางก็หลับสนิท
เมื่อถึงวันที่สองสวีลิ่งอี๋ไปเยี่ยมอวี๋อี๋ชิงกับเฉียนหมิงคนเดียว วันที่สามเรือนนอกก็เริ่มต้อนรับแขกที่มาอวยพรวันตรุษจีน
สืออีเหนียงมีความสุขที่ได้มีเวลาว่าง เอาถ่านมาคั่วถั่วปากอ้าทานกับสวีซื่ออวี้และสวีซื่อเจี้ย เมื่อถึงวันที่สี่เริ่มปรับตัวได้จึงเปลี่ยนมาใส่เสื้อแขนยาวสีแดงคอยต้อนรับแขกในเรือน แขกไปใครมาก็พากันคุยไปหัวเราะไป ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว
หลังจากชมโคมไฟและได้รับโคมไฟสีแดงสำหรับเทศกาลแล้วสืออีเหนียงก็ไปยังจวนจงฉินปั๋ว
กานไท่ฮูหยินให้สาวใช้น้อยไปเอากระเทียมล่าปามาสองไห
“เมื่อก่อนตอนยังเป็นสาวข้าชำนาญในการทำกระเทียมล่าปามากที่สุด ตอนที่ท่านปั๋วคนเก่ายังอยู่บอกว่าทานแล้วมีกลิ่นแรงจึงไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว ปีนี้มีเวลาว่าง ครู่เดียวก็ทำได้ถึงสิบไห ไหหนึ่งให้เจ้า อีกไหหนึ่งให้อาจารย์เจี่ยน พวกเจ้าลองชิมดูว่าฝีมือข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วให้ลี่ว์อวิ๋นไปรับมา
“ร้านพร้อมเปิดกิจการในวันที่สิบแปดเดือนหนึ่ง”
นางปรึกษากับกานไท่ฮูหยิน “อาจารย์เจี่ยนอยากจะหาคนที่มีทักษะอีกสักสองสามคนมาเป็นผู้ช่วยเสริม”
“เรื่องพวกนี้พวกเจ้าตัดสินใจกันเองเถิด” กานไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “พี่ใหญ่ของข้ามาตอนฉลองเทศกาลตรุษจีน พอรู้ว่าพวกเราหาเงินได้ สายตาที่เขาใช้มองข้าก็เปลี่ยนไป” นางยิ้มอย่างมีความสุขเป็นอย่างมาก “ข้าภูมิใจจนไม่รู้ว่าจะภูมิใจอย่างไรแล้ว สองวันก่อนพี่สะใภ้ข้าก็ยังมาปรึกษากับข้าเรื่องงานแต่งของหลานสาวข้า ราวกับว่าจู่ๆ ข้าก็กลายเป็นคนที่มีความสามารถขึ้นมา”
สืออีเหนียงหลุดหัวเราะเสียงดัง
กานไท่ฮูหยินเอ่ยขอร้องสืออีเหนียง “หลานสาวของข้าปีนี้ก็อายุสิบสองปีแล้ว ทั้งหน้าตาและนิสัยก็ถือว่าดี เจ้าช่วยดูให้หน่อยว่ามีคนที่เหมาะสมหรือไม่ ฝากเจ้าช่วยดูที”
สืออีเหนียงนึกถึงคุณนายใหญ่สกุลหลินขึ้นมา “เด็กผู้ชายสกุลเซ่ามีเยอะแยะมากมาย แต่น่าเสียดายที่อยู่แดนไกลอย่างชังโจว” จากนั้นก็นึกถึงโจวฮูหยิน “สกุลหวังเองก็มีบุรุษที่บรรลุนิติภาวะเยอะแยะเช่นกัน”
“เจ้าช่วยไปสืบมาให้หน่อย เมื่อถึงเวลาพี่สะใภ้ข้าจะดูอย่างละเอียดอีกที”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นาน สืออีเหนียงทานอาหารกลางวันอยู่ที่เรือนของกานไท่ฮูหยินก่อนจะกลับมา
ใครจะรู้ว่าโจวฮูหยินมารออยู่ในห้องตั้งนานแล้ว
“ข้าอยู่เรือนก็ไม่ดี ออกมาก็ไม่มีที่ไป” นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีฟ้าลายดอกไม้ สวมต่างหูเม็ดทับทิมสีแดง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข “กลัวคนอื่นจะถามข้า”
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเรื่องเศร้าอะไร
สืออีเหนียงเชิญนางเข้าไปพูดคุยที่ห้องด้านใน “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
โจวฮูหยินกลั้นยิ้ม
แม้ว่าในห้องจะไม่มีใคร แต่นางก็ยังคงพูดเสียงเบา “คนผู้นั้นในสกุลของข้าเกิดอยากจะซื้อตัวป้ารับใช้ผู้ดูแลที่อยู่ข้างกายข้า ข้าจึงวางแผนซ้อนแผนปล่อยให้นางเข้าใกล้นายท่านได้ตามต้องการ สุดท้ายเมื่อวานผลตรวจออกมาว่านางตั้งครรภ์แล้ว” ขณะที่พูดดวงตาของนางนั้นดูระแวงอยู่ตลอด “ตอนนี้องค์หญิงรู้แล้ว คงหนีไม่พ้นคำตำหนิต่อว่าเขา ข้ากลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะกลัวขายหน้า ดังนั้นจึงได้ตั้งใจหลบออกมา”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าที่โจวฮูหยินบอกว่า ‘ได้ตัดสินใจไว้นานแล้ว’ จะเป็นเช่นนี้
“เด็กคนนั้น…” นางอดพึมพำไม่ได้
“ก็ต้องดูว่าองค์หญิงคิดอย่างไรแล้ว!” โจวฮูหยินยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอย่างไม่ใส่ใจ “ชาเถี่ยกวนอินนี้เลิศรสยิ่งนัก!” นางชมรสชาติชาก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “หากทิ้งลูกแล้วเก็บแม่ไว้ เช่นนั้นต่อไปนางก็อย่าได้คิดที่จะมีบุตรอีก!” ดวงตาของโจวฮูหยินเปล่งประกาย คนสมัยก่อนเวลาคลอดบุตรนั้นอันตรายมาก โดยเฉพาะผู้ที่คลอดยากแล้วหยุดคลอดกลางครรภ์ ก็จะมีโอกาสเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดมากขึ้น “หากทิ้งแม่แล้วเก็บเด็กไว้” มุมปากของโจวฮูหยินเผยให้เห็นรอยยิ้มประชดประชัน “ข้าอยากจะเลี้ยงอย่างไรก็จะเลี้ยงอย่างนั้น!”
สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ ในใจ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “บ้านเกิดข้าได้ส่งห่านมาสองสามตัว พี่หญิงอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนเถิด!”
“เอาสิ!” โจวฮูหยินอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ยิ้มแล้วพูดว่า “ไปคารวะไท่ฮูหยินก่อน จากนั้นพวกเราพี่น้องค่อยมาคุยกันต่อ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพานางไปนั่งเล่นกับไท่ฮูหยิน เมื่อกลับมาก็พูดถึงเรื่องที่กานไท่ฮูหยินมีหลานสาวที่อายุเหมาะสมที่จะแต่งงานแล้ว โจวฮูหยินให้สัญญาว่าจะช่วยดูให้ หลังจากทานอาหารเย็นแล้วสืออีเหนียงก็ไปส่งนางที่ประตูฉุยฮวา มองรถม้าของนางจากไปไกลก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าเรือน
ไม่กี่วันต่อมาก็มีข่าวจากสกุลโจว
หยางอี๋เหนียงสกุลโจวแท้งบุตรทำให้ถึงแก่ชีวิต
“เจ้าไปได้ยินใครพูดมา” หยางอี๋เหนียงสกุลสวีได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าซีดเซียว นางจับมือของป้าหยางไว้แน่น
“ได้ยินสาวใช้น้อยที่อยู่เรือนเหวินอี๋เหนียงพูดกันเจ้าค่ะ” ป้าหยางน้ำตาคลอ “ตอนที่ผู้ดูแลของสกุลโจวมาเหวินอี๋เหนียงกำลังช่วยตรวจบัญชีอยู่ที่เรือนฮูหยินเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” หยางอี๋เหนียงมองป้าหยางด้วยสีหน้าตกใจ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “พี่หญิงห้าเป็นคนฉลาดขนาดนั้น จะมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร…” ขณะที่พูด ภาพดวงตาอันเฉื่อยชาของเฉียวเหลียนฝังก็พลันปรากฏขึ้นในหัวของนาง หยางอี๋เหนียงดีดตัวขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ป้าหยาง ป้าหยาง ภาพลวดลายเด็กน้อยกำลังละเล่นกันอยู่ของข้าอยู่ไหน เจ้าช่วยข้าหาที ข้าจะปักเสื้อแขนยาวให้ฮูหยิน…”
******
สืออีเหนียงหยุดเข็มกับด้ายในมือพลางอ้าปากหาว ถามสวีลิ่งอี๋ด้วยน้ำเสียงสะลึมสะลือว่า “คุณชายสามว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“พูดถึงเรื่องของฉินเกอกับเจี่ยนเกอ” สวีลิ่งอี๋เก็บจดหมาย เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าที่ปิดไม่อยู่ของสืออีเหนียง “ที่ซานหยางไม่มีอาจารย์ดีๆ ทำให้สองปีมานี้การเรียนของเด็กสองคนนี้ล่าช้าไป อยากจะส่งเด็กสองคนนี้กลับมาเรียนที่เยี่ยนจิง” จากนั้นก็แตะหน้าผากนาง “เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือ” น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงอดหาวอีกครั้งไม่ได้ “ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตั้งแต่ฉลองตรุษจีนจนมาถึงตอนนี้ก็รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอด”
“อาจเป็นเพราะฤดูใบไม้ผลิทำให้รู้สึกง่วง” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะง่วงในฤดูใบไม้ผลิ” แล้วพูดเสียงเบาว่า “มีเรื่องอันใดก็มอบหมายให้บรรดาสาวใช้ทำ รีบไปพักผ่อนเถิด!”
สืออีเหนียงพยักหน้า ขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ ไม่นานก็หลับไป
สวีลิ่งอี๋มองไปที่ใบหน้าอันงดงามของนางแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ จูบแก้มนางเบาๆ ก่อนจะเป่าตะเกียงให้ดับลง
ยามเที่ยงของวันรุ่งขึ้น หมอหลวงหลิวมาที่จวน
“ท่านโหวบอกว่าฮูหยินไม่ค่อยสบาย ให้ข้ามาตรวจดูสักหน่อย”
หมอหลวงหลิวอยู่นอกมุ้ง ใช้ผ้าเช็ดหน้าวางบนข้อมือแล้วตรวจชีพจร หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูว่า “ชีพจรของฮูหยินสงบ ยังมีเรี่ยวแรงดี อาจเป็นเพราะฤดูใบไม้ผลิจึงทำให้รู้สึกง่วง”
เมื่อได้ฟังแล้วสวีลิ่งอี๋ถึงได้วางใจลง
สืออีเหนียงอาศัยช่วงที่อากาศดีให้สาวใช้น้อยไปเอากล่องข้าว ห่อผ้า และถุงใส่ของกินใบเล็กที่สวีซื่ออวี้เอาเข้าสอบเมื่อปีที่แล้วมา
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “กว่าเขาจะสอบก็ตั้งเดือนสี่ ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะจัดการสิ่งเหล่านี้”
“ช่วงนี้อากาศดี” สืออีเหนียงเห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยจึงยิ้มแล้วพูดว่า “จะว่าไปแล้วปีที่แล้วก็นำของพวกนี้เข้าไปที่สนามสอบ สุดท้ายก็สอบผ่านระดับเขตได้อย่างราบรื่น ดังนั้นข้าจึงได้ตั้งใจเก็บไว้ ปีนี้ก็ใช้ของพวกนี้ จะได้อาศัยความโชคดีของปีที่แล้วเจ้าค่ะ”
ขณะที่สองสามีภรรยายืนพูดคุยกันท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็มาพอดี
ทั้งสองคนคำนับสวีลิ่งอี๋อย่างนอบน้อม จากนั้นก็ไปยืนอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง
คนหนึ่งพูดว่า “อาจารย์บอกว่า การวางแผนของทั้งปีเริ่มต้นจากฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นพรุ่งนี้จะพาพวกเราไปปีนเขาที่ซีซาน แล้วค่อยพูดคุยว่าปีนี้เตรียมจะทำอะไรบ้าง”
ส่วนอีกคนหนึ่งพูดว่า “ท่านแม่ พวกเราจะไปปีนเขาที่ซีซาน อาจารย์บอกว่าต้องเอาของกินไปด้วย ท่านทำขนมชุนเซียงให้พวกเราได้หรือไม่ขอรับ”
สืออีเหนียงกอดบุตรชายคนเล็กเอาไว้ ยิ้มแล้วพูดกับบุตชายคนโตกว่าว่า “สิ่งที่พวกเจ้าจะเอาไปต้องเขียนเป็นรายการออกมา แล้วข้าจะช่วยเตรียมตามรายการของพวกเจ้า”
ทั้งสองคนโห่ร้องด้วยความดีใจพลางเดินเข้าไปในห้อง
สืออีเหนียงถูกลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน นางปิดปากหาวหนึ่งที
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็ใจเต้นเล็กน้อย
นี่ก็ต้นเดือนสองแล้ว เหตุใดสืออีเหนียงถึงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก…
เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกราวกับถูกทอดอยู่บนกระทะแต่กลับไม่สามารถส่งเสียงได้
เป็นเพราะประจำเดือนคลาดเคลื่อนหรือว่า…
“กลับไปพักผ่อนในเรือนเถิด” เขากลั้นใจไม่ไปพยุงนาง “เอาแต่หาวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดี”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “นี่พึ่งจะผ่านต้นยามโหย่วมาจะให้ไปพักผ่อนได้อย่างไรกัน”
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “มิเช่นนั้นก็ไปนั่งอยู่ที่เรือนท่านแม่เถิด วันนี้พวกเราจะไม่ทานอาหารเย็นที่นั่นแล้ว เช่นนี้เจ้าก็จะได้พักผ่อนเร็วขึ้นหน่อย” คำพูดเหมือนเป็นการปรึกษา แต่ยังไม่ทันให้สืออีเหนียงตอบรับก็ตะโกนเรียกหู่พั่วให้ช่วยดูแลสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ย จากนั้นก็ไปเรือนไท่ฮูหยิน
สืออีเหนียงคิดว่าเขาเองก็ทำเพราะความหวังดีจึงตามไปนั่งเล่นที่เรือนไท่ฮูหยิน
กลับมาทานอาหารที่เรือน พอหัวแตะหมอนก็หลับไปจนรุ่งสาง จากนั้นก็ทานโจ๊กข้าวฟ่างหนึ่งชามและซาลาเปาไส้เนื้อสองลูกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ทำให้ความมีชีวิตชีวากลับคืนมา
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจอยู่ในใจ
ดูเหมือนว่าตัวเองจะเดาผิดไป…