อวิ๋นปี้ลั่วยืนอยู่ด้านข้าง มองตามสายตาของเขาไป ดวงตาของนางดำทะมึน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงไม่พูดอะไร ผิวสีขาวหยกของเขาเรืองแสงเล็กน้อย
ดวงตาคมปลาบอันเย็นชาคู่นั้นหลุบลงมองพื้น ล้อมด้วยแพขนตายาวหนาที่ทิ้งตัวลงจนเกิดเป็นเงาเหมือนปีกอีกาใต้ตา เมื่อเห็นสีหน้าของเขา แม้แต่อวิ๋นปี้ลั่วก็ยังคาดเดาความคิดของเขาไม่ออก
มันทำให้อวิ๋นปี้ลั่วค่อนข้างรู้สึกจนปัญญาทีเดียว เพราะเขาเป็นคนที่ยากจะคาดเดาได้มาตั้งแต่ยังเด็ก
แม้ว่าเขาจะสนใจเฮ่อเหลียนเวยเวยจริง แต่ความรู้สึกนั้นก็น่าจะหมดลงแล้วเพราะเขารังเกียจเหยื่อที่มีมลทิน
ดวงตาของอวิ๋นปี้ลั่วทอเป็นประกายเล็กน้อยเมื่อนางคิดถึงสิ่งที่นางได้ยินมาก่อนหน้านี้ นางรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเฮ่อเหลียนเวยเวยกับฝ่าบาทนั้นดูต่างออกไปจากในอดีต
ในที่สุดนางก็รู้เหตุผลแล้วว่าทำไมมันถึงได้ดูต่างออกไป
มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองตกลงเข้าพิธีอภิเษกสมรสร่วมกัน
ดูเหมือนว่านางจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้มากขึ้นเสียแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่คิดที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่อวิ๋นปี้ลั่วกำลังคิดอยู่ สิ่งงเดียวที่เขาต้องการมากที่สุดในเวลานี้คือความสงบ
เป็นเพราะเขาเกรงว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายในใจที่อาจจะเผลอฉีกเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นชิ้นๆ เอาไว้ได้
“นายท่าน...”
ไม่มีทางที่กิเลนอัคคีจะสัมผัสถึงพลังปราณที่เปลี่ยนแปลงไปของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ กิเลนอัคคีปรากฏตัวขึ้นเมื่อมันเห็นว่าพลังเวทเริ่มแทรกซึมเข้าไปในดวงตาของผู้เป็นนาย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรีบเดินออกไปจากหอน้ำชา จากนั้นเขาก็ต่อยผนังหินอย่างแรง
ปัง! เขาคลายกำปั้นออก แล้วสูดหายใจเข้าลึก
ความรู้สึกเจ็บปวดจากหมัดนั้นช่วยทำให้สมองของเขาปลอดโปร่ง และทำให้อารมณ์ของเขากลับมาสงบลงเล็กน้อย จากนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ส่งเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา และกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติต่อมันอย่างไร มันก็ยังไม่รู้จักบุญคุณอยู่วันยังค่ำ”
สายลมพัดเส้นผมของเขาจนปลิวไสว ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองนิ้วของตนที่อาบไปด้วยเลือด ดวงตาสีดำราวน้ำหมึกของเขาดูเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่แน่ใจว่านางเห็นภาพหลอนหรือเปล่า แต่นางรู้สึกว่าห้องทั้งห้องดูมืดมิดเหมือนกับตอนที่พระอาทิตย์ถูกเมฆบดบังจนเหลือเพียงแสงสลัว
“เจ้าคิดถึงองค์ชายสามอยู่หรือ” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังก้องขึ้นข้างหูของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยปรายตามองทางต้นเสียง และเห็นเฮยเจ๋อในชุดเสื้อคลุมสีขาวกำลังดื่มชาอยู่ ริมฝีปากของเขาโค้งขึ้นด้วยความขบขัน ดวงตาสีดำของเขากระจ่างสดใส เขาขยับถ้วยชาที่ถืออยู่ในมือไปสัมผัสเข้ากับใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย
“เปล่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบทันควัน “ความสัมพันธ์ของข้ากับเขาไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเฮยเจ๋อก็เผยความขบขันออกมา “เช่นนั้นมันควรจะเป็นเช่นใดรึ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเจ้าสองคนเป็นเรื่องโกหกหรือไร”
หากมันไม่จริง เด็กสาวคนนี้ก็คงไม่บอกให้เขาเตรียมอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับหนีออกจากเมืองหลวงให้มากมายขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยวางแผนที่จะอยู่ในวังหลวงตลอดไป
“พวกเรายังเคยเข้าห้องหอร่วมกันมาแล้วด้วยซ้ำ มันจะไม่จริงได้อย่างไร” นางจิบชาด้วยท่าทางสบายๆ และพยายามจะเปลี่ยนประเด็น
แต่เฮยเจ๋อก็ฉลาดเป็นกรด
“อย่าปฏิเสธอีกเลยน่า เจ้าบอกให้ข้าเตรียมของสำหรับใช้หนีออกจากเมืองหลวงให้ตั้งมาก แน่นอนว่าแผนการนี้เข้าท่าดีทีเดียว ในฐานะพี่ชาย ข้าเคยบอกเจ้าเอาไว้แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วองค์ชายก็จะต้องเลือกพระสนม เจ้าก็ได้พบกับอวิ๋นปี้ลั่วแล้วนี่ มีความเป็นไปได้ทีเดียวว่านางจะใช้โอกาสนี้เข้ามาเป็นหนึ่งในบรรดานางสนมของเขา ข้ารู้นิสัยของเจ้าดี ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าก็เลยสงสัยว่าเจ้ายอมตกลงที่จะเป็นหมากขององค์ชายสามได้อย่างไร แต่จากที่ข้าสังเกตดูตอนนี้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าคงบรรลุข้อตกลงร่วมกันแล้วล่ะสิ ถูกไหม”
“เขาไม่ได้ใช้ข้าเป็นหมาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางถ้วยชาลง “พวกเราตกลงว่าจะช่วยเหลือกันด้วยความสมัครใจทั้งสองฝ่าย ข้าช่วยเขาหยุดอดีตฮ่องเต้ที่คะยั้นคะยอให้เขาแต่งงาน ส่วนเขาก็จะให้การสนับสนุนข้า ทำให้ข้าสามารถทวงคืนตระกูลเฮ่อเหลียนกลับมาได้ในระหว่างการประชุมประจำตระกูล ข้าบอกให้เจ้าช่วยเตรียมของพวกนี้เอาไว้เป็นทางออกสุดท้ายเท่านั้น”
เฮยเจ๋อมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาลึกล้ำ แล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่คิดว่าองค์ชายสามจะชอบความคิดที่ว่าเจ้ามีทางออกสุดท้ายรออยู่เท่าใดนัก เขาอาจจะไม่อยากให้เจ้าไปจากวังหลวง…”
“ข้าไม่เหมาะจะอยู่ที่วังหลวง มีผู้หญิงแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานมากเกินไป คนอย่างข้าสมควรที่จะใช้ชีวิตสบายๆ ร่วมกับใครสักคน โดยไม่ต้องมีใครมารบกวนต่างหาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพลางจิบชา และเล่นกับถ้วยชาในมือ
เฮยเจ๋อมองสีหน้าใจลอยของนาง และนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของนางพร้อมกับหัวเราะอย่างอวดดี แล้วกล่าวว่า “หลังออกจากเมืองหลวงแล้วเจ้าค่อยๆ ใช้เวลาลองคิดดูก็ยังได้ อย่างไรเสียเจ้าก็มีเงินอยู่แล้ว ไม่ว่าเจ้าอยากปลูกอะไร ข้าก็เชื่อว่าเจ้าจะปลูกมันได้สำเร็จอย่างแน่นอน”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเรื่องทรัพย์สินของตัวเอง อารมณ์ของนางก็ดีขึ้นเล็กน้อย มุมปากของนางกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะเอ่ยว่า “ข้าอยากออกจากเมืองหลวงก็จริง แล้วเจ้าล่ะ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้เจ้ามีชีวิตที่ดีมากทีเดียวนี่ เรื่องพวกนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า”
“เรื่องอะไรรึ” เฮยเจ๋อถามพร้อมกับหมุนจอกเหล้าในมืออย่างเกียจคร้าน
“ก็เรื่องที่ว่าเจ้ามีความสัมพันธ์ทั้งกับบุรุษและสตรีอย่างไรล่ะ” นางตอบ
เฮยเจ๋อถึงกับสำลักเหล้าออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเสียงดัง แล้วดื่มชาต่ออีกสองสามอึก สีหน้าของนางดูคล้ายกับจิ้งจอกตัวน้อยจอมเจ้าเล่ห์
คนบางคนก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเราไม่รู้จักพวกเขาดีพอ ก็จะไม่รู้ว่าที่จริงแล้วพวกเขาพูดเก่งเพียงใด
เฮยเจ๋อจ้องเฮ่อเหลียนเวยเวย “นั่นมันเรื่องไร้สาระอะไรกัน!”
“ข้างนอกเขาลือกันให้ทั่วแน่ะ มีคนพูดกันว่าคุณชายเฮยทำตัวเรียบร้อยอยู่กับร่องกับรอยเกินไปจนเขาอาจจะไม่แตะต้องหญิงใดอีก หรือไม่เขาก็คงจะชอบผู้ชายมากกว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเหน็บแนมใส่เฮยเจ๋อ แล้วพูดต่อ “มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับเพื่อนสมัยเด็กของเจ้าหรือ”
เฮยเจ๋อไอออกมาสองสามครั้ง ก่อนตอบว่า “นังหนู อย่ายื่นจมูกเข้ามาสอดรู้เรื่องผู้ใหญ่หน่อยเลย ตอนนี้เจ้าสารภาพมาได้แล้วว่าเหตุผลที่มาพบพี่ชายคราวนี้คืออะไรกันแน่”
ในตอนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังจะอ้าปาก หูของนางก็ได้ยินเสียงอะไรเข้าเสียก่อน นางหันไปมองที่มุมหนึ่งของชั้นสองทันที
คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากอวิ๋นปี้ลั่ว นางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยดวงตาที่เอ่อท้นไปด้วยน้ำตา นางเข้ามาหาเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วถาม “แม่นางเวยเวย พวกเรานั่งคุยกันหน่อยได้หรือเปล่า”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกอดอก พร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ และตอบว่า “ข้าต้องขอโทษด้วย แต่ข้าไม่มีอารมณ์จะคุยกับเจ้าตอนนี้ ดังนั้นเจ้ากลับไปได้แล้ว”
นางไม่แน่ใจว่าอวิ๋นปี้ลั่วได้ยินเรื่องนั้นเข้าหรือเปล่า แต่ตอนนี้นางไม่สนใจอีกแล้ว ถ้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลือกนางจริงๆ เขาก็คงจะบอกเรื่องข้อตกลงระหว่างพวกนางให้นางรู้เรียบร้อยแล้ว
เดิมทีนางคิดว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเข้าใจว่าความสนใจของเขาคือการล่าเหยื่อ แต่เมื่อผ่านมาถึงจุดหนึ่งนางก็เริ่มคิดว่าเขาอาจจะชอบนางอยู่เล็กน้อย
ตอนนี้พอลองมาคิดดูอีกที บางทีนางอาจจะเสียสติจนคิดมากไปเอง
อย่างไรเสียอวิ๋นปี้ลั่วก็ยังอยู่ที่นี่ นางเป็นสาวใช้ที่ติดตามอยู่เคียงข้างเขามาหลายปี…
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ถนัดเรื่องการรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือนางไม่ชอบผู้หญิงเจ้ามารยาเช่นนี้
อวิ๋นปี้ลั่วสูดหายใจเข้าลึก ดวงตาของนางเริ่มแดงก่ำ ขณะที่นางเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าการมีอยู่ของข้าทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนถูกคุกคาม หากไม่ใช่เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในปีนั้นละก็ ข้าคงจะ…”
อวิ๋นปี้ลั่วหยุดพูดไปครู่หนึ่งราวกับกำลังกลั้นน้ำตา จากนั้นนางจึงพูดต่อ “หลังจากนี้สองวันจะเป็นวันคัดเลือกพระสนม ข้าหวังว่าเจ้าจะมอบโอกาสให้ข้าได้อยู่เคียงข้างเขา”