เฮ่อเหลียนเวยเวยหันกลับไปด้วยดวงตาราวกับเยาะเย้ย “สิ่งที่ข้ารับไม่ได้ก็คือความเฮงซวยและความอกตัญญูของเจ้าต่างหาก มู่หรงฉางเฟิง เก็บคำพูดของเจ้าเอาไว้เถอะ แทนที่จะมาปรากฏตัวต่อหน้าข้า ทำไมเจ้าถึงไม่ใช้เวลานี้คิดว่าจะยกฐานะของตนให้ดีขึ้นได้อย่างไรแทนล่ะ เหตุผลที่ตอนแรกเจ้าเขี่ยข้าทิ้งเมื่อคราวก่อนก็เพราะอย่างนี้มิใช่หรือ ในใจของเจ้า การแต่งงานก็เป็นเพียงแค่บันไดสำหรับหน้าที่การงานของเจ้าเท่านั้น”
สีหน้าของมู่หรงฉางเฟิงเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย เขากำมือแน่นจนข้อนิ้วลั่น จากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะเย้ยว่า “แล้วองค์ชายสามไม่ได้แต่งงานเพื่อยกฐานะของตนหรือ หน้าตาอย่างเจ้า เจ้าคิดว่าเขาจะยอมให้เจ้าอยู่เคียงข้างเขาได้อีกนานแค่ไหนหรือ ความคิดนี้ก็น่าจะผุดขึ้นมาในสมองของเจ้าตั้งแต่ตอนที่เจ้าแต่งงานกับเขาแล้วมิใช่หรือ ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าจะบอกให้เฮยเจ๋อเตรียมหนทางหนีให้เจ้าไปทำไม”
“ก็เรื่องของพวกข้า ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เฮ่อเหลียนเวยเวยปรายตามองเขาด้วยสายตาเฉยเมย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กินหัวไชเท้าดองเค็มแล้วยังจะกลัวเสียอีก[1]“
“เจ้า!” มู่หรงฉางงเฟิงมองด้านหลังของคนที่เขาไม่อาจเข้าใกล้ได้อีก นอกจากความหงุดหงิดแล้ว ในใจของเขายังเต็มไปด้วยความว่างเปล่าอันไม่อาจเติมเต็มได้
อวิ๋นปี้ลั่วยืนอยู่ใต้ต้นฮว๋ายไม่ไกลจากที่นั่นนัก มุมปากของนางกระตุกขึ้น
นางนำบทสนทนาระหว่างเฮ่อเหลียนเวยเวยกับมู่หรงฉางเฟิงภายในหอน้ำชาที่นางได้ยินมาพิจารณา
สรุปว่าการอภิเษกสมรสระหว่างเฮ่อเหลียนเวยเวยกับฝ่าบาทก็เป็นเพียงแค่ข้อตกลงที่มีร่วมกันเท่านั้น
เป็นเช่นนี้นี่เอง
ริมฝีปากบางของอวิ๋นปี้ลั่วโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม มันก็เป็นแค่ความสัมพันธ์แบบมีประโยชน์ร่วมกัน
เช่นนั้นก็คงง่ายทีเดียว…
ในเวลานั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยที่เพิ่งออกจากย่านการค้าตั้งใจจะใช้โอกาสที่นางยังพอมีเวลาว่างเหลืออยู่นี้แวะไปหาชิงหลงที่อยู่ก้นทะเลสาบชิงหลงเสียหน่อย
แต่ทะเลสาบชิงหลงกลับมีหมอกหนาทึบมากกว่าทุกที ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเผลอขมวดคิ้วเข้าหากัน
“มีบางอย่างผิดปกติ” หยวนหมิงเตือนให้เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับ “แม่นาง อย่าเดินไปไกลกว่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักฝีเท้ากลางคัน “มีอะไรหรือ”
“ไอหมอกที่อยู่ที่นี่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเจ้าในเวลานี้” ดวงตาของหยวนหมิงหรี่ลง “หลังผ่านวันเสพสังวาสไปแล้วเจ้าค่อยกลับมาก็ยังได้ หากไม่เช่นนั้น เจ้าคงไม่มีทางผ่านพ้นคืนวันพระจันทร์เต็มดวงไปได้แน่ ความต้องการของเจ้าจะระเบิดออกมา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองหมอกที่อยู่รอบทะเลสาบชิงหลง “เป็นเพราะหมอกพวกนี้หรือ”
“นี่ไม่ใช่หมอกธรรมดา” ดวงตาของหยวนหมิงหม่นแสง “ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาใช้วิธีการใด แต่มีใครบางคนรวบรวมปราณแห่งความโกรธแค้นจากทั่วทั้งสำนักมาไว้ที่นี่ และในเวลานี้ เจ้าก็ไม่ควรที่จะเดินเข้าไปในนั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรกับชิงหลงดี”
“ยกให้คนอื่นจัดการเสีย” น้ำเสียงของหยวนหมิงเจือไปด้วยความจริงจังอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก “นายน้อยตระกูลเฮยเป็นคนแน่วแน่ และไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากปราณแห่งความโกรธแค้นพวกนี้ หลังจากเจ้าผ่านคืนพระจันทร์เต็มดวงไปได้แล้ว เจ้าค่อยกลับมาหาชิงหลง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดตาม พร้อมกับละสายตาจากทะเลสาบชิงหลง “เช่นนั้นพวกเราคงทำได้เพียงแค่นี้”
แต่ใครกันที่ทุ่มเทความพยายามมากมายถึงเพียงนี้เพื่อทำลายปราณมงคลภายในสำนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้ว่าทำไม แต่นางรู้สึกว่าตัวการของเรื่องนี้อยู่ในสำนักนี้นี่เอง
ซ่า!
ผิวทะเลสาบมีน้ำกระเพื่อมขึ้นจนกลายเป็นวง
ในเวลาเดียวกันกับที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคุยกับหยวนหมิงอยู่นั้น ก็มีรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูสัมฤทธิ์ของตระกูลเฮยซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง
“ฮูหยิน คุณหนู พวกเรามาถึงแล้วขอรับ” บ่าวรับใช้เปิดม่านรถม้าออก
หญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากรถม้า ผมสีดำที่ผ่านการหวีจัดทรงมาเป็นอย่างดีที่ด้านหลังของนางยาวถึงเอว ดวงตาของนางทั้งสองข้างใสเหมือนแก้ว มันเต็มไปด้วยเสน่ห์น่าดึงดูดยากที่ชายใดจะต้านทานได้ นางดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
แต่ดูจากเสื้อผ้าราคาแพงที่เด็กสาวสวมอยู่นั้น ก็บอกได้ไม่ยากว่านางเป็นคนมีฐานะ ยิ่งกว่านั้นแม้ใบหน้าของนางจะมีผ้าพันแผลสีขาวปิดบังเอาไว้ แต่ดูจากโครงหน้าของนางแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่านางคือเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่หายตัวไปในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเพื่อหนีข่าวลือนั่นเอง
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ได้พักผ่อนเต็มที่ตอนอยู่นอกเมือง และเห็นได้ชัดว่านางกลับมาด้วยกำลังใจที่ดียิ่งกว่าที่เคย
ซูเหยียนโม่ยืนอยู่ข้างนางพร้อมกับเกี่ยวแขนของตนไว้กับบุตรสาว สองแม่ลูกดูยิ้มแย้มอารมณ์ดี
พวกนางรอวันนี้มานานเหลือเกิน
ในที่สุดองค์ชายสามก็จะเลือกพระสนม และสำหรับพวกนาง นี่นับว่าเป็นข่าวดีอย่างมาก
นังคนอัปลักษณ์เฮ่อเหลียนเวยเวยจะต้องพ่ายแพ้จนหมดรูป
สองแม่ลูกเดินทางออกจากเมืองโดยตั้งใจว่าจะปล่อยให้ข่าวลือในเมืองเงียบลงเสียก่อนแล้วค่อยกลับมา
แต่ซูเหยียนโม่กลับคาดไม่ถึงเลยว่านางจะบังเอิญได้รับข่าวที่น่าตกใจอย่างอื่นมาแทน
นางเจอเบาะแสที่จะนำไปสู่กองกำลังลับเข้า
ซูเหยียนโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณให้สาวใช้ของตนรออยู่ข้างนอก นางปั้นหน้าเครียด พลางเดินเข้าไปในจวนตระกูลเฮย
“พวกข้าขอทราบได้หรือไม่ขอรับว่าฮูหยินมาที่จวนตระกูลเฮยด้วยเหตุอันใด” ทหารรักษาการณ์ด้านนอกหันมองฮูหยินซูที่กำลังเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้ามา
“พี่ชายสองท่านนี้ ข้ารบกวนช่วยไปแจ้งข้างในให้ที บอกพวกเขาว่าฮูหยินซูจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์มาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องกองกำลังลับกับเขาก็พอ” ซูเหยียนโม่อ้างชื่อคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม พลางคิดว่าผู้อาวุโสเฮยจะต้องเชิญนางเข้าไปในจวนอย่างแน่นอน
“ขอฮูหยินโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานท่านผู้อาวุโสให้ขอรับ” ทันทีที่ทหารทั้งสองนายได้ยินเรื่องกองกำลังลับ พวกเขาก็ลอบมองตากัน
หนึ่งในนั้นกลับหลังหันแล้วเดินหายเข้าไปในจวนตระกูลเฮย
ทันใดนั้นนายทหารคนที่เพิ่งเดินเข้าไปเมื่อครู่ก็เดินกลับออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาบอกกับฮูหยินซูว่า “ฮูหยินขอรับ ตระกูลเฮยจะต้อนรับแค่เพียงสมาชิกที่แท้จริงของตระกูลเฮ่อเหลียนเท่านั้น”
“สมาชิกที่แท้จริงของตระกูลเฮ่อเหลียนหรือ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ถามอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้ใช้สกุลเฮ่อเหลียนอยู่หรือไร”
ทหารนายนั้นมองนาง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ทายาทที่มีเลือดของนายท่านเฮ่อเหลียนคนก่อนไหลเวียนอยู่ในร่างคงไม่ใช่คุณหนูที่ยืนอยู่ตรงนี้แน่”
“แต่ข้าก็ยังมีสิทธิ์ที่จะได้พบกับกองกำลังลับมิใช่หรือ” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ขึ้นเสียงอย่างอดไม่ไหว “ตระกูลเฮ่อเหลียนกำลังจะเปลี่ยนผ่านมาอยู่ในมือของท่านพ่อของข้า และข้าก็เป็นทายาทของท่านพ่อ เมื่อถึงเวลานั้น กองกำลังลับจะกลับมาผงาดขึ้นอีกครั้งภายใต้การควบคุมของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ และคงจะดีที่สุดหากให้ข้าได้เข้าพบกองกำลังลับเพื่อทำความเข้าใจกับพวกเขาให้ดีเสียก่อน”
ทหารนายนั้นไม่ขยับเขยื้อน “การเข้าพบกองกำลังลับนั้นจำเป็นต้องแสดงตราทัพเสียก่อนขอรับ ส่วนท่าน คุณหนู ท่านไม่มีตราทัพ อีกทั้งยังไม่ได้ถูกนับว่าเป็นสมาชิกที่แท้จริงของงตระกูลเฮ่อเหลียนอีกด้วย ดังนั้นกรุณากลับไปเถอะขอรับ”
หลังจากพูดจบ ทหารรักษาการณ์ทั้งสองก็ไม่แม้แต่จะมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อีก และหันกลับไปสนใจกับสิ่งรอบข้างแทนราวกับว่าสองแม่ลูกที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นไม่มีตัวตน
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของทหารนายนั้น ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของซูเหยียนโม่ก็พลันเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง นางคิดว่าการพาเจียวเอ๋อร์มาด้วยเช่นนี้ แล้วฐานะพระชายากลับชาติมาเกิดที่เจียวเอ๋อร์มีจะสามารถเบิกทางให้พวกนางได้ไม่ว่าพวกนางจะไปที่ใด อย่างแย่ที่สุดพวกนางก็คงจะยังได้พบกับผู้อาวุโสเฮยบ้าง
ตราบใดที่พวกนางได้พบผู้อาวุโสเฮย อย่างน้อยพวกนางก็น่าจะได้รู้เรื่องของกองกำลังลับมากกว่านี้ผ่านทางเขา ต่อให้พวกนางจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังลับนั่นก็ตาม
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าผู้อาวุโสเฮยจะไม่ให้เกียรตินางแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำยังไม่ให้พวกนางก้าวผ่านประตูจวนของตระกูลเฮยเข้าไปเลยด้วยซ้ำ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูเหยียนโม่ก็กัดฟันกรอด นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังกลับขึ้นรถม้าด้วยใบหน้าดำทะมึน
—————————————–
[1] กินหัวไชเท้าดองเค็มแล้วยังจะกลัวเสียอีก (咸吃萝卜淡操心) เป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเทียบกับคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านไปทั่วทั้งที่ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย