งานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่ทำให้เมืองหลวงคึกคักกว่าปีใหม่
“คนมากมายเข้าร่วมเพื่อการคัดเลือกพระชายาของท่านอ๋อง” อาเถียนพูดกลั้วหัวเราะ “เหล่าสตรีที่ถึงเวลาสมรสจากตระกูลจุนนางต่างเดินทางมา”
สาวรับใช้เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อต่างอดหัวเราะไม่ได้ ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อ่อนเยาว์ชอบพอกัน หล่อหลอมมิตรภาพร้อยปีย่อมเป็นเรื่องที่ดีเสมอ แต่ดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ใต้ทางเดิน ทุกคนต่างรู้สึกเศร้าโศก เหตุใดคุณหนูจึงกลายเป็นแค่แขกที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่เท่านั้น
องค์ชายสามเคยชอบคุณหนูมาก เมื่อเขาเป็นท่านอ๋องฉี เขายังจะเลือกคุณหนูเป็นพระชายาหรือไม่
เมื่อเขาเป็นท่านอ๋องฉี พวกนางก็ไม่เคยพบเขาอีก
แม้แต่โจวเสวียนก็ไม่มาแล้ว
“เอาเถิด พวกเจ้า อย่าใช้สายตามองข้าแบบนั้น!” เฉินตันจูถือพัดตะโกน “หยิบชุดของข้าออกมา เลือกชุดที่งดงามที่สุด! หากไม่งดงามพอ ไปเอามาจากเส้าฝู่เจี้ยน! องค์หญิงตันจูต้องโดดเด่นที่สุดในงานเลี้ยง!”
อาเถียนและคนอื่นต่างหัวเราะขึ้นมา แม้ว่าคุณหนูจะไม่ได้เป็นพระชายา แต่นางก็ต้องทำให้คนไม่ลืม พวกนางวิ่งมาอย่างคึกคัก
โดดเด่นในงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่มาถึงอย่างทั้งช้า…ทุกคนต่างคาดหวัง ทั้งเร็ว…เหล่าหญิงสาวต่างรู้สึกไม่สมบูรณ์แบบไม่ว่าจะเตรียมการอย่างไร
ในวันนี้ รถม้าเคลื่อนที่ขวักไขว่ไปมาด้านหน้าพระราชวัง จิงเจ้าฝู่ สำนักโขลนวังรวมทั้งกองทัพเหนือในค่ายเมืองหลวงต่างอารักขาและเปิดทางอย่างเข้มงวด แต่อย่างไรก็ตามงานเลี้ยงนี้เป็นงานมงคล พื้นที่ที่รถม้าเคลื่อนผ่านยังคงมีเสียงดัง โดยเฉพาะเมื่อองค์ชายทั้งสามที่ถูกสถาปนาเป็นท่านอ๋องออกมาจากจวนอ๋องในเมืองใหม่ ราษฎรระหว่างทางต่างแย่งกันดู หญิงสาวที่ใจกล้าโยนดอกไม้ไปทางราชรถของเหล่าท่านอ๋อง
นอกเหนือจากท่านอ๋อง ตระกูลขุนนางที่เข้าร่วมงานเลี้ยงก็ดึงดูดผู้คน รถคันนี้ตระกูลใด หญิงสาวตระกูลใดงดงาม นายน้อยตระกูลใดสง่างาม…เหล่าท่านอ๋องจะเลือกหญิงสาวที่อายุเหมาะสมเป็นพระชายา องค์หญิงจินเหยาย่อมต้องเลือกพระสวามี
เหล่านายน้อยขี่ม้า ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ เหล่าหญิงสาวนั่งอยู่ในรถดีกว่ามาก แต่ก็มีหญิงสาวหลายคนมีความมั่นใจในความงามของตนเอง จงใจนั่งอยู่บนรถม้าที่ปิดด้วยม่านบาง เผยให้เห็นเพียงเล็กน้อย ดึงดูดความคึกคัก
แต่เมื่อมีรถคันหนึ่งปรากฏขึ้นบนถนนด้วยความเร่งรีบ ความคึกคักก็หายไป รถที่ไม่โดดเด่นคันนี้ ม่านไม้ไผ่ทั้งสองด้านม้วนขึ้น สามารถเห็นหญิงสาวที่นั่งในรถได้ นางปักปิ่นหยกมุก สวมชุดกระโปรงรัดอกสีขาวด้ายทอง ชายกระโปรงกองอยู่ข้างตัวเหมือนคลื่น สดใสงดงามน่าเอ็นดู แต่สายตาบนท้องถนนไม่กล้าจ้องมองนาง พวกเขาต่างกระจายตัวออกไป…
เฉินตันจู!
ไม่เพียงสายตาที่เบี่ยงเบน รถม้าด้านหน้าต่างหลีกเลี่ยง เพราะว่าพลขับของเฉินตันจูกำลังสะบัดแส้กลางอากาศเสียงดัง ไม่สนใจทหารข้างทางที่กำลังรักษาความสงบเรียบร้อย รวมทั้งรถม้าของแต่ละตระกูลที่กำลังเคลื่อนไปด้านหน้าอย่างช้าๆ ทำท่าเหมือนจะชนเข้าไป
เฉินตันจูไม่กลัว แต่รถด้านหน้ากลัว ชื่อเสียงเสื่อมเสียของเฉินตันจูโด่งดัง ไม่เกรงกลัวชนคนหรือปะทะกับคนกลางถนน แต่พวกเขากลัว พวกมาเขาเข้าร่วมงานเลี้ยงอย่างสง่า ไม่อาจขายหน้าได้
รถม้าด้านหน้าต่างหลีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้นัดหมาย อีกทั้งยังชะลอความเร็วลง ปล่อยให้รถของเฉินตันจูเคลื่อนผ่านไป ทิ้งระยะห่างกับคุณหนูตันจู…เกรงว่าจะแปดเปื้อนความอัปมงคลของหญิงสาวชั่วร้ายนี้
โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน รถของเฉินตันจูเดินทางไปถึงพระราชวังราวกับผ่าภูเขา แน่นอนเมื่อถึงพระราชวังย่อมไม่อาจควบม้าได้อีก รถม้าทุกคันต้องจอดลง ขันทีกลุ่มหนึ่งนำแขกเหรื่อเข้าประตูวังอย่างเป็นระเบียบ ผู้ติดตามและสาวรับใช้ไม่อาจเข้าไปด้านใน ทำได้เพียงรอคอยในพื้นที่ที่กำหนด เฉินตันจูก็ไม่ยกเว้น
เฉินตันจูเห็นขันทีที่รับผิดชอบในการชี้นำตัวเอง นางส่งเสียง “อาจี๋ งานเลี้ยงใหญ่เพียงนี้ เจ้าในฐานะขันทีใกล้ชิดฝ่าบาทมานำแขก เสียเกียรติอย่างมาก!” พูดพลางหัวเราะ “เจ้ากำลังอู้งานใช่หรือไม่!”
อาจี๋อดกลอกตาไม่ได้ “คุณหนูตันจู หากมาหาท่านเป็นการอู้งาน บนแผ่นดินคงไม่มีงานหนักแล้ว”
ผู้ใดไม่รู้ คุณหนูตันจูเป็นตัวปัญหาที่ทำให้คนปวดหัวที่สุด ดังนั้นจึงให้เขามา
“โทษข้าไม่ได้ บอกแล้วว่าไม่ให้ข้ามา ข้าเองก็ไม่อยากมา สุดท้ายก็ให้ข้ามา” เฉินตันจูนำบัตรเชิญให้อาจี๋ พลางบ่นอย่างไม่เข้าใจ “ฝ่าบาทไม่กลัวข้าทำให้งานเลี้ยงวุ่นวายหรือ?”
ใบหน้าของอาจี๋บึ้งตึงในทันที “คุณหนูตันจูท่านคิดเรื่องดีบ้างได้หรือไม่!”
ท่านมางานเลี้ยงเพื่อป่วนงาน?
เฉินตันจูหัวเราะ “ย่อมไม่ใช่ ข้าแค่กลัวผู้อื่นไม่อยากให้ข้าดี!” พูดพลางมองไปรอบด้าน กระแอมไอหนักหนึ่งที ทุกคนย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงนางเหมือนบนถนนเมื่ออยู่หน้าประตูวัง เวลานี้ผู้คนมากมายที่กำลังเข้าประตูวังต่างจ้องมองเฉินตันจู เงี่ยหูฟัง…
“ไม่ได้บอกว่างานเลี้ยงที่มีข้า ทุกคนต่างไม่เข้าร่วมหรือ” เฉินตันจูโบกพัดมองไปรอบด้าน ลากเสียงยาว พูดเสียงดัง “วันนี้ข้ามาแล้ว ไม่รู้มีคนมากน้อยเพียงใดหันกลับ ไม่อยากร่วมงานกับข้า…อาจี๋ เจ้าว่าคนพวกนี้เป็นอย่างไรกัน ฝ่าบาทยังเข้าร่วมงานเลี้ยงกับข้าได้ คนบางคนยังสูงส่งเสียยิ่งกว่าฝ่าบาทอีก!”
คำพูดนี้ทำให้คนรอบด้านต่างมีสีหน้าไม่ดี เฉินตันจู ทุกคนไม่ร่วมงานเลี้ยงกับเจ้า เหตุใดจึงกลายเป็นดูหมิ่นฝ่าบาทแล้ว เฉินตันจู! ร้ายกาจยิ่งนัก!
แม้ว่าจะอึดอัดเพียงใดก็อยากที่จะหลีกเลี่ยง พวกเขาต่างหันหน้าหนี เอียงหน้า ก้มหน้า หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็หลับตา เกรงว่าจะสบเข้ากับดวงตาของเฉินตันจู ถูกนางใส่ร้าย!
ในเวลาหนึ่ง พื้นที่ที่เฉินตันจูเดินผ่านต่างโล่งอีกครั้ง
อาจี๋มองฟ้าอย่างระอา ยังไม่ทันเข้าประตูวัง คุณหนูตันจูก็เริ่มอีกแล้ว
เฉินตันจูแก้แค้นเหล่าตระกูลขุนนางโดยอ้างบารมีของฮ่องเต้ที่หน้าประตูวัง อาจี๋ทั้งระอาทั้งปวดหัว มิน่าเขาจึงถูกรับสั่งให้จับตา ไม่ใช่ ต้อนรับคุณหนูตันจู หากเป็นผู้อื่น ไม่กลัวก็คงต้องตะโกนโหวกเหวก…
การรับมือกับคุณหนูตันจูก็คือไม่ต้องสนใจคำพูดเหลวไหลของนาง ยิ่งไม่ต้องตอบโต้…
“เอาเถิด คุณหนูตันจู รีบเข้าไปเถิด” อาจี๋เร่งเร้า “มาดูว่าพึงพอใจกับตำแหน่งที่นั่งของท่านหรือไม่”
เฉินตันจูได้ยินก็สนใจ “ไม่พอใจเปลี่ยนได้หรือไม่ ข้าเลือกที่นั่งเองได้หรือไม่”
อาจี๋ทำได้เพียงแสร้งไม่ได้ยิน ก้มหน้าเดินไปด้านหน้า แต่เฉินตันจูถูกคนด้านหลังเรียกเอาไว้
“ตันจู!”
เฉินตันจูหันกลับไป เห็นหลี่เหลียนกับหลิวเวยเดินมาอย่างรวดเร็ว โดดเด่นอย่างมากท่ามกลางผู้คนที่หลบหลีก ด้านหลังพวกนางเป็นคนในครอบครัว บิดามารดาของหลิวเวยต่างมา ครอบครัวของหลี่เหลียนมากกว่าเล็กน้อย มีเหล่าสตรีและชายหนุ่มหญิงสาวอายุน้อยหลายคน
“พวกข้าตามเจ้ามาตลอดทาง” หลิวเวยพูดด้วยรอยยิ้ม “จู๋หลินเคลื่อนรถเร็วเกินไป ตามไม่ทัน”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “หากรู้ข้ารอพวกเจ้ามาด้วยกัน
แต่แน่นอนนางย่อมไม่ไปถามจริง นางกำเริบเสิบสานคนเดียวก็เพียงพอแล้ว หลี่เหลียนกับหลิวเวยต้องมีชีวิตที่เหมาะสมของตนเอง
หลี่เหลียนและหลิวเวยไม่กลัวชื่อเสียงร้ายกาจของนาง แต่นางไม่อาจไม่เกรงกลัวได้
“ตันจู ตันจู” หลิวเวยพูดอย่างตื่นเต้น “ไม่คิดว่าตระกูลของข้าก็ได้รับบัตรเชิญ”
ตระกูลของท่านยายไม่ได้ด้วยซ้ำ
ตระกูลฉางทอดถอนใจด้วยความเศร้า พวกเขามาหาหลิวจั่งกุ้ย เพราะอย่างไรแล้วบนบัตรเชิญอนุญาตให้ผู้ที่ได้รับเขียนชื่อคนที่เข้าร่วมงานเลี้ยง พวกเขาเป็นญาติกับตระกูลหลิว เขียนลงไปย่อมได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยง เพียงแค่เข้าพระราชวัง พวกเขายังคงมีเกียรติ
นายท่านใหญ่ตระกูลฉางกับภรรยาเดินทางมาตระกูลหลิวพร้อมมารดาเป็นครั้งแรก แต่ถูกหลิวจั่งกุ้ยปฏิเสธ
เขาในฐานะสามัญชนได้รับบัตรเชิญก็น่าตกตะลึงมากแล้ว สมควรปฏิบัติอย่างระวัง ไม่กล้าเขียนชื่อคนนอก
นายท่านใหญ่ตระกูลฉางจากไปอย่างขุ่นเคือง แต่ก็ไม่ได้พูดจาฉีกหน้าแต่อย่างใด…ตระกูลหลิวยังคงเป็นสามัญชนในเวลานี้ แต่ตระกูลหลิวมีบุตรชายบุญธรรมที่เป็นขุนนางมีความสามารถอย่างจางเหยา มีอนาคตยาวไกล ตระกูลหลิวมีบุตรสาวที่ได้รับความโปรดปรานจากเฉินตันจู สนิทสนมกับองค์หญิง อีกทั้งยังสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงสถาปนาท่านอ๋องครานี้ ถึงแม้การคัดเลือกพระชายาไม่เกี่ยวกับนาง แต่เหล่าตระกูลขุนนางย่อมสนใจหญิงสาวผู้นี้ ย่อมไม่ต้องกลุ้มเรื่องงานสมรส
ทำสิ่งใดย่อมต้องเหลือทางรอด
เฉินตันจูฟังคำบอกเล่าของหลิวเวยด้วยรอยยิ้ม ภายในใจกระจ่าง เรื่องของตระกูลฉางเป็นฝีมือของโจวเสวียน ถึงแม้วันนั้นปฏิเสธที่จะฟังโจวเสวียนพูด แต่นางยังคงรู้เรื่องที่โจวเสวียนปั่นป่วนงานเลี้ยงของตระกูลฉาง
คนกลุ่มหนึ่งรวมตัวพูดคุยกัน เฉินตันจูไม่ได้โดดเด่นมากนัก อาจี๋จึงไม่เร่งเร้าอีก
เวลานี้องครักษ์ที่รักษาระเบียบด้านนอกรีบแบ่งแยกกลุ่มคน เหล่าขันทีต่างตะโกน “เหล่าท่านอ๋องเสด็จ”
เฉินตันจูมองไปทางด้านหลัง เห็นรถใหญ่สามคันจอดลงอย่างช้าๆ สามคนที่สวมชุดท่านอ๋อง บนหัวสวมหมวกหยกเดินลงมา สายตาของเฉินตันจูจับจ้องไปยังหนึ่งในนั้น ในเวลาเดียวกันสายตาของคนผู้นั้นก็มองมายังนาง
เขาในฐานะท่านอ๋อง โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน แต่ในสายตาเขา ฝูงชนไม่มีอยู่ มีเพียงหญิงสาวผู้นั้น
เหตุการณ์นี้ฉู่ซิวหยงคุ้นเคยอย่างมาก เหมือนตอนที่เขายอมรับการเชิญขององค์หญิงจินเหยา เข้าร่วมงานเลี้ยงสถาปนาท่านโหวของโจวเสวียน
เขาลงจากรถ เห็นเฉินตันจูที่หน้าประตู องค์หญิงจินเหยาเรียกนาง นางเดินมาทางเขา เผยยิ้มให้เขา
แน่นอน งานเลี้ยงเฉลิมฉลองในครั้งนั้นเดิมทีเขาเป็นคนให้โจวเสวียนจัด เวลานั้นเขาต้องการหลอกล่อให้ฮองเฮากับองค์ชายห้าเกิดความคิดที่จะฆ่าเขา ย่อมต้องให้โอกาสพวกเขา ในเวลาเดียวกันเขารับตราประทับพระคลังเมืองฉีที่ท่านอ๋องฉีส่งมา ใช้หญิงสาวเมืองฉีสร้างภาพลวงรักษาโรคให้หาย รวมทั้งการปูทางให้เรื่องที่จะเกิดในลำดับต่อไป…
อย่างไรก็ตาม สำหรับเขาแล้ว เป็นเวลาสำคัญในการพลิกผันและกอบกุมชะตาชีวิต
อีกทั้งยังเป็นเวลาที่พลิกผันสำหรับความสัมพันธ์ของเขากับหญิงสาวผู้นั้น
มือที่คล้อยอยู่ข้างตัวของฉู่ซิวหยงกำเบาๆ วันนั้น เขาจับมือของเฉินตันจู เวลานั้น นางก้มหน้ายิ้มบางด้วยแก้มแดงระเรื่อ นางไม่ได้สะบัดมือของเขาออก
ท่ามกลางโลกอันมืดมิดและเย็นยะเยือกของเขา เวลานั้นมีแสงสว่างหนึ่งปกคลุมเขา นับจากนั้นโลกของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป
มันเป็นเช่นนี้ นับแต่นั้นมา แผนการทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่น โลกของเขาใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขาเดินออกมาอยู่ต่อหน้าผู้คน ศัตรูของเขาพ่ายแพ้
แต่หญิงสาวคนนั้นออกจากโลกของเขาไกลมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งเวลานี้ที่เขายืนอยู่ตรงหน้า นางก็ไม่มองเขาอีก…
นางมองมาตามสายตาของฝูงชน จากนั้นหลุบตาต่ำลง ถอยหลังไปตามฝูงชน ก้มหน้าถวายบังคมตามฝูงชน ตะโกนตามฝูงชน “ถวายบังคมท่านอ๋องเยียน ท่านอ๋องฉี ท่านอ๋องหลู”
เหล่าท่านอ๋องเดินผ่านฝูงชนท่ามกลางการรายล้อมของเหล่าขันที เดินผ่านประตูวังเข้าไปด้านใน