บนตำหนักจัดงานเลี้ยง แขกหญิงชายต่างแยกกันนั่งซ้ายขวาจนเต็ม พื้นที่ว่างเปล่าตรงกลางเพียงพอให้นางรำหลายสิบคนเต้นรำ
เฉินตันจูนั่งอยู่แถวหน้าสุด สามารถมองเห็นต่างหูมุกบนหูของนางรำ ผ้าหลากสีพลิ้วไหวอยู่ตรงหน้า เฉินตันจูรู้สึกเพียงวิงเวียน นางเบนสายตามองซ้ายขวา ด้านหลังทั้งซ้ายและขวามีท่านผู้เฒ่าหญิงของตระกูลหนึ่งนั่งอยู่ อายุราวหกเจ็ดสิบ แต่งกายงดงาม ผมขาวทั้งหัว ใบหน้าไม่ถือว่าเมตตาแต่ก็ไม่ดุ ทำหน้าสุขุม เนื่องจากฮ่องเต้รับสั่งให้ชื่นชมการเต้นรำ ดังนั้นจึงล้วนตั้งใจชื่นชม…
สำหรับหญิงสาวอายุน้อยที่นั่งในตำแหน่งความชอบอันดับหนึ่ง พวกนางไม่มีแม้แต่ความสงสัย ไม่มีคนมองเฉินตันจูแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่มีคนพูดกับเฉินตันจู
“ฮูหยิน ฮูหยิน ท่านมาจากตระกูลใด” เฉินตันจูพยายามคุยกับพวกนาง
ตะโกนอยู่ครึ่งวัน จนนางคิดว่าเหล่าท่านผู้เฒ่าหญิงอายุมากหูตึงนั้น ในขณะที่เฉินตันจูกำลังจะเพิ่มระดับเสียง ในที่สุดก็มีท่านผู้เฒ่าหญิงคนหนึ่งหันมา ยกมือให้นางอย่าส่งเสียงดังอย่างจริงจัง “พระราชวังเป็นพื้นที่สำคัญ ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท อย่าได้โหวกเหวก”
โหวกเหวกอันใดกัน เสียงหัวเราะจากที่อื่นแทบจะกลบเสียงดนตรีแล้ว ไม่เพียงโหวกเหวก ยังมีคนเดินไปมา เดินไปทางฮ่องเต้ ทั้งเคารพด้วยสุราทั้งสนทนา ฮ่องเต้เองยังหัวเราะ หัวเราะเสียงดังกว่าผู้ใด! มีเพียงทางนี้ที่นั่งนิ่งราวกับท่อนไม้ เฉินตันจูโกรธมาก แต่ก็ไม่อาจทะเลาะกับเหล่าฮูหยินอายุมาก…หากเป็นหญิงสาวอายุน้อย นางมีวิธีเถียงกับพวกนางนับร้อย
เฉินตันจูมองไปทางขวาด้านหน้า ฮ่องเต้นั่งอยู่ตรงกลาง พระสนมเสียนกับพระสนมสวีนั่งประกบซ้ายขวา ด้านล่างทางซ้ายเป็นองค์รัชทายาท ท่านอ๋องเยียน ท่านอ๋องฉี ท่านอ๋องหลูตามลำดับ ด้านขวาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท องค์หญิงจินเหยา รวมทั้ิงองค์หญิงที่ออกเรือนและพระสวามีของพวกนาง เวลานี้ก็คึกคักอย่างมาก
เฉินตันจูมองไป กวักมือให้องค์หญิงจินเหยา องค์หญิงจินเหยาถูกพระชายาขององค์รัชทายาทและพี่สาวคั่นไว้ตรงกลาง องค์หญิงท่านหนึ่งเห็นท่าทางของเฉินตันจู นางขยับตัวเล็กน้อย ปิดบังสายตา…
ฮะ! เฉินตันจูถลึงตา นางเพิ่งถลึงตา ก็เห็นฮ่องเต้ถลึงตามองมา ใบหน้ายิ้มดำลง ไม่โกรธแต่มีบารมีมาก
เอาเถิด ฮ่องเต้จงใจเรียกนางมา เพื่อจับตานาง ไม่ให้นางอยู่สุขสบายภายในจวน
เฉินตันจูนั่งตัวตรง ทำหน้าจริงจัง
เห็นเฉินตันจูเชื่อฟัง ฮ่องเต้ส่งเสียงภายในใจ สายตาได้ใจเล็กน้อย เขาเบนสายตาไปพูดคุยกับเหล่าตระกูลขุนนางที่เดินทางมาแสดงความยินดีต่อ
ฉู่ซิวหยงก็มองมาทางนี้เสมอ เวลานี้เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม จากนั้นเห็นหญิงสาวที่นั่งตัวตรงได้ไม่นานเริ่มขยับเขยื้อน ลุกขึ้นยืน…
“คุณหนูตันจู” อาจี๋ที่นั่งจ้องนางอยู่ด้านหลังพูดเสียงเบาทันที “ท่านทำอันใด”
ไม่ว่าจะเป็นสตรีตระกูลขุนนางสูงส่งเพียงใด เมื่อเข้ามาในตำหนักล้วนไม่อาจนำสาวรับใช้ของตนเองได้ เหล่านางในทำได้เพียงรับหน้าที่ส่งอาหารและนำทาง ด้านหลังมีขันทีติดตามก็มีเพียงเฉินตันจู
เฉินตันจูหันไปยิ้มให้เขา “เข้าห้องน้ำ คนมีเรื่องด่วนทั้งสาม งานเลี้ยงของฮ่องเต้ หรือว่าไม่ให้คนเข้า…”
ในขณะที่นางกำลังจะพูดจาเหลวไหล อาจี๋ก็พูดอย่างระอา “คุณหนูตันจูไม่รีบหรือ ยังไม่รีบไป”
เฉินตันจูส่งเสียงไม่พอใจ ถือกระโปรงเดินข้ามเขา หันกลับมาถามด้วยรอยยิ้ม “อาจี๋ไม่ไปกับข้า ไม่กลัวข้าสร้างปัญหาหรือ?”
ถึงแม้เขาจะเป็นขันที แต่หญิงชายมีความแตกต่าง อาจี๋หน้าแดงก่ำ ถลึงตามองเฉินตันจูอย่างขุ่นเคือง เรียกขานนางในที่ยืนอยู่ด้านข้าง “พี่สาว รบกวนท่านติดตามองค์หญิงตันจูไปเปลี่ยนชุด”
นางในรู้ว่าอาจี๋เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ ได้ยินขันทีอื่นพูด มักได้ยินฮ่องเต้ตะโกนเรียกอาจี๋ อาจี๋ ห่างตัวไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว จึงตอบรับคำสั่งของเขา ก่อนจะนำทางเฉินตันจู เฉินตันจูโบกมือให้อาจี๋ ติดตามนางในออกไป
…
ฉู่ซิวหยงเห็นหญิงสาวตามนางในออกไปทางประตูข้างด้านหลัง ก่อนจะมองอาจี๋ที่ยืนอยู่รออยู่ข้างประตูไม่ได้ตามออกไป เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายไปเปลี่ยนชุด
ผ่านไปไม่นาน ก็เห็นนางในคนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตูข้างทางด้านหลัง เดินมากระซิบที่ข้างตัวขององค์หญิงจินเหยา องค์หญิงจินเหยารีบลุกขึ้นออกไป ครานี้พระชายาขององค์รัชทายาทและเหล่าองค์หญิงต่างไม่สนใจ
ฉู่ซิวหยงยิ้ม เป็นแผนการของเฉินตันจู เขายกจอกสุราขึ้น เหม่อลอยเล็กน้อย คิดว่าหากเวลานี้ยังอยู่บนงานเลี้ยงท่านโหวโจว จินเหยาคงจะเรียกเขาออกไปด้วยกัน จากนั้นทั้งสามคนยืนสนทนาอยู่ด้านนอกพระตำหนัก…
เขามองประตูข้างด้านหลัง นางในรวมทั้งหญิงชนชั้นสูงต่างเข้าๆ ออกๆ แต่ไม่มีขันทีหรือนางในเดินมาตรงหน้าเขา
“น้องสาม” ท่านอ๋องเยียนถือจอกสุราเรียกขาน
ฉู่ซิวหยงเบนสายตามองไปทางเขา ถือจอกสุราอมยิ้ม ดื่มร่วมกับท่านอ๋องเยียน ตามมาด้วยองค์รัชทายาท ท่านอ๋องหลูก็เข้าร่วม พี่น้องดื่มกันไปสามรอบ สายตาของฉู่ซิวหยงกลับไปทางตำแหน่งของเฉินตันจู ที่นั่งยังคงว่าง หญิงสาวนี้คงไม่ได้จะใช้ข้ออ้างเปลี่ยนชุดจนกระทั่งงานเลี้ยงจบสิ้นใช่หรือไม่
แต่มันก็เป็นเรื่องที่นางกล้าทำ เพียงแค่หลังจากนั้นอาจถูกฮ่องเต้ตำหนิเท่านั้น
ฉู่ซิวหยงยิ้ม สายตามองไปทางฮ่องเต้ จากนั้นรอยยิ้มหายไป ไม่รู้เมื่อใดพระสนมสวีที่นั่งอยู่ข้างฮ่องเต้จากไปแล้ว
…
เฉินตันจูเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุดขนาดเล็กอย่างเชื่องช้า…ห้องเปลี่ยนชุดก็เป็นห้องพักผ่อน ตกแต่งอย่างสบายและงดงาม จัดเตรียมทั้งที่รีดชุด ธูปหอม และเตียงนอน เฉินตันจูล้างมือด้วยสบู่อยู่ด้านใน นางในที่ติดตามมารีดชุดที่ไม่ยับเท่าใดให้ ตนเองนอนอยู่บนเตียงเล่นธูปหอม เมื่อไม่มีสิ่งใดทำแล้วจึงเดินออกมา
จากนั้นเห็นสตรีคิ้วบาง ตาเรียวสวมชุดในวังที่นั่งอยู่ในโถงด้านนอก ถึงแม้จะพบกันครั้งแรก แต่ใบหน้าและดวงตายังคงคุ้นเคย
เฉินตันจูถวายบังคม “ถวายบังคมพระสนมสวี”
พระสนมสวีพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูตันจูไม่ต้องมากพิธี”
เฉินตันจูลุกขึ้น พระสนมสวีพินิจนาง นางมองพระสนมสวีด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“คุณหนูตันจูเดินทางเข้าออกพระราชวังตลอด แต่พวกเราพบหน้ากันเป็นครั้งแรก” พระสนมสวีพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินตันจูพยักหน้า “เพคะ ล้วนเป็นเพราะฝ่าบาท ไม่ให้หม่อมฉันไปเข้าเฝ้าเหล่าเหนียงเหนียง หม่อมฉันกับเหนียงเหนียงไม่ถือว่าแปลกหน้า เหนียงเหนียงเคยส่งของขวัญมาให้หม่อมฉันหลายครั้ง”
บนแผ่นดินนี้ ผู้ที่กล้าต่อว่าฮ่องเต้คงมีคุณหนูตันจูเพียงคนเดียว เหล่าพระสนมในวังไม่อาจเทียบได้ เห็นได้ชัดว่านางมีฐานะอย่างไร
พระสนมสวีย่อมไม่กล้าคล้อยตามตำหนิฝ่าบาท เพียงพูด “คุณหนูตันจูยุ่งงานใหญ่ แตกต่างจากสตรีอย่างพวกข้า”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ไม่ยุ่งแล้ว เหนียงเหนียงมาหาหม่อมฉันด้วยเรื่องใดเพคะ”
ถึงแม้จะรู้ว่าเฉินตันจูยโสโอหัง พูดจากำเริบเสิบสาน แต่พระสนมสวีพบเจอครั้งแรกด้วยตนเอง นางยิ้มขึ้นมา จับมือของเฉินตันจู พินิจซ้ายขวา
“คุณหนูตันจูช่างงดงามดุจเทพธิดา ผู้ใดพบเห็นจะไม่โปรดปราน” นางพูด “ดังนั้นเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่อยากพูดออกมา”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจเพคะ เหนียงเหนียงเชิญพูด ในเมื่อเหนียงเหนียงชอบหม่อมฉัน เหนียงเหนียงย่อมไม่ต้องเกรงใจ”
หญิงสาวเช่นนี้ ไม่ต้องอ้อมค้อม พระสนมสวีตัดสินใจพูดอย่างตรงไปตรงมา “คุณหนูตันจูมีแต่คนรักใคร่ ซิวหยงก็ไม่ยกเว้น เพียงแต่ข้าหวังว่าคุณหนูตันจูอย่าชอบเขา”
คำพูดเช่นนี้พูดออกมา คนที่ได้ยินย่อมต้องตกใจ แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับหัวเราะ “เหนียงเหนียงพูดได้ไม่ถูก ไม่ใช่ทุกคนชอบหม่อมฉัน เหนียงเหนียงก็เป็นหนึ่งในนั้น”
นางชี้ไปที่พระสนมสวีพร้อมเสียงหัวเราะ
นางรู้อยู่แล้วว่าเฉินตันจูเป็นคนอย่างไร พระสนมสวีไม่ตื่นตระหนก
“ข้าไม่ได้ไม่ชอบ” นางพูดอย่างหมดหนทาง “คนอย่างคุณหนูตันจู ข้าชอบมาก แต่วาสนาคู่ครองบนโลกนี้ นอกจากความชอบ ยังต้องดูความเหมาะสม คุณหนูตันจู เจ้าไม่เหมาะสมกับซิวหยง”
“คุณหนูตันจูคงรู้ ซิวหยงประสบอันตรายแต่เด็ก ทำให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานมาสิบกว่าปี มีชีวิตอยู่จนถึงบัดนี้ไม่ง่าย”
“ในที่สุดเขาประสบความสำเร็จเล็กน้อย ฝ่าบาทให้ความสำคัญ ไม่ต้องรอความตายเหมือนแต่ก่อน ข้าหวังว่าเขาจะทำเรื่องที่เขาอยากทำให้มากขึ้น หากเขาสมรสกับคุณหนูตันจู เขาย่อมต้องถูกมัดมือมัดเท้า”
“คุณหนูตันจู ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี ดังนั้นซิวหยงจึงชอบเจ้า ตันจู หากเจ้าชอบเขาจริง เห็นแก่ในฐานะคนเป็นมารดาอย่างข้า ขอ…”
พระสนมสวีไม่ได้พูดอีก น้ำตาหลั่งไหลลงมาอย่างช้าๆ
เฉินตันจูเงียบไปชั่วขณะ สีหน้าเศร้าโศก “ไม่รู้เหนียงเหนียงจะเชื่อหรือไม่ หม่อมฉันหวังว่าท่านอ๋องฉีจะมีชีวิตที่ดีเหมือนเหนียงเหนียง”
พระสนมสวีมองหญิงสาวผู้นี้ นางรู้ ว่าสำหรับคนอย่างเฉินตันจู การข่มขู่บังคับไร้ประโยชน์ ดังนั้นนางจึงใช้ความรู้สึก ลดตัวลงขอร้อง…
ดูจากเวลานี้ นางทำได้ถูกต้อง
“องค์ชายสามดีกับหม่อมฉันมาก เหนียงเหนียงเห็นกับตา ส่วนหม่อมฉันสัมผัสด้วยใจ” เฉินตันจูพูดเสียงเบา “หลายครั้งเขาล้วนช่วยเหลือหม่อมฉัน อีกทั้งยังทำให้ฝ่าบาทโกรธ ไม่เสียดายที่จะทำลายชื่อเสียงเพื่อหม่อมฉัน”
พระสนมสวีมองนางทั้งน้ำตา เวลานี้นางไม่ต้องพูดสิ่งใด ความเงียบย่อมสยบทุกสิ่ง
“สตรีออกเรือนเพื่อมีที่พึ่ง ท่านอ๋องฉีเป็นคนที่น่าพึ่งพา การได้เป็นสามีภรรยากับเขาย่อมมีความเจริญ แต่…” เฉินตันจูพึมพำ สูดลมหายใจเข้ามองไปทางพระสนมสวี สีหน้าแน่วแน่ “หม่อมฉันไม่อาจทำให้อนาคตของเขาจบสิ้นเพียงเพราะประโยชน์ส่วนตัวของหม่อมฉัน มันไม่ใช่ความชอบที่แท้จริง หากแต่เป็นการทำร้ายเขา เพียงแค่เขาดีขึ้น หม่อมฉันยอม…”
พูดถึงตรงนี้ หญิงสาวพูดต่อไม่ได้ นางเบนหน้ากัดปาก ราวกับต้องการอดกลั้นไม่ให้น้ำตาหลั่งไหลลงมา
ดูแล้วช่างน่าสงสาร ทั้งหมดหนทาง ทั้งอ่อนแอ…ถึงแม้ นางจะรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าของพระสนมสวีผงะไปเล็กน้อย นางชะงัก ถามเสียงเบา “คุณหนูตันจู มีเงื่อนไขใด”
เฉินตันจูหันหน้ามามองพระสนมสวี พูดอย่างจริงจัง “เงินสามแสนก้วน”