ทางด้านสืออีเหนียง ทุกวันนี้นางยังคงไร้เรี่ยวแรง มีเพียงการกินและการนอน ไม่มีเวลามาห่วงกังวล00เรื่องใด ไท่ฮูหยินปรึกษากับป้าตู้ว่า “ข้าว่าปีนี้ไม่ต้องมีการแสดงงิ้วแล้ว แค่เชิญอาจารย์หญิงสองสามคนมาเล่านิทานก็พอแล้ว เด็กๆ จะได้ไม่ตื่นตระหนก”
“เป็นความคิดที่ดีเจ้าค่ะ” แต่ป้าตู้กลับกังวลเรื่องอื่น “เพียงแต่ว่าทางด้านฮูหยินสี่ เมื่อถึงเวลาแล้วไม่ได้มาร่วมงาน ต้องคิดหาข้ออ้างเตรียมไว้ให้นางเจ้าค่ะ”
“มันยากตรงไหนกันเล่า” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “พวกเราเชิญแค่สกุลที่ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ เมื่อถึงเวลานั้นก็บอกไปว่าสืออีเหนียงไม่สบาย หากพวกนางเป็นห่วงก็แค่ให้ไปเยี่ยมสักหน่อย เมื่ออาจารย์เริ่มเล่านิทานแล้วทุกคนก็จะมารวมตัวกันที่โถงเตี่ยนชุน นางก็จะได้พักผ่อนของนางไป ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด”
ป้าตู้ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็เชิญมาแค่งานเลี้ยงในวันที่สามเดือนสามวันเดียว ไปทานอาหารกลางวันที่ห้องโถงบุปผาก่อน จากนั้นก็ไปฟังเรื่องเล่า เมื่อถึงเวลาจุดโคมไฟก็แยกย้ายกันไปเจ้าค่ะ”
“อืม!” ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพยักหน้า พูดถึงเรื่องของสืออีเหนียง “คิดไม่ถึงว่านางจะมีอาการเช่นนี้หลังจากตั้งครรภ์ หากเจ้าไม่มีอะไรทำก็ควรจะไปเยี่ยมนางบ่อยๆ ให้ป้าซ่งเตรียมของหวานและของเปรี้ยวไปให้เยอะๆ” แล้วพูดต่ออีกว่า “เจ้าไปเรียกป้าเถียนกับป้าว่านเข้ามา เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องให้พวกนางช่วยไปปรนนิบัติสืออีเหนียงสักสองสามวัน”
ป้าตู้ยิ้มพลางรับคำแล้วไปจัดเตรียมตามขั้นตอน เมื่อกลับมารายงานก็เห็นว่าไท่ฮูหยินกำลังบอกให้เก๋อจินค้นหีบของ
“ข้าคำนวณดูแล้วคงประมาณฤดูใบไม้ร่วง” ไท่ฮูหยินชี้ไปที่ผ้าไหมซานซัวจากซงเจียงสีขาวราวกับหยก “เมื่อถึงเวลานั้นก็ทำผ้าห่มเล็กๆ สักสองผืนแล้วทำผ้าอ้อมหลายๆ ผืน ผ้าทั้งนุ่มทั้งละเอียดและยังให้ความอบอุ่นดี” แล้วพูดต่ออีกว่า “แต่เกรงว่าสองสามผืนจะไม่พอ ข้าจะให้อวี้ป่านไปเบิกของเพิ่มที่คลังของข้า”
ทันใดนั้น ป้าตู้ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
นี่คือเครื่องบรรณาการที่ในวังพระราชทานให้ แต่ทุกผืนกลับถูกนำมาทำเป็นผ้าห่มและผ้าอ้อมให้กับเด็กน้อยที่ยังไม่ได้เกิดมาเสียด้วยซ้ำ…
แต่เมื่อเห็นว่าไท่ฮูหยินกำลังมีความสุขเป็นอย่างมาก แม้ว่านางจะไม่สามารถบอกตรงๆ ได้ แต่ก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวว่าหากจะทำผ้าห่ม ไม่สู้นำมาทำชุดให้เด็กจะดีกว่าเจ้าค่ะ…”
ป้าตู้ยังพูดไม่ทันจบ ไท่ฮูหยินก็โบกมือ “เรื่องเสื้อผ้าเด็กให้ใช้ผ้าไหมของซูโจวและหังโจว…”
ขณะที่กำลังพูด อวี้ป่านก็เดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้น้อยสี่ห้าคนที่ถือผ้าอยู่ในมือ
ไท่ฮูหยินให้ป้าตู้ไปดู “เจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ป้าตู้เห็นว่ามีผ้าฝ้ายอู่ชิง ผ้าไหมถังชี ผ้าไหมหวังเตี้ยน และผ้าไหมสำหรับใช้วาดภาพ…ทั้งหมดล้วนสะอาดสะอ้าน เนื้อสัมผัสละเอียดยิ่งกว่าไข่ไก่ รู้สึกอดเป็นกังวลไม่ได้ ทั้งกลัวว่าครั้งนี้จะวินิจฉัยอาการของสืออีเหนียงผิด ทั้งกลัวว่าสืออีเหนียงจะให้กำเนิดบุตรสาว…แต่กลับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านควรจะเหลือไว้ให้ตัวเองสักสองสามผืนด้วยนะเจ้าคะ”
“ถึงอย่างไรก็มีพระราชทานให้ทุกปี” ไท่ฮูหยินหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าจะใช้ไหวได้อย่างไร” พูดพลางเดินเข้าไปที่ห้องด้านใน ให้บรรดาสาวใช้นำผ้าไปเก็บ
ป้าตู้รีบเดินตามไปแล้วพูดเสียงเบาว่า “ตอนที่สืออีเหนียงพึ่งเข้ามา บ่าวได้ดูอย่างละเอียดแล้ว ผ้าที่นายหญิงใหญ่ให้เหล่านั้นล้วนมีสีสันสดใสแพรวพราว แต่กลับเป็นวัสดุที่ใช้สำหรับทำเสื้อตัวนอก วัสดุชั้นดีที่ใช้ทำเสื้อด้านในกลับไม่มีสักชิ้น บ่าวว่าอาศัยโอกาสนี้ช่วยนางเตรียมไว้สักหน่อยจึงจะดีเจ้าค่ะ”
ในเมื่อเป็นวัสดุทำเสื้อตัวนอกก็ย่อมต้องทำเสื้อตัวนอกจึงจะดูดี เวลาคนอื่นถามจะได้ตอบว่า ‘นี่เป็นสินเดิมจากสกุลเดิม’ วัสดุสำหรับทำเสื้อด้านในไม่ว่าจะเป็นชุดลำลอง ชุดชั้นใน ต่อให้ดีแค่ไหนก็ไม่มีคนถาม
อย่างไรเสียนายหญิงใหญ่ก็เป็นท่านแม่ของสืออีเหนียง ป้าตู้จึงไม่กล้าพูดมาก เพียงแค่ยิ้มแล้วบอกว่า “บ่าวเห็นว่าท่านไปค้นออกมากองใหญ่ ให้บ่าวกำชับพวกนางเอาไปเก็บไว้ในหีบก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ รอให้ทางด้านนั้นได้รับการยืนยันแล้วค่อยส่งไป ”
“ข้าบอกกับอวี้ป่านไปแล้ว” ไท่ฮูหยินนั่งลงบนเตียงเตา “แล้วยังต้องเลือกช่างเย็บปักที่ฝีมือคล่องแคล่วและละเอียดอ่อนให้เริ่มทำเสื้อเด็ก โดยเฉพาะกางเกงผ้าฝ้าย ต้องทำไว้หลายๆ ตัวจึงจะดี”
ป้าตู้ยิ้มรับคำ เอาหมอนอิงไปวางไว้ด้านหลังไท่ฮูหยินแล้วยกถ้วยชามา “พรุ่งนี้บ่าวจะไปเลือกคนให้เจ้าค่ะ”
ฮูหยินห้ากับซินเจี่ยเอ๋อร์มาถึงพอดี
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ไว้ในอ้อมแขน ให้ป้าตู้ไปนำเค้กดอกบ๊วยที่ได้รับพระราชทานจากในวังเมื่อสองวันก่อนมา
ฮูหยินห้ามองดูสาวใช้เยอะแยะมากมายที่อยู่ด้านนอก ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านกำลังจะทำอะไรหรือเจ้าคะ ราวกับว่าจะย้ายเรือน”
ไท่ฮูหยินแบ่งเค้กดอกบ๊วยเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนใส่ปากซินเจี่ยเอ๋อร์ พูดด้วยรอยยิ้ม “เอาพวกของเก่าๆ ที่เก็บมาหลายปีมาทำความสะอาดสักหน่อย สิ่งที่ควรมอบเป็นรางวัลก็มอบไปแล้ว สิ่งที่ควรแบ่งก็แบ่งให้พวกเจ้าแล้ว”
ฮูหยินห้าหัวเราะพลางกอดแขนของไท่ฮูหยินแล้วนั่งลง “ท่านมอบผ้าไหมสีแดงเข้มเพื่อทำเสื้อคลุมให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ของข้าได้หรือไม่”
“นี่พึ่งจะฤดูใบไม้ผลิเอง เจ้าคิดไปถึงฤดูหนาวแล้วหรือ” ไท่ฮูหยินยิ้มพลางเอานิ้วไปแตะที่หน้าผากของนางเบาๆ
ฮูหยินห้าเอนศีรษะไปตามแรงพลางหัวเราะสดใส
ซินเจี่ยเอ๋อร์ที่กำลังทานเค้กเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมา
ทันใดนั้นก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน คุณชายน้อยใหญ่กับคุณชายน้อยสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“รีบเข้ามาเร็ว รีบเข้ามาเร็ว!” เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็มองออกไปข้างนอกด้วยความดีใจ “ไม่ได้บอกว่าจะมาถึงกลางเดือนสามหรอกหรือ เหตุใดเพียงแค่ปลายเดือนสองก็มาถึงแล้ว”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “ปล่อยไปตามลมตามน้ำก็ย่อมมาเร็วขึ้น”
ทันทีที่นางพูดจบ สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนก็เปิดม่านแล้วเดินเข้ามา
ทั้งสองคนสวมเสื้อคลุมผ้าไหมสีฟ้าลายดอก เมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาออกจากเยี่ยนจิง สวีซื่อฉินที่ยามนี้อายุสิบเจ็ดปีก็ดูกำยำขึ้นไม่น้อย สีหน้ามีความสุขุมมากขึ้น ส่วนสวีซื่อเจี่ยนที่อายุสิบสี่ปีก็ใกล้จะสูงเท่าสวีซื่อฉินแล้ว ท่าทางร่าเริงแววตาเต็มไปด้วยไหวพริบเช่นเคย
ทั้งสองคนเข้ามาคำนับ สวีซื่อเจี่ยนรีบวิ่งเข้าไปดึงแขนเสื้อไท่ฮูหยิน “ท่านย่า ท่านสุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่ คิดถึงข้ามากเลยใช่หรือไม่ขอรับ!”
ทำเอาไท่ฮูหยินได้ฟังแล้วก็หัวเราะลั่น
“อวี้เกอก็อยู่ที่เยี่ยนจิง ครั้งนี้พวกเจ้าจะได้มาก่อเรื่องวุ่นวายด้วยกันแล้ว”
สวีซื่อฉินเพียงแต่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ สวีซื่อเจี่ยนกลับพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ตอนนี้ข้าโตแล้วจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร หากพี่สองอยากจะก่อเรื่องวุ่นวาย ข้าจะช่วยห้ามปรามไม่ให้เขาซุกซนอย่างแน่นอน”
ทุกคนในห้องล้วนพากันหัวเราะอย่างครื้นเครง
สวีซื่อเจี่ยนเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ใส่ชุดสีชมพูอยู่ในอ้อมแขนของฮูหยินห้า พลันรู้ทันทีว่าเป็นบุตรสาวของอาสะใภ้ห้า ยิ้มพลางชี้ไปที่ซินเจี่ยเอ๋อร์แล้วพูดขึ้นมาว่า “นี่คือน้องหญิงสองใช่หรือไม่ขอรับ”
เมื่อซินเจี่ยเอ๋อร์เห็นคนแปลกหน้าก็รีบมุดเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาแล้วแอบมอง
ฮูหยินห้าเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางบอกกับซินเจี่ยเอ๋อร์ “รีบเรียกพี่สามสิ!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์รีบพูดตาม “พี่สาม” จากนั้นก็เอาหัวมุดเข้าไปในอ้อมแขนของฮูหยินห้าอีกครั้ง
สวีซื่อเจี่ยนรู้สึกสนุกจึงดึงนิ้วของซินเจี่ยเอ๋อร์แล้วชี้ไปที่สวีซื่อฉิน “นี่คือพี่ใหญ่!”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจจึงรีบดึงนิ้วกลับแล้วมุดเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาโดยไม่สนใจเขา
สวีซื่อฉินเห็นว่าฮูหยินห้าไม่ได้บังคับให้เด็กน้อยทักทายตัวเองจึงรู้ว่านางรักและเอ็นดูบุตรสาวคนนี้เป็นอย่างมาก จึงรีบตำหนิน้องชาย “โตขนาดนี้แล้วยังทำตัวเป็นเด็กต่อหน้าท่านย่าอยู่อีก!”
สวีซื่อเจี่ยนไม่คิดเช่นนั้น มองไปยังพี่ชายของตัวเองแล้วหัวเราะ
ฮูหยินห้าพูดเกลี้ยกล่อมให้ซินเจี่ยเอ๋อร์เอ่ยทักทายพี่ชาย แม้ซินเจี่ยเอ๋อร์จะไม่ยอมเงยหน้าแต่กลับเอ่ยปากร้องเรียก “พี่ชายใหญ่” อย่างไม่เต็มใจ
สวีซื่อฉินไม่อยากให้นางต้องลำบากใจจึงรีบยิ้มรับ
ไท่ฮูหยินมองพลางชี้ไปที่เก้าอี้จิ่นอู้ที่สาวใช้น้อยยกเข้ามา “พวกเจ้านั่งลงคุยกันก่อนเถิด!”
สองพี่น้องพากันนั่งลง บรรดาสาวใช้ยกชามาวาง ไท่ฮูหยินจึงเริ่มซักถามถึงคุณชายสามและฮูหยินสาม
สวีซื่อฉินตอบทีละคำถาม บอกว่าคุณชายสามรับราชการอยู่ที่ซานหยาง เป็นที่รักของราษฏร มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเบื้องบน ฮูหยินสามเปิดร้านข้าว หลายปีมานี้ทั้งได้กำไรและขาดทุน แต่ว่าค่อนข้างลำบากดังนั้นจึงปิดร้านไปเมื่อสองปีที่แล้ว กานเหล่าเฉวียนเป็นคนส่งพวกเขากลับมาเยี่ยนจิง ให้ป้ายชื่อของสวีลิ่งอี๋ไป จึงมาถึงเยี่ยนจิงล่วงหน้าอย่างราบรื่นและปลอดภัยตลอดทาง…
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า ถามพวกเขาว่า “ได้เจอกับอาสี่ของพวกเจ้าแล้วหรือยัง”
สวีซื่อฉินตอบอย่างนอบน้อมว่า “พึ่งจะลงจากรถม้าก็มาคารวะท่านย่าเลยยังไม่ได้ไปพบอาสี่ขอรับ”
ตามหลักแล้วพวกเขาควรจะไปคารวะสวีลิ่งอี๋ที่เรือนนอกก่อน เพื่อที่สวีลิ่งอี๋จะได้บอกแผนการจัดการของพวกเขาให้แก่พวกเขา แล้วพวกเขาค่อยมาที่จวนเพื่อคารวะท่านย่า ท่านป้าและท่านอา แต่พ่อบ้านไป๋บอกว่าหลายวันมานื้สืออีเหนียงไม่สบาย สวีลิ่งอี๋ก็อยู่แต่ในเรือน พวกเขาไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ความแล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่าสืออีเหนียงป่วยเป็นอะไร ไม่อาจตรงไปที่เรือนของสืออีเหนียงได้ จึงมาหาไท่ฮูหยินก่อน หากไท่ฮูหยินถามก็กลัวว่าไท่ฮูหยินจะรู้ว่าสวีลิ่งอี๋อยู่ที่เรือนสืออีเหนียงในตอนกลางวัน สวีซื่อฉินจึงตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ
ก็คือบอกว่ายังไม่ได้พบ!
เรื่องที่พวกเด็กๆ กลับมา สวีลิ่งอี๋เคยพูดกับไท่ฮูหยินแล้ว และได้วางแผนจัดการไว้หมดแล้ว แต่อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องของบุรุษ ไท่ฮูหยินไม่สามารถล้ำเส้นได้ จึงหันไปกำชับป้าตู้ว่า “เจ้าพาคุณชายน้อยทั้งสองท่านไปพบท่านโหว!” แล้วหันมาพูดกับสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนว่า “ในเมื่อกลับมาแล้วก็ควรจะไปคารวะอาสี่และอาหญิงสี่ อีกประเดี๋ยวค่อยมาทานอาหารเย็นที่เรือนของข้า”
ทั้งสองโค้งคำนับแล้วตอบ “ขอรับ” จากนั้นก็ตามป้าตู้ไปที่เรือนของสืออีเหนียง
เมื่อสวีลิ่งอี๋ขยับตัวสืออีเหนียงที่หลับอยู่ในอ้อมแขนของเขาก็ตื่นขึ้นมา
“ฉินเกอกับเจี่ยนเกอกลับมาแล้ว!” สวีลิ่งอี๋ลูบหน้าผากสืออีเหนียงเบาๆ กระซิบบอก “ข้าจะไปดูเสียหน่อยแล้วจะรีบกลับมาทันที”
สืออีเหนียงลุกขึ้น “เด็กๆ เดินทางมาไกล ถึงอย่างไรข้าก็ควรจะไปพบพวกเขาสักหน่อย”
สวีลิ่งอี๋ท่าทางลังเลขึ้นมา
สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่นั่งอยู่ที่ห้องปีกทิศตะวันออกให้เด็กๆ มาคารวะข้าก็พอแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า เมื่อสืออีเหนียงสวมเสื้อแขนยาวเสร็จแล้วก็อุ้มนางไปนั่งบนเตียงเตาที่ห้องปีกทิศตะวันออก จากนั้นก็ไปที่ห้องโถง
หู่พั่วและคนอื่นๆ เข้ามาช่วยสืออีเหนียงหวีผม
สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนสองพี่น้องเข้ามาคำนับสืออีเหนียง
“ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมา!” สืออีเหนียงยิ้มพลางสำรวจดูสองพี่น้อง “ไม่เจอกันสองปี โตกันหมดแล้ว” จากนั้นก็มองสวีซื่อเจี่ยน “น่าเสียดายที่น้องสี่กับน้องห้าของเจ้าไปที่สำนักศึกษาแล้ว มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะดีใจแค่ไหน!”
สองพี่น้องเห็นว่าสืออีเหนียงนั่งพิงหมอนอิงอยู่บนเตียงนั่ง แม้ว่าจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ก็ยากที่จะแอบซ่อนความเหนื่อยล้าได้ ทั้งสองแอบประหลาดใจเล็กน้อย สวีซื่อเจี่ยนคิดถึงตอนนั้นที่สืออีเหนียงเคยหยอกล้อเขา จึงไม่คำนึงถึงความเกรงใจ รีบพูดขึ้นมาว่า “อาหญิงสี่ ท่านเป็นอะไรหรือ”
สืออีเหนียงรู้สึกอายเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “หลายวันมานี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามถึงเรื่องคุณชายสามและฮูหยินสาม
สวีซื่อฉินกลัวว่าสวีซื่อเจี่ยนจะพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมออกมาอีกจึงจ้องสวีซื่อเจี่ยนตาเขม็ง ส่งสัญญาณไม่ให้เขาพูดจามั่วซั่ว จากนั้นก็พูดตอบสืออีเหนียง
สืออีเหนียงอดน้ำตาคลอไม่ได้
สวีซื่อเจี่ยนยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่สวีซื่อฉินกลับรู้จักวางตัวมากกว่าแต่ก่อนมาก
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้นึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสวีซื่ออวี้
ทั้งสองคนพูดคุยกัน เมื่อรู้ว่าอยู่ที่ซานหยางพวกเขาสบายดี ทางฝั่งของไท่ฮูหยินก็ส่งคนมาตามให้พวกเขาไปทานอาหารเย็น สืออีเหนียงเพียงแค่ยิ้มแล้วให้สาวใช้น้อยนำชามาวาง
“พอจุนเกอกับเจี้ยเกอเลิกเรียนแล้ว ข้าค่อยให้ไปพบพวกเจ้า”
สองพี่น้องไม่อาจอยู่นานได้ จึงลุกขึ้นกล่าวลา