อาจารย์ฮุ้ยจื้อยืนอยู่ด้านนอกประตูส่งเหล่าขันทีขึ้นม้า เพื่อแสดงความเคารพ วัดถิงอวิ๋นเตรียมรถม้าหนึ่งคัน พระสงฆ์รูปหนึ่งถือกล่องส่งไปยังพระราชวังด้วยตนเอง
รถม้าเปิดม่าน ราษฎรบนถนนสามารถมองเห็นคนในรถ พวกเขาต่างถกเถียงอย่างสงสัย
“พระสงฆ์ของวัดถิงอวิ๋น”
“คงจะเป็นของขวัญเฉลิมฉลองของเหล่าท่านอ๋อง”
“ไม่รู้เป็นสิ่งใด”
รถม้าเคลื่อนตัวไปภายใต้การอารักขาของขันทีและองครักษ์ อาจารย์ฮุ้ยจื้อหลุบตา สองมือพนมไว้ตรงหน้า ท่องบทสวดเสียงเบา
ของขวัญของอาจารย์ฮุ้ยจื้อยังไม่ถึงเมืองหลวง ภายในพระราชวังก็คึกคักมากยิ่งกว่าก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งตำหนักหน้า สวนดอกไม้ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เทียบกันแล้วตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เงียบสงบเป็นพิเศษ
ขันทีสองคนถือสำรับอาหารมาจากตำหนักหน้าเดินเข้ามา เหล่าขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าตำหนักบรรทมรีบต้อนรับ
“ฝ่าบาทส่งของให้องค์ชายหกอีกแล้ว” พวกเขาพูดด้วยรอยยิ้ม
ขันทีทั้งสองยิ้มตอบ “ใช่ ถึงแม้องค์ชายหกจะไม่ได้อยู่ข้างกายฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทก็อยากให้องค์ชายหกร่วมฉลองเหมือนกับตำหนักหน้า”
พวกเขาพูดพลางมองเข้าไปด้านใน ประตูตำหนักปิดสนิท ด้านในไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวใด ราวกับไร้ซึ่งผู้คน
“องค์ชายหกเล่า?” ขันทีทั้งสองถามเสียงเบา
เหล่าขันทีที่เฝ้าประตูตอบด้วยเสียงเบาเช่นเดียวกัน “หลังจากฝ่าบาทส่งอาหารจากงานเลี้ยงมา องค์ชายเสวยไปเล็กน้อย จากนั้นตรัสว่าจะบรรทม เวลานี้คงบรรทมลงแล้ว”
บรรทมแล้วหรือ ขันทีทั้งสองล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปเข้าเฝ้า องค์ชายหกร่างกายไม่แข็งแรง หากรบกวนเขาคงจะเป็นปัญหา
“องค์ชายไม่กระปรี้กระเปร่านัก งานเลี้ยงโหวกเหวก ฝ่าบาทควรให้องค์ชายพักผ่อนอยู่ในจวน” พวกเขาพูดเสียงเบา
งานเลี้ยงครานี้ องค์ชายห้าเนื่องจากถูกกักบริเวณจึงไม่ได้เข้าร่วม ตามหลักแล้วองค์ชายหกร่างกายไม่แข็งแรงก็ไม่มาได้ เมื่อตอนอยู่ซีจิงก็เป็นเช่นนี้ องค์ชายหกแทบจะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์ แต่ครานี้ฮ่องเต้กลับให้คนใช้รถไปรับองค์ชายหกเข้ามา แต่ก็ทิ้งคนไว้ในตำหนักบรรทม ไม่ได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยง
ขันทีที่เฝ้าประตูพูด “ถึงแม้องค์ชายหกไม่ได้ปรากฏตัวในงานเลี้ยง แต่อยู่ภายในพระราชวังย่อมใกล้กว่าอยู่ในจวนมาก ฝ่าบาททรงอยากให้องค์ชายหกร่วมฉลองด้วย”
แต่ก็ไม่ได้ร่วมงานเลี้ยง ด้านนอกกำลังเฉลิมฉลอง ทางนี้กลับบรรทม ขันทีทั้งสองคิดในใจ แต่มันคงเป็นความห่วงใยของฮ่องเต้ที่มีต่อองค์ชายหก พวกเขาวิจารณ์ไม่ได้ บางทีองค์ชายหกเหลือวันเวลาไม่มากแล้ว ฝ่าบาทพยายามทำทุกวิถีทางให้เขาอยู่ข้างกายคนในครอบครัวให้มาก
พวกเขามองเข้าไปในตำหนักด้วยสายตาเห็นใจและเศร้าโศก ก่อนจะนำสำรับอาหารให้ขันทีที่เฝ้าประตู
“พวกเราจะกลับไปทูลฝ่าบาท บอกว่าองค์ชายดีใจอย่างมาก” พวกเขาพูดเสียงเบา
เช่นนี้ย่อมปลอบประโลมฝ่าบาทในฐานะบิดาผู้หนึ่งได้
ขันทีที่เฝ้าประตูพยักหน้า “องค์ชายหกดีใจอย่างมาก อาหารที่ส่งมาก่อนหน้านี้ พระองค์เสวยไปมาก”
ขันทีทั้งสองจากไป ตำหนักบรรทมกลับคืนสู่ความสงบ เหล่าขันทีที่เฝ้าประตูต่างไม่ยอมรับหน้าที่ สุดท้ายผลักขันทีผู้หนึ่งถือสำรับเดินเข้าไป
ขันทีมองตรงเข้าไปในห้องด้านข้าง เตียงหลังหนึ่งปล่อยม่านลง เด็กน้อยคนหนึ่งนั่งคุกเข่าหลับอยู่ด้านข้าง ด้านหลังม่านเห็นว่ามีร่างคนนอนตะแคงอยู่
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เด็กน้อยเช็ดน้ำลายลืมตาขึ้น
ขันทีชี้ไปที่สำรับ เด็กน้อยพยักหน้าให้เขาวางลง ชี้ไปที่ม่านพลางทำท่าอย่าส่งเสียง
ขันทีย่อมไม่อยากเดือดร้อน เขารีบวางสำรับแล้วถอยออกไป ปิดประตูอย่างระมัดระวัง เด็กน้อยถือสำรับมา เพิ่งเปิดกล่องออก หลังม่านก็มีมือหนึ่งคว้าไปที่ขนม…
“มันเป็นของข้า” อาหนิวพูดเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจ
มือข้างนั้นหลบได้อย่างคล่องแคล่ว พร้อมทั้งหยิบขนมชิ้นหนึ่งไป
อาหนิวยู่ปากด้วยความโกรธ “ก่อนหน้านี้ข้าปลอมตัวเป็นองค์ชาย หวังไต้ฟูท่านกินไปมากแล้วตอนเฝ้าอยู่ด้านนอก”
ม่านถูกเปิดขึ้น หวังเจียนนอนอยู่บนเตียง พลางกัดขนมพลางส่งเสียงในลำคอ “มากอันใดกัน ของแค่นั้นพอกินที่ใด ต่างจากในงานเลี้ยงอย่างมาก” พูดถึงตรงนี้ก็ร้องทุกข์ “พวกเราก็โชคร้าย กินดีอยู่ดีภายในจวนดีเพียงใด องค์ชายหกต้องทำให้ฝ่าบาททรงขุ่นเคือง ถูกดึงออกมาจากจวนขังไว้ที่นี่ให้ลำบาก”
อาหนิวเอ่ยแก้ไข “จะเรียกว่าลำบากได้อย่างไร อยู่ในจวนองค์ชายจะหาคุณหนูตันจูได้อย่างไร คุณหนูตันจูอยู่ที่นี่ องค์ชายอยู่คนเดียวในจวนถึงจะเรียกว่าน่าสงสาร”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ เหลือบมองหน้าต่างด้านข้าง ฮ่องเต้เองก็ด้วย คิดว่าการทำเช่นนี้จะสามารถทำให้องค์ชายหกได้ยินแต่เสียง แต่ไม่พบตัวเฉินตันจู ถูกขังจนลนลานหมดหนทางหรือ หลายปีแล้วยังไม่จำให้เข็ดหลาบ องค์ชายหกเป็นคนที่ขังไว้ได้หรือ
เด็กคนนี้ มุดหน้าต่างหนีไปตั้งแต่งานเลี้ยงเริ่มแล้ว คนที่ถูกกักขังจนลนลานมีเพียงหมอหลวงที่น่าสงสารและโชคร้ายอย่างเขา
แต่ว่าเด็กคนนั้นออกไปจะได้พบกับคุณหนูตันจูหรือ เขาก็ทำได้เพียงแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง มองคุณหนูตันจูยักคิ้วหลิ่วตากับท่านอ๋องฉี ดูคุณหนูตันจูชมทิวทัศน์สนุกสนาน เหมือนดั่งตอนนั้น ตอนที่เขายังเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก โจวเสวียนเชิญบรรดาคนหนุ่มสาวไปเฉลิมฉลองการสถาปนาโหว…หากพูดตามจริงแล้วก็เพื่อเชิญเฉินตันจู ความคิดของคนหนุ่มสาว ผู้ใดไม่รู้กัน!
บรรดาคนหนุ่มสาวยักคิ้วหลิ่วตากันในงานเลี้ยง คนชราอย่างแม่ทัพหน้ากากเหล็กทำได้เพียงหลบอยู่ในห้องแกะสลักไม้ จินตนาการเหตุการณ์ที่คุณหนูตันจูกำลังสนุกกับผู้อื่น
เวลานี้เขาไม่เป็นคนชราแล้ว เขากลับไปเป็นองค์ชายที่อายุน้อย แต่ยังคงถูกขังไว้ ยังคงทำได้เพียงมองคุณหนูตันจูสนุกสนาน…
จิ๊ๆๆ ชายหนุ่มผู้น่าสงสาร
แต่ว่าคนหนุ่มสาวก็ไม่ได้เล่นสนุกอยู่เสมอไป เวลานี้เฉินตันจูนั่งอยู่บนก้อนหินหนึ่งในสวนดอกไม้อย่างโดดเดี่ยว
อาจี๋ผู้ติดตามถูกขันทีจิ้นจงเรียกไป ไม่ได้ตามมาอีกตั้งแต่งานเลี้ยงเลิกรา นางกับองค์หญิงจินเหยาเดินตามพระสนมเสียนและแขกสตรีท่านอื่นเข้ามาในสวนดอกไม้
“ก่อนหน้านี้เจ้าพูดเรื่องใด” องค์หญิงจินเหยาดึงนางให้เดินอยู่ด้านหลังฝูงชน “เหตุใดจึงร่ำรวยแล้ว”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะผู้ใดเห็นหม่อมฉันก็รัก ดอกไม้ใดเห็นหม่อมฉันก็แบ่งบาน ทุกคนอยากให้เงินหม่อมฉันเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาถอดกำไลยกชิ้นหนึ่งให้นาง “ใช่แล้วๆ ข้าก็ให้เงินเจ้า”
เฉินตันจูรีบใส่กลับไปให้นาง “องค์หญิงไม่ต้องเพคะ องค์หญิงก็เป็นคนที่เพราะผู้ใดเห็นหม่อมฉันก็รัก ดอกไม้ใดเห็นหม่อมฉันก็แบ่งบาน พวกเราใช้ความงามหักล้างกัน” นางไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ถามองค์หญิงจินเหยา “ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าได้ยินหม่อมฉันเรียกหาท่าน ท่านจึงออกมา เหตุใดหม่อมฉันจึงไม่เห็นท่าน”
องค์หญิงจินเหยาถอนหายใจ “ข้าเพิ่งออกมา ก็เห็นนางในของพระสนมสวีชนเข้ากับพี่สองของข้า พี่สองข้าอารมณ์เสีย พี่สองข้าเมื่อดื่มเหล้าแล้วก็มักจะอารมณ์เสีย โหวกเหวกในจวนก็แล้วไป ยังมาโหวกเหวกในวังอีก เสด็จพ่อคงจะโกรธอีก ข้าจึงพานางไป มอบให้พี่เขยสอง จึงมาหาเจ้าช้า”
เฉินตันจูพยักหน้าเข้าใจ นางย่อมไม่ได้ให้คนเชิญองค์หญิงจินเหยาออกมา มันเป็นการเตรียมการของพระสนมสวี เช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดสังเกตว่าพระสนมสวีมาพบนาง อย่างไรก็ตาม ผู้คนต่างรู้ว่านางสนิทกับองค์หญิงจินเหยา
เฉินตันจูไม่ได้พูดเรื่องพระสนมสวีกับองค์หญิงจินเหยา นางรับเงินมาย่อมต้องรักษาสัจจะ
องค์หญิงจินเหยาไม่ได้สังเกตคำถามของเฉินตันจู นึกถึงเรื่องที่พี่สองกับพี่เขยทะเลาะกันเมื่อพบหน้า ระหว่างสามีภรรยาราวกับศัตรู ไม่อยากเห็นหน้าซึ่งกันและกัน ภายในใจทั้งเศร้าโศกทั้งหดหู่ ครานี้เสด็จพ่อก็กำลังมองหาพระสวามีให้นาง แต่นางย่อมต้องหาคนที่รักใคร่ แต่คงยากที่จะหาพบ
หญิงสาวอายุน้อยก็มีความกลุ้มใจ เมื่อเห็นความคึกคักตรงหน้ายิ่งหมดความอดทน ดึงเฉินตันจูไปหาสถานที่ที่เงียบสงบ เฉินตันจูย่อมยินดี แต่เดินไปได้ไม่ไกลก็ถูกขันทีสองสามคนเดินมาหา
“องค์หญิง ฝ่าบาทหาท่าน” ขันทีที่นำหน้าพูดด้วยรอยยิ้ม
องค์หญิงจินเหยาจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นขันทีข้างกายฮ่องเต้ นางถามว่าเรื่องใด ขันทีกลับตอบว่าไม่รู้ “ให้องค์หญิงเสด็จไปบัดนี้”
เฉินตันจูถามอยู่ด้านข้าง “ฝ่าบาทไม่หาข้าหรือ ข้าไปด้วยดีกว่า”
ขันทีทั้งขบขันทั้งโกรธ คุณหนูตันจูช่าง…นางต้องการถูกต่อว่าหรือ
องค์หญิงจินเหยาก็รู้ เฉินตันจูตามไปย่อมต้องถูกต่อว่า ก่อนจะคาดเดาว่าเสด็จพ่อคงมีเจตนาให้นางพบกับชายหนุ่มผู้มีความสามารถคนใด ช่างยุ่งยากเสียจริง นางต้องบอกไม่ให้เสด็จพ่อตัดสินใจโดยพลการและ กำชับเฉินตันจูให้หาที่รอนาง ก่อนจะเดินตามขันทีไป
เมื่อเห็นองค์หญิงจินเหยาจากไป เฉินตันจูไม่ได้เดินทางกลับสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนอีก นางหาพื้นที่ด้านหลังภูเขาหินจำลองนั่งลง มองดูต้นหญ้าและดอกไม้
เพิ่งหยิบก้อนหินขึ้นมา นางในคนหนึ่งเดินเข้ามาจากระยะไกลด้วยรอยยิ้ม กวักมือให้นาง “องค์หญิงตันจู องค์หญิง ท่านมา บ่าวคือ…”
นางยังพูดไม่ทันจบก็เห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่บนก้อนหินลุกขึ้น ยกกระโปรงวิ่งหนีไป
นางในยืนอยู่ที่เดิมด้วยความตกตะลึง
หญิงสาวผู้นั้นสวมชุดกระโปรงพันสามรอบ สวมใส่เครื่องประดับที่ไหวไปมาเมื่อเดิน ไม่คิดว่าจะวิ่งได้เร็วเพียงนั้น!
นางในผู้นั้นตั้งสติกลับมา พร้อมตะโกน “คุณหนูตันจู” แล้ววิ่งตามมา แต่หญิงสาวกระโดดหลบเข้าด้านหลังของภูเขาจำลองลูกหนึ่งราวกับกระต่าย นางในเดินอ้อมมา ไม่เห็นแม้แต่เงาคน
นางในอยู่ในพระราชวังเป็นเวลานาน แต่พบเห็นคนที่มีการกระทำเช่นนี้ครั้งแรก นางตะโกนเรียกคุณหนูตันจูหลายครั้ง แต่ไร้วี่แววการตอบรับ จึงทำได้เพียงจากไป
…
เฉินตันจูมุดออกมาจากพุ่มไม้ นางปัดเศษใบไม้ที่ติดอยู่บริเวณชายกระโปรง ด้านหลังไม่ได้ยินเสียงของนางในแล้ว…
ประจบสอพลออย่างไร้เหตุผล ย่อมต้องเป็นการทำดีหวังผล!
นางไม่ได้โง่ เมื่อองค์หญิงจินเหยาไปก็มีคนมาหานาง เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาไม่ดี
กลอุบายนี้พระสนมสวีเคยใช้มาครั้งหนึ่งแล้ว!
ภายในพระราชวังนี้ นอกจากฮ่องเต้และองค์หญิงจินเหยาเข้ามาหานางด้วยความจริงใจ…องค์หญิงมาเล่นกับนาง ส่วนฮ่องเต้หานางเพื่อต่อว่านางอย่างเปิดเผย ไม่มีการลอบทำร้าย คนอื่นไม่หลีกเลี่ยงนางให้ไกล ก็มีเจตนาแอบแฝง
นางค่อนข้างระวังตัว หากหาตัวนางไม่พบ ก็ไม่มีทางทำร้ายนางได้แล้วใช่หรือไม่
เฉินตันจูเงยหน้า มองหาที่หลบซ่อน ก่อนจะเห็นภูเขาจำลองที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดตรงหน้า ในศาลาเล็กที่สี่มุมของหลังคากระดกขึ้นบนภูเขาจำลองนั้นมีคนยืนอยู่…
คนผู้นั้นสวมชุดสีดำ สวมหมวกปิดบังใบหน้า เมื่อมองผ่านๆ เขาราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับศาลาเล็ก
เฉินตันจูหันหลังเพื่อเดินจากไปทันที ไม่อยากเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นคนหรือเป็นผีแม้แต่น้อย
“คุณหนูตันจู”
คนที่อยู่ในศาลาเรียก
เสียงของเขาจงใจกดให้ต่ำลง ราวกับกลัวคนได้ยิน แต่ก็สามารถทำให้นางได้ยินอย่างชัดเจนพอดี
เสียงนี้?
เฉินตันจูหันไป มองคนในศาลาถอดหมวกออก ผมสีดำดุจหมึก ผิวขาวดุจหยก
“เฉินตันจู” เขายกมือขึ้นส่ายไปมาเล็กน้อย นำมือป้องไว้ข้างปาก “ข้าเอง”
เฉินตันจูดึงสติกลับมา สีหน้าตกตะลึง
“องค์…” นางตะโกน แต่เมื่อตะโกนคำแรกออกมา นางก็ป้องปากกดเสียงต่ำเช่นเดียวกัน “องค์ชาย เหตุใดท่านจึงอยู่ตรงนี้”
ฉู่อวี๋หยงยกมือทำท่าให้นางเบาเสียง จากนั้นสวมหมวกกลับไปใหม่ เฉินตันจูมองเขาหันหลังบนศาลาเล็ก เดินตามภูเขาจำลองลงมา…
ร่างกายขององค์ชายหกไม่ดี เฉินตันจูรีบเดินเข้าไป เหยียบบนทางเดินขนาดเล็กแคบ ยื่นมือไปให้ฉู่อวี๋หยงที่เดินลงมา
ฉู่อวี๋หยงก้มมองหญิงสาวที่เดินมาต้อนรับ ยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือมาวางบนแขนของนาง เดินลงมาอย่างช้าๆ
“ท่านก็มาด้วยหรือ” เฉินตันจูถาม “ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไม่เห็นท่าน คิดว่าท่านไม่ได้มาเสียอีก”
ก่อนหน้านี้ไม่เห็นองค์ชายหกในงานเลี้ยง ยังคิดว่าเขาไม่ได้มา ในงานเลี้ยงก็ไม่มีสิ่งใดน่ารื่นเริง อีกทั้งยังเป็นการเฉลิมฉลองให้ท่านอ๋องใหม่ทั้งสาม องค์ชายหกร่างกายไม่ดี ไม่ปรากฏตัวก็ไม่แปลก
ฉู่อวี๋หยงยิ้มเล็กน้อย พูดเสียงเบา “เสด็จพ่อให้ข้าพักผ่อนอยู่ในตำหนักบรรทม ดังนั้นเจ้าจึงไม่เห็นข้า”
อย่างนี้หรือ เฉินตันจูพยักหน้า อย่างนี้ก็ไม่เลว ครอบครัวเดียวกันถือว่าได้ฉลองร่วมกันแล้ว
“เหตุใดท่านจึงออกมา” เฉินตันจูถามอีกครั้ง
ฉู่อวี๋หยงเข้าใกล้นาง พูดเสียงต่ำ “ข้าแอบหนีออกมา”
เฉินตันจูผงะ นึกถึงเรื่องตอนเด็กที่องค์หญิงจินเหยาเคยเล่า ถึงแม้องค์ชายหกร่างกายไม่ดี แต่เขาซุกซนอย่างมาก ช่วงเวลาที่คึกคักเช่นนี้ถูกขังในห้อง เขาไม่มีทางอยู่เฉยอย่างแน่นอน
“องค์ชายหกเสด็จมาเมืองหลวง ยังไม่เคยเดินดูพระราชวังใช่หรือไม่” นางถามด้วยรอยยิ้ม
ฉู่อวี๋หยงมองไปยังพุ่มไม้ที่หนาแน่นด้านหน้า “หลังจากข้ามาถึงก็ออกไปพักในจวนแล้ว” ก่อนจะยิ้มเป็นเชิงขอโทษ “ข้าแค่เดินเล่นไปทั่ว เห็นตรงนี้คนน้อย ไม่คิดว่าจะรบกวนความสงบของคุณหนูตันจู”
เฉินตันจูยิ้ม “แสดงว่าพวกเราเห็นชอบเหมือนกัน ล้วนเลือกสถานที่ดีเช่นนี้” พูดพลางมองซ้ายขวา เรียกฉู่อวี๋หยง “ตามหม่อมฉันมาเพคะ”
ฉู่อวี๋หยงเดินอ้อมภูเขาจำลองตามนาง มาถึงใต้ราวดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ใบไม้และเถาวัลย์แผ่กระจายจนแสงแดดสาดส่องลงมาไม่ได้
“ตรงนี้สามารถเห็นด้านนอก…” เฉินตันจูพูดพลางชี้ไปด้านข้าง
ฉู่อวี๋หยงมองตามที่นางชี้ เห็นอีกด้านของราวดอกไม้นี้ติดกับอีกทางหนึ่ง ริมทางนั้นเป็นทะเลสาบ เต็มไปด้วยต้นหลิว งดงามอย่างมาก
“แต่คนด้านนอกมองไม่เห็นตรงนี้” เฉินตันจูพูดต่อ ราวดอกไม้นี้ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์ หากมองผ่านๆ มันก็เป็นเพียงพุ่มไม้ มองไม่ออกว่าด้านในเป็นโพรง “อยู่ตรงนี้ทั้งสงบทั้งคึกคัก”
ฉู่อวี๋หยงเข้าใจความหมายของเฉินตันจู เขาเนื่องจากสาเหตุของร่างกาย จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่ที่สงบ แต่ในฐานะที่เป็นมนุษย์ จะไม่สงสัยความคึกคักภายนอกได้อย่างไร นั่งอยู่ภายใต้ราวดอกไม้นี้ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่งดงาม คนเดินขวักไขว่ไปมาด้านนอก แต่ทิวทัศน์ที่งดงามและคนเดินขวักไขว่ไปมามองไม่เห็นเขา ไม่รบกวนเขา
ฉู่อวี๋หยงมองหญิงสาวตรงหน้า แสงแดดตกกระทบลงบนตัวของนาง ถึงแม้ข้างกายนางจะเต็มไปด้วยกับดัก แต่ละคนล้วนมีเจตนาไม่ดี เพิ่งประสบกับการแลกเปลี่ยนเชิงบังคับกับพระสนมสวี ทั้งระแวงทั้งตระหนก ทำให้แม้แต่นางในเพียงคนเดียวเรียกนางยังสามารถทำให้นางวิ่งหนีได้ แต่เมื่อได้ยินว่าเขาแอบหนีออกมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ นางไม่ได้เรียกคนมาส่งตัวเขากลับไปด้วยความหวาดกลัว หากแต่หาสถานที่ที่หลบซ่อนยิ่งกว่าให้เขา ไม่กลัวว่าหากถูกพบจะมีปัญหาใดแม้แต่น้อย
นางเป็นหญิงสาวที่ใจดีเช่นนี้เสมอมา นางรู้ความโหดร้ายของโลกภายนอก แต่ไม่ได้หลับตาไม่มองไม่ถามเพราะเหตุนี้ นางยังคงคำนึงถึงผู้อื่นอย่างไม่ลังเล ฉู่อวี๋หยงยื่นมือหยิบใบไม้ที่ติดอยู่บนหัวของนางตอนที่นางหลบนางในเข้าไปในพุ่มไม้ออก
“คุณหนูตันจูก็ต้องการที่แบบนี้ใช่หรือไม่” เขาพูด “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นเจ้ากำลังหลบนางในคนหนึ่ง มีเรื่องใดหรือ”
เขาเห็นด้วยหรือ ศาลาเล็กบนภูเขาจำลองนั้นสูงเล็กน้อย เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจไม่มีเรื่องใด แต่มันเป็นสัญชาตญาณของคนชั่วร้ายอย่างหม่อมฉัน”
สัญชาตญาณของคนชั่วร้าย? ฉู่อวี๋หยงปลดผ้าคลุมออก ปูไว้บนใบไม้ที่กระจัดกระจาย เขานั่งลงก่อน จากนั้นเรียกเฉินตันจู “คุณหนูตันจู นั่งลงก่อน”
เฉินตันจูไม่ได้ปฏิเสธ นั่งลงตามคำเชิญ นางมองไปยังทางด้านนอกผ่านกิ่งไม้และเถาวัลย์ พูดเสียงเบา “คนชั่วร้ายอย่างพวกหม่อมฉันล้วนมีใจคิดจะทำร้ายผู้อื่น ดังนั้นเมื่อเห็นผู้อื่น ย่อมคิดว่าพวกเขาจะทำร้ายพวกหม่อมฉันเช่นเดียวกัน”
ฉู่อวี๋หยงพยักหน้า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้ คุณหนูตันจูช่างเด็ดขาด ฉลาดอย่างมาก”
แบบนี้ก็ชมได้ด้วยหรือ เฉินตันจูหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะดังเกินไป นางจึงรีบปิดปาก รอยยิ้มออกมาจากดวงตาของนาง