เมื่อมองจากมุมนี้แล้ว
หลินเยวียนถึงกับรู้สึกขอบคุณที่ชาวฉู่หยิบยกตนขึ้นมาเอ่ยถึงด้วยซ้ำไป เป็นเพราะคนฉู่เอาแต่ปลุกความเคืองแค้นอย่างไม่หยุดหย่อน กระตุ้นให้คนฉินรวมกันเป็นกลุ่มก้อน ถึงได้มีคนเริ่มสนใจภาพยนตร์ของตนมากเช่นนี้!
“แต่ว่า…”
เหล่าโจวกล่าวอย่างกังวลใจ “ฉันยังไม่ได้ฟังเพลงในหนังของนายเลย รับประกันคุณภาพได้ใช่ไหม ถ้าไม่มั่นใจละก็ฉันให้พ่อเพลงในบริษัทช่วยได้นะ พวกเขาน่าจะยังพอมีเพลงที่ยังไม่ได้ปล่อยอยู่บ้าง คุณภาพดีมากทีเดียว”
“ไม่เป็นไรครับ”
หลินเยวียนมั่นใจเต็มเปี่ยม
ความมั่นใจของเขานั้นไม่ได้มาจากตัวเขาเอง ทว่ามาจากผลงานสุดคลาสสิกอันโด่งดังในโลกที่แล้ว เพลงวิวาห์ในฝันนับเป็นอภิมหาเครื่องจักรสังหารได้อย่างไร้ข้อกังขา กล่าวได้ว่านี่เป็นครั้งที่หลินเยวียนมั่นใจมากที่สุด!
“มั่นใจใช้ได้…”
เหล่าโจวพยักหน้า เขาไม่สงสัยในความสามารถด้านการประพันธ์เพลงของหลินเยวียนเลย ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงกับหลายเรื่องเหลือเกิน ถ้าเกิดบทเพลงในเรื่องนักปรับเสียงเปียโนไม่มีศักยภาพมากพอ ไม่เพียงภาพยนตร์ที่จะได้รับผลกระทบ ชื่อเสียงในฐานะนักประพันธ์เพลงของเซี่ยนอวี๋ก็จะถูกโจมตีครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน
การปั่นกระแสเป็นดาบสองคม
มหาสงครามดนตรีระหว่างฉินและฉู่ซึ่งมีศักดิ์ศรีเป็นเดิมพันนั้น ดึงดูดความสนใจมหาศาลให้กับเรื่องนักปรับเสียงเปียโนได้จริงๆ แต่ขณะเดียวกันก็ยังทำให้ความคาดหวังที่หลายคนมีต่อบทเพลงซึ่งปรากฏในภาพยนตร์เรื่องนี้สูงขึ้นด้วย ถ้าหากท้ายที่สุดแล้วความคาดหวังนี้แตะไม่ถึงมาตรฐานที่ผู้คนคาดคิดไว้ ผลลัพธ์ที่ตามมาคงไม่น่าดูอย่างแน่นอน
เซี่ยนอวี๋เองก็ยากที่จะแบกรับ
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เขายังแนะนำอีกว่า “หรือจะให้หยางจงหมิงลองฟังดูก่อน บางทีอาจให้คำชี้แนะนายได้บ้าง ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อมั่นในผลงานครั้งนี้ของนายหรอกนะ แค่ผลงานครั้งนี้มันสำคัญมากๆ!”
หลินเยวียนตอบ “แล้วแต่เลยครับ”
ทองแท้ไม่กลัวไฟหรอก
เหล่าโจวพยักหน้า พาหลินเยวียนตรงไปยังชั้นสิบสี่ ชั้นสิบสี่เป็นชั้นที่สูงที่สุดของแผนกประพันธ์เพลง ขณะเดียวกันก็เป็นชั้นที่หยางจงหมิงรับผิดชอบดูแล อีกฝ่ายเป็นพ่อเพลงระดับแนวหน้าของบลูสตาร์ จะให้หยางจงหมิงไปหาหลินเยวียนก็คงไม่ได้ ควรให้หลินเยวียนเป็นฝ่ายไปหาหยางจงหมิงจึงจะเหมาะสมกว่า
นี่เป็นมารยาทที่รุ่นน้องพึงมี
หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกติดขัดกับเรื่องนี้ ความรู้สึกที่หลินเยวียนมีต่อหยางจงหมิง อันที่จริงค่อนข้างพิเศษ หากไม่เอ่ยถึงเรื่องผลงานที่ระบบจัดเตรียมไว้ให้ หลินเยวียนคิดว่าหยางจงหมิงเป็นคนที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้กับตนมากที่สุด
อีกฝ่ายนับว่าเป็นอาจารย์ตัวจริงของหลินเยวียน!
เพราะความรู้ด้านการประพันธ์เพลงที่แท้จริงของหลินเยวียน ส่วนมากนั้นได้มาจากการถ่ายทอดจากการ์ดตัวละครของหยางจงหมิง ต่อให้ตัวหยางจงหมิงจะไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย หลินเยวียนก็ได้เรียนรู้จากอีกฝ่ายมามากมายจริงๆ
ผ่านไปไม่นาน
ก็ถึงชั้นสิบสี่
เหล่าโจวนำหลินเยวียนไปยังห้องทำงานอันเงียบสงัด เคาะประตู รอเสียงจากด้านในเอ่ยว่า ‘เชิญ’ เขาจึงผลักประตูเดินเข้าไป จากนั้นหลินเยวียนก็เห็นชายฉกรรจ์อายุราวสี่สิบต้นๆ คนหนึ่งกำลังเงยหน้ามองตน
ชายคนนี้ส่วนสูง 180 เซนติเมตรเห็นจะได้
รูปร่างสูง ทว่าใบหน้ากลับซูบตอบอยู่บ้าง เบ้าตาลึกคล้ำ คล้ายกับว่าจะพักผ่อนน้อยมาเป็นเวลานาน ผมของเขาเริ่มบางเช่นเดียวกับชายวัยกลางคนที่พบเห็นกันได้ทั่วไป สามารถจินตนาการได้ว่าช่วงวัยรุ่นเขาคงจะหล่อเหลาเอาการมากทีเดียว
“อาจารย์หยาง สวัสดีครับ”
หลินเยวียนออกตัวเอ่ยทักทาย
นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองพบกัน แต่หยางจงหมิงกลับไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วหลินเยวียนคุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาของเขาเป็นอย่างดี แม้แต่ความรู้ด้านการประพันธ์เพลงในสมองของเขา ก็หาใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับหลินเยวียน
เหล่าโจวได้แจ้งเรื่องมาก่อนหน้านี้แล้ว
หยางจงหมิงไม่ได้ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของหลินเยวียน เขาเพียงจ้องมองหลินเยวียน จ้องมองด้วยสายตาระคนความสงสัย ราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์ ผ่านไปนานกว่าเขาจะค่อยๆ เอ่ยขึ้น
“ผมรู้จักคุณ”
เหล่าโจวยิ้มเอ่ย “เรื่องนี้ผมเพิ่งแจ้งคุณไป ลองฟังเพลงครั้งนี้ของหลินเยวียนดูสักหน่อย ถ้าคุณว่าใช้ได้ ทางผมก็วางใจ ถ้าเรื่องนี้จัดการไม่ดี เซี่ยนอวี๋จะเสียหาย หวังว่าคุณจะเข้าใจนะครับ”
“เซี่ยนอวี๋ไม่เสียหายหรอก”
สีหน้าของหยางจงหมิงเคร่งขรึมลงฉับพลัน ก่อนจะกระซิบบอกกับหลินเยวียน “เพลงดาดฟ้าไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่คนฉู่มีแผนเยอะ ปล่อยให้พวกเขาได้โอกาสดีใจบ้างก็แล้วกัน”
หลินเยวียนพยักหน้า
แน่นอนเขาย่อมรู้ว่าเพลงดาดฟ้าไม่มีปัญหา แต่หยางจงหมิงกล่าวเช่นนี้เพราะมีเจตนาจะปลอบใจหลินเยวียน ดังนั้นหลินเยวียนจึงไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา พลางเอ่ย “ผมเปิดเพลงให้อาจารย์ฟังได้ไหมครับ”
หยางจงหมิงกล่าว “เล่นได้ไหม”
หลินเยวียนพยักหน้า “ได้นิดหน่อยครับ”
หยางจงหมิงมองไปยังเปียโนริมหน้าต่าง
หลินเยวียนได้สติ จึงตรงไปยังเปียโน เขาไม่ได้เลือกบทเพลงอื่นใดจากในภาพยนตร์ แต่เลือกเล่นเพลงวิวาห์ในฝัน นี่เป็นบทเพลงที่โดดเด่นที่สุดเพลงหนึ่งในภาพยนตร์ และเป็นเพลงดีที่หลินเยวียนเก็บไว้มาโดยตลอดหลังจากเปิดกล่องสมบัติได้
เหล่าโจวนั่งลง
ส่วนหยางจงหมิงกลับยืนตัวตรง สายตาที่มองไปยังหลินเยวียนมีความคาดหวัง ในวงการนี้มีหน้าใหม่ปรากฏตัวขึ้นมากมาย แต่ถึงอย่างนั้น ใช่ว่าหน้าใหม่ทุกคนจะได้รับความสนใจจากพ่อเพลง เซี่ยนอวี๋เป็นหนึ่งในหน้าใหม่จำนวนไม่มาก ที่เดบิวต์แล้วได้รับความสนใจจากหลายคน
ปลายนิ้วสัมผัสเปียโน
ร่างกายของหลินเยวียนคลอนไปเล็กน้อย นิ้วเรียวกระโดดไปมาบนเปียโนอย่างคุ้นเคย ราวกับปลาตัวเล็กซึ่งกำลังแหวกว่ายอย่างอิสระเสรีในแม่น้ำยามฝนพรำ อยู่ระหว่างสายนทีและธรรมชาติภายนอก เสียงเปียโนสงบไม่โลดโผนทำให้รู้สึกเบาหวิวราวกับลอยอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ
ไม่นับว่าดุดัน
ทว่าเสียงเปียโนของหลินเยวียนกลับมีพลังซึ่งไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ประหนึ่งปลายนิ้วแตะตัวโน้ตลงบนผิวน้ำของทะเลสาบอันเงียบสงบ ก่อเกิดเป็นระลอกคลื่นอยู่ในก้นบึ้งในหัวใจของหยางจงหมิง
แววตาของเหล่าโจวเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ต่อให้ความสามารถในการเข้าถึงสุนทรีย์ของบทเพลงของเขาจะเทียบกับหยางจงหมิงไม่ได้ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของเพลงนี้ เทคนิคในการบรรเลงเปียโนของหลินเยวียนเป็นมืออาชีพมาก หากไม่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงย่อมไม่มีทางแตะถึงระดับนี้ได้!
หยางจงหมิงค่อยๆ หลับตาลง
เสียงเปียโนนี้คล้ายมีมนตร์สะกด ทำให้จิตใจของเขาในตอนนี้บริสุทธิ์ราวแสงจันทร์กระจ่าง และปลายนิ้วซึ่งร่ายรำอยู่บนคีย์เปียโนสีขาวดำแลดูราวกับกำลังขับขานเรื่องราวอันน่าประทับใจ ทว่าแฝงด้วยความโศกเศร้าซึ่งไร้คำอธิบาย
มือซ้ายของหลินเยวียนเร่งเร็วขึ้น
เสียงของเปียโนบริสุทธิ์และแพรวพราวมาโดยตลอด เมื่อเสียงละมุนลงจึงให้ความอบอุ่นซาบซ่านประหนึ่งแสงตะวันในฤดูหนาว ยามกังวานบาดลึกถึงกระดูก ราวกับโปรยไข่มุกโลหะลงบนผิวน้ำแข็ง ลึกล้ำเยี่ยงราตรีสงัด มีเสียงประดุจไร้สุ้มเสียง เปี่ยมไปด้วยพลังอันลึกล้ำที่แผ่นซ่านไปทั่งทั้งผืนฟ้า
ผ่านไปหลายนาที
มือของหลินเยวียนก็หยุดลง
ยามที่โน้ตตัวสุดท้ายหลุดจากปลายนิ้วของเขา เหล่าโจวก็คลี่ยิ้มกว้างเป็นที่เรียบร้อย แต่นิ้วมือของหยางจงหมิงกลับเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศ ราวกับกำลังดำดิ่งสู่ความหมายของโน้ตเพลงเปียโนที่หลินเยวียนเพิ่งบรรเลงไปเมื่อครู่
“อะแฮ่ม เป็นไงครับ”
เหล่าโจวทำลายความเงียบอย่างห้ามไม่อยู่ เขาต้องการความเห็นจากความรู้เฉพาะทางของหยางจงหมิง เขาฟังออกว่าเพลงนี้ยอดเยี่ยมมาก แต่หากให้เขาอธิบายว่ายอดเยี่ยมตรงไหนละก็ เขาไม่มีทางประเมินอย่างมืออาชีพได้ นี่เป็นความรู้สึกของผู้คนส่วนมากยามฟังเพลงเปียโน ซึ่งมีอยู่เพียงสองอย่าง
ไพเราะหรือไม่ไพเราะ
หยางจงหมิงเบิกดวงตากว้างขึ้นเล็กน้อย ชำเลืองมองเหล่าโจว ราวกับไม่ค่อยสบอารมณ์ที่อีกฝ่ายรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของตน จากนั้นสายตาของเขาก็เบนไปจับจ้องหลินเยวียน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอ่านความรู้สึกของคนรุ่นหลังไม่ออก
“เล่นได้ดีมาก”
เหล่าโจวจนคำพูดอยู่บ้าง “เรายังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องฝีมือการเล่นเปียโน มาพูดถึงเรื่องเพลงกันก่อนดีกว่าครับ อาจารย์หยางคิดว่าเพลงนี้ยังมีจุดไหนที่ต้องแก้ไขไหม หรือว่าใส่เพลงนี้ลงในเพลงได้เลย”
“พูดพล่ามอะไรของคุณ”
หยางจงหมิงไม่ไว้หน้าเหล่าโจว พานให้เหล่าโจวหน้าแดงขึ้นมา จากนั้นก็ปลอบใจตนเอง ถึงอย่างไรเจ้านี่ก็เป็นพ่อเพลง ปกติเซี่ยนอวี๋ก็ไม่ได้ไว้หน้าอะไรเขาเหมือนกัน เจ้าสองคนนี้จะว่าไปก็คล้ายกันมากทีเดียว…
ผ่านไปอีกชั่วขณะหนึ่ง
มุมปากของหยางจงหมิงก็ยกยิ้มขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขายิ้ม นับตั้งแต่หลินเยวียนกับเหล่าโจวก้าวเข้ามาในห้องทำงาน ปรากฏว่าเหล่าโจวยังไม่ทันได้พูดอะไร หยางจงหมิงก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เดือนกุมภาผมถอนตัว หัวหน้าโจวช่วยประกาศด้วย”
“ทำไมล่ะครับ”
เหล่าโจวดวงตาเบิกกว้าง
หยางจงหมิงมองไปทางหลินเยวียน รอยยิ้มพลันอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วน “เพราะเดือนกุมภาเป็นของเขา ผมไม่ร่วมสนุกด้วยแล้ว”
“แต่ว่า…”
“เขาจะพลิกโผ”
หยางจงหมิงเอ่ยขัดคำพูดของเหล่าโจว
ดวงตาของเหล่าโจวเปิดพลันกว้างทันใด ราวกับว่าจู่ๆ ก็มีคนเงื้อมือบีบคอเขา ส่งเสียงร้องออกมา ก่อนที่น้ำเสียงจะสั่นเครือเล็กน้อย
“ครับ!”
……………………………………………