สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนไปพักอยู่ที่เรือนหย่วนเซียงก่อน จากนั้นก็ไปทานอาหารเย็นที่เรือนไท่ฮูหยิน
นอกจากสืออีเหนียง คนอื่นๆ ล้วนมาถึงกันหมดแล้ว
บรรดาหลานๆ พี่ชายน้องชายได้พบหน้ากัน ทานข้าวด้วยกันอย่างครึกครื้นก่อนจะแยกย้ายกันไป
สวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนไปที่เรือนสวีซื่ออวี้ บรรดาเด็กๆ ให้โรงครัวเรือนนอกช่วยทำอาหารมาสองสามอย่าง เอาสุราจินหวามาหนึ่งไห ปิดประตูพากันรำลึกความหลัง
สวีซื่อเจี่ยนอายุยังน้อยจึงควบคุมตัวเองได้ไม่ค่อยดี และเนื่องจากว่าอยู่กับพี่ชายแท้ๆ และลูกพี่ลูกน้องชาย ครู่เดียวก็ถูกสวีซื่อฉินกับสวีซื่ออวี้มอมสุราจนเมามาย สวีซื่ออวี้เรียกเสี่ยวลู่จื่อมาปรนนิบัติเขาพักผ่อน ส่วนตัวเองกับสวีซื่อฉินก็อยู่พูดคุยกันต่อ
“เจ้าไม่ต้องมาปิดบังข้า ทำไมจู่ๆ ถึงได้คิดกลับมาที่เยี่ยนจิง” สวีซื่ออวี้ใช้ชีวิตอยู่กับสหายร่วมชั้นที่เล่ออานจนคุ้นชินแล้ว จึงรู้จักวิธีการหลบเลี่ยงการดื่มสุรา ต่างจากสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยนที่ใช้ชีวิตอยู่ในสายตาของบิดามารดามาโดยตลอด
ยามนี้สวีซื่อฉินเริ่มเมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ
“เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ของข้าเป็นคนทะเยอทะยาน แต่สุดท้ายท่านพ่อของข้าดันไปล่วงเกินเบื้องบน ท่านพ่อไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้เพียงส่งพวกเราสองคนกลับมาเยี่ยนจิง”
“ล่วงเกินเบื้องบน?” สวีซื่ออวี้ประหลาดใจเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
สวีซื่อฉินถอนหายใจ “ข้าหลวงชังโจวมีบุตรสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจี่ยนเกอ อยากจะเป็นดองกับสกุลของพวกเรา แต่ว่าท่านแม่ของข้ารังเกียจว่าสกุลพวกเขาต่ำต้อยจึงไม่ตกลง แต่กลับไปถูกใจบุตรสาวของที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการมณฑลส่านซี...” เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง “แต่ที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการมณฑลส่านซีกลับรังเกียจที่พวกเราพี่น้องไม่มีชื่อเสียง…”
สวีซื่ออวี้รู้สึกว่าเรื่องราวคงจะไม่ง่ายเช่นนี้ พูดพึมพำว่า “เช่นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นการล่วงเกินเบื้องบนกระมัง!”
สวีซื่อฉินทำตัวไม่ถูก “ตอนนั้นท่านแม่ของข้าได้ขอร้องให้ฮูหยินของผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรส่านซีไปเป็นแม่สื่อให้ ใครจะไปรู้ว่าที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการส่านซีผู้นั้นจะเป็นคนหยิ่งยโสปฏิเสธทันควัน ทำเอาฮูหยินของผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรทำตัวไม่ถูก กลับมาพูดกับท่านแม่ของข้า ท่านแม่ของข้าโกรธเล็กน้อยจึงได้บอกกับฮูหยินของผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรเรื่องที่ข้าหลวงชังโจวต้องการเป็นดองกับสกุลเราแต่พวกเราไม่ได้ตอบตกลง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไปๆ มาๆ ข่าวก็แพร่ออกไปว่าเจ้าเมืองชังโจวอยากจะให้บุตรสาวแต่งเข้าสกุลเรา จะเป็นข้าหรือเจี่ยนเกอก็ได้ทั้งนั้น…”
สวีซื่ออวี้ตกตะลึงเล็กน้อย “คำพูดนี้ทำร้ายคนมากเกินไปแล้ว!”
“ใช่แล้ว!” สวีซื่อฉินพูดอย่างจนปัญญาว่า “ท่านพ่อของข้าเป็นคนใจกว้าง เวลาเห็นคนไม่มีเงินจ่ายค่าภาษีเสบียงของส่วนกลาง จึงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ยกเว้นภาษีเสบียงให้พวกเขา ดังนั้นสองปีมานี้ภาษีเสบียงจึงไม่เสร็จสมบูรณ์สักที แต่ไหนแต่ไรมา ข้าหลวงชังโจวผู้นั้นไม่เคยพูดอะไร แต่พอมีข่าวลือดังกล่าว ท่านพ่อของข้าก็ถูกเจ้าเมืองชังโจวตำหนิมาสองเดือนติดแล้ว ตอนที่ข้ามาท่านพ่อก็ได้อันดับการประเมินขั้น ‘ย่ำแย่’”
สวีซื่ออวี้พูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง ทำได้เพียงรินสุราให้สวีซื่อฉินอย่างเงียบๆ
ในห้องพลันเงียบสงัด
สวีซื่อฉินดื่มติดต่อกันสองจอก ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “ย่วนเจี่ยเอ๋อร์…นางสบายดีหรือไม่”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” ดวงตาของสวีซื่ออวี้หม่นหมอง “หลังจากที่เจ้าไปได้ไม่นานข้าก็ไปที่เล่ออาน…” พูดพลางกระดกสุราเข้าไปอึกใหญ่ พูดเสียงเบาว่า “แต่ท่านแม่คงจะรู้ ได้ยินมาว่านางสนิทกันกับไท่ฮูหยินสกุลกาน!”
สวีซื่อฉินไม่ได้พูดอะไรอยู่นาน สูดหายใจเข้าลึกๆ ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “จริงสิ ท่านแม่ของเจ้าป่วยเป็นอะไรหรือ” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ไม่ได้ป่วย!” สวีซื่ออวี้หลับตาลง พูดพึมพำว่า “ตั้งครรภ์แล้ว”
“หา!?” สวีซื่อฉินประหลาดใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นว่าท่าทางของสวีซื่ออวี้ดูขมขื่น ยิ้มพลางช่วยรินสุราให้สวีซื่ออวี้ “นี่ ครั้งที่แล้วเจ้าเขียนจดหมายบอกข้าไม่ใช่หรือว่าตอนนี้เจ้ากำลังตั้งใจอยากจะสอบได้ลำดับดีๆ จะได้มีชื่อเสียง หากอาสี่เห็นว่าเจ้าตั้งใจเป็นอย่างมากก็จะเห็นแก่หน้าฉินอี๋เหนียงอยู่บ้าง เท่านี้เจ้าก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้วไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้น หรือว่าเจ้าปากไม่ตรงกับใจ”
สวีซื่ออวี้ได้ยินดังนั้นก็จับจ้องสวีซื่อฉิน “เรื่องที่ข้าบอกเจ้ามีหรือจะเป็นสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ”
“เช่นนั้นเจ้ามีความคิดอย่างไร” สวีซื่อฉินยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ต่อให้อาหญิงสี่จะคลอดบุตรถึงเจ็ดแปดคน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าเล่า”
“แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยสนใจเรื่องนี้!” สวีซื่ออวี้แย้งขึ้นมาว่า “ข้าบอกว่าข้าสนใจตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” สวีซื่อฉินพูดต่อว่า “เช่นนั้นเจ้ากังวลอะไร”
สวีซื่ออวี้เงียบไปครู่ใหญ่ มุมปากขยับเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เป็นเจ้าที่เข้าใจข้าผิดตลอด…”
******
สวีลิ่งอี๋กลับมาที่เรือน สืออีเหนียงกำลังทานโจ๊กข้าวฟ่างกับกระเทียบล่าปาที่กานไท่ฮูหยินให้มา
เขายิ้มพลางลูบศีรษะนางแล้วเข้าไปเปลี่ยนชุดที่ห้องชำระ เมื่อออกมาก็เห็นสืออีเหนียงกำลังคีบกระเทียบล่าปา ใบหน้าเต็มไปด้วยความลังเล
“เป็นอะไรไป” สวีลิ่งอี๋นั่งลงบนเตียงนั่งข้างๆ สืออีเหนียง
“ข้าคิดว่ามันอร่อยมาก” สืออีเหนียงพูดพลางวางกลีบกระเทียบกลับไปบนจานเล็กเช่นเดิม “แต่ก็กลัวว่าทานมากไปจะไม่ดีเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ “เช่นนั้นทานผิงกั่วดีหรือไม่”
สืออีเหนีงส่ายหน้า “ช่างเถิด ประเดี๋ยวจะรู้สึกไม่สบายอีก”
หู่พั่วปรนนิบัติสืออีเหนียงล้างหน้าล้างตา พอกลับมาสาวใช้ก็ได้ปูที่นอนบนเตียงเตาแล้ว หลายวันมานี้พวกเขานอนอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างที่ห้องทางด้านทิศตะวันออก
สวีลิ่งอี๋ถามนางเกี่ยวกับการหมั้นหมายของอวี๋เฉิง “…สำเร็จหรือไม่”
“คาดว่าจะสำเร็จเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงขึ้นไปบนเตียงเตา ในใจก็บ่นพึมพำว่าเหตุใดจู่ๆ สวีลิ่งอี๋ถึงได้ถามเรื่องนี้ “พี่หญิงสี่พอใจเป็นอย่างมาก” ขณะที่พูดนางก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ยิ้มแล้วพูดว่า “หรือว่าคุณชายสามให้ท่านช่วยเรื่องการหมั้นหมายของฉินเกอกับเจี่ยนเกอ”
สวีลิ่งอี๋ช่วยสืออีเหนียงจัดผ้าห่ม “ไม่ใช่ข้าแต่เป็นท่านแม่!”
นางเดาถูกอีกแล้ว
“เกรงว่าท่านแม่ก็คงลำบากใจมากเช่นกัน” สมองของสืออีเหนียงพลันแล่นอย่างรวดเร็ว “เรื่องแม่สื่อพ่อสื่อ ด้านหนึ่งเป็นฝ่ายหญิง อีกด้านหนึ่งเป็นฝ่ายชาย อย่างไรก็ต้องมีฐานะไม่แตกต่างกันจึงจะเป็นพ่อสื่อแม่สื่อได้ ที่ข้าเป็นแม่สื่อให้เฉิงเกอ นั่นก็เป็นเพราะพี่หญิงสี่เป็นคนอ่อนโยนและใจกว้าง หากหลานสาวสกุลเดิมของกานไท่ฮูหยินแต่งเข้าไปก็จะไม่ถูกทำให้ต้องลำบาก แต่หากเป็นสกุลอื่นข้าก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง” จากนั้นก็บอกสวีลิ่งอี๋เรื่องที่ตอนนั้นฮูหยินสามทะเลาะกับพี่สะใภ้สกุลเดิมของนางเองทำให้ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ต้องรีบหมั้นหมาย “…ขนาดพี่สะใภ้สามกับพี่สะใภ้สกุลเดิมของนางเองยังไม่ลงรอยกันเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าไท่ฮูหยินถือจดหมายของสวีลิ่งหนิงด้วยท่าทางลำบากใจเป็นอย่างมาก พลันนึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงกำลังเป็นแม่สื่อให้ซื่อเหนียง จึงคิดว่าจะเอ่ยเตือนนางสักหน่อย นึกไม่ถึงว่านางเข้าใจเรื่องราวมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก
“เจ้านี่นะ” เขายิ้มพลางถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปบนเตียงเตา “ทำอะไรสมเหตุสมผลอยู่เสมอ”
สืออีเหนียงกลั้นยิ้ม
ตนกลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะมอบให้ตนจัดการเรื่องการหมั้นหมายของสวีซื่อฉินกับสวีซื่อเจี่ยน ถ้าเกิดว่าลูกสะใภ้แต่งเข้ามาแล้วฮูหยินสามวางท่าแม่สามีไปล่วงเกินลูกสะใภ้เข้า แล้วนางจะอธิบายกับบิดามารดาของฝ่ายหญิงอย่างไรเล่า!
เมื่อเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดถึงหัวข้อบทสนทนานี้กับนาง จึงรีบนอนลง “พวกเรารีบพักผ่อนกันเถิดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางพอกินอิ่มก็ง่วงทันที จึงยิ้มพลางดับตะเกียงไฟก่อนจะล้มตัวนอนลง มือล้วงเข้าไปใต้ชายเสื้อของนางตามความเคยชิน วางไว้บนท้องที่ยังแบนราบ
สืออีเหนียงขยับตัวเล็กน้อย หาท่าทางที่นอนสบาย
เมื่อถึงวันที่สามเดือนสาม พอรู้ว่าสืออีเหนียงไม่สบายทุกคนก็พากันมาเยี่ยม จากนั้นก็ไปทานอาหารที่ห้องโถงบุปผา เมื่อทานอาหารเสร็จก็ไปฟังนิทานที่โถงเตี่ยนชุน
โจวฮูหยินกลับมาหาสืออีเหนียง
“เจ้าตั้งครรภ์ใช่หรือไม่” ดวงตาของนางเป็นประกาย ถามตรงประเด็นด้วยประโยคเดียว
“หมอหลวงบอกว่าชีพจรยังไม่ชัดเจนมากนัก” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ต้องรอตรวจชีพจรหลังจากนี้อีกสักหน่อยจึงจะรู้เจ้าค่ะ”
“สำนักหมอหลวงพวกนั้น” โจวฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “กลัวว่าจะต้องรับผิดชอบ เรื่องนี้ข้ามีประสบการณ์ ไม่ผิดพลาดแน่นอน”
สืออีเหนียงยิ้มพลางให้สาวใช้ยกน้ำชามาให้โจวฮูหยิน
“หลายวันมานี้คงรู้สึกไม่สบายตัวใช่หรือไม่” โจวฮูหยินนั่งพูดคุยกับนางอยู่บนเตียงเตา “ผ่านไปอีกสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ควรจะทานไข่ไก่ให้มากหน่อย…” นางเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองอยู่นาน ถามสืออีเหนียงว่า “ทางด้านท่านโหว เจ้ามีแผนอย่างไรบ้าง”
สืออีเหนียงไม่กล้าบอกว่าหลายวันมานี้สวีลิ่งอี๋อยู่ที่เรือนหลักกับนางจึงพูดอย่างคลุมเครือว่า “ก็ไม่ได้มีแผนอะไร!”
“ได้อย่างไรกัน!” โจวฮูหยินพูดเสียงเบาว่า “เจ้าควรจะป้องกันไว้หน่อย รีบเลือกสาวใช้ห้องข้างให้เร็วที่สุด” พูดพลางชี้ไปที่เรือนเล็กทางทิศใต้ “อย่าให้ใครอาศัยโอกาสนี้เพื่อเข้ามา”
สืออีเหนียงเพียงแต่หัวเราะ ไม่ได้ปริปากพูดอะไร
มีบางเรื่องที่นางก็ไม่สามารถปฏิเสธออกมาตรงๆ ได้ เพียงแค่ไม่คิดจะทำเช่นนั้น
โจวฮูหยินเข้าใจว่านางตอบตกลงแล้ว ก็ถอนหายใจยาวแล้วพูดขึ้นมาว่า “หยางอี๋เหนียงสกุลข้าเสียแล้ว ข้าก็ต้องคอยปลอบใจนายท่าน ช่วยเขารับอนุภรรยาใหม่”
สืออีเหนียงซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ไม่ได้
“เขาจะได้ไม่คิดว่าข้าไม่ชอบคนสกุลหยางผู้นั้น” โจวฮูหยินยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงไม่ได้ยกสาวใช้ข้างกายเหล่านั้นขึ้นมาเป็นอนุภรรยา แต่ช่วยเขาหาสตรีจากเรือนอื่นที่เป็นบุตรสาวจากสกุลนักปราชญ์ที่ใสสะอาด ไม่เพียงเท่านี้ ซ้ำยังต้องรูปร่างอรชร งดงามไม่ด้อยไปกว่าหยางอี๋เหนียงผู้นั้น”
ขณะที่กำลังพูด คุณนายสามสกุลหวงก็มาพอดี
“นึกแล้วว่าเจ้าต้องมาแอบพูดคุยกับสืออีเหนียงอยู่ที่นี่” นางยิ้มพลางสำรวจมองสืออีเหนียง “เจ้าตั้งครรภ์แล้วใช่หรือไม่”
ไม่สามารถปิดบังนายหญิงผู้ดูแลเรือนเหล่านี้ได้เลยจริงๆ
สืออีเหนียงจึงได้อธิบายอีกครั้ง
ยังไม่ทันพูดจบคุณนายใหญ่สกุลหลินก็เข้ามา
“ข้าก็ว่าอยู่เหตุใดถึงได้ดูเหมือนคนมีครรภ์” คุณนายใหญ่สกุลหลินยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นอย่างไรเล่า ในที่สุดเจ้าก็ไม่ต้องทนทุกข์แล้ว” จากนั้นก็พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าก็ไม่ต้องไปสนใจเรื่องวุ่นวายเหล่านั้นแล้ว ร่างกายของตัวเองกับการคลอดบุตรเป็นเรื่องสำคัญที่สุด” แล้วยังถามถึงเรื่องอาหารการกินของนาง
สืออีเหนียงกำลังพูดคุยอยู่กับพวกนาง อาจเพราะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจึงไม่ได้รู้สึกว่าไม่สบายแต่อย่างใด พวกนางนั่งคุยกันไปจนถึงพลบค่ำ หลังจากนั้นคนทางโถงเตี่ยนชุนก็มาเชิญพวกนางไปทานอาหารเย็นจึงได้แยกย้ายกันไป
ผ่านไปหลายวันหมอหลวงหลิวก็มาตรวจชีพจรอีกครั้ง ครั้งนี้บอกอย่างมั่นใจว่าตั้งครรภ์แล้ว ไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ จึงได้กล้าพูดออกมา
สวีลิ่งอี๋เขียนจดหมายให้คนนำไปส่งที่อวี๋เฉียน ฮูหยินสองและฮูหยินห้านำของบำรุงร่างกายมาเยี่ยมเยียน ส่วนสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยพากันพูดคุยเสียงดังอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง คาดเดากันว่าจะเป็นน้องชายหรือน้องสาว แต่ซินเจี่ยเอ๋อร์กลับเดินไปเดินมาอยู่หน้ากระจกแต่งตัวพลางจ้องมองดูเงาของตัวเองในกระจก เจินเจี่ยเอ๋อร์นำลายผ้ามาให้สืออีเหนียงเลือก “ท่านแม่ว่าปักเสื้อซับในเด็กลายอักษร ‘เหลือกินเหลือใช้ทุกปี’ หรือว่าจะปักลายอักษร ‘ยินดีที่ได้พบหน้า’ ดีเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าคิดว่าอันไหนสวยก็ปักอันนั้นเถิด!”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่ ฮองเฮากับสนมเอกของรัชทายาทได้ส่งขันทีมาไถ่ถามสถานการณ์พร้อมกับนำของบำรุงมามอบให้
สถานการณ์ทางฝั่งนี้พึ่งจะสงบลง ซื่อเหนียงที่ได้รับจดหมายก็ได้นำยาสมุนไพรมาเยี่ยมนาง
“หากอี๋เหนียงห้ารู้เข้าไม่รู้ว่าจะดีใจแค่ไหนกัน” นางจับมือสืออีเหนียง เมื่อนึกถึงชีเหนียงก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
สืออีเหนียงพลันนึกได้ว่าทางฝั่งของชีเหนียงยังไม่มีข่าวคราวการเคลื่อนไหวอะไร จึงเพียงแต่พูดถึงข่าวดีกับซื่อเหนียง “ได้ยินมาว่าการหมั้นหมายของเฉิงเกอได้มีการกำหนดวันแล้ว?”
ซื่อเหนียงเองก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องของชีเหนียงให้ทุกคนต้องหมดอารมณ์ จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เตรียมกำหนดการคร่าวๆ ในเดือนห้า รอให้ทางฝั่งสตรีทำพิธีปักปิ่นก่อนแล้วค่อยตบแต่ง เฉิงเกอของพวกเราก็จะได้มีเวลาร่ำเรียนหนังสือต่ออีกสักสองสามปี” แล้วพูดต่ออีกว่า “ข้ามาครั้งนี้ ประการแรกก็เพื่อมาเยี่ยมเจ้า ประการที่สองก็เพื่ออยากจะเชิญท่านโหวไปเป็นพ่อสื่อให้!”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง