เพราะความฝันนั้น คิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงขมวดเข้าหากันแน่น เส้นผมสีดำของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อและปรกไปทั่วหน้าผากของนาง
แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของนางได้ เขากระชับร่างของนางที่อยู่ในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แล้วจุมพิตนางอย่างรุนแรงเหมือนเป็นการลงโทษและระบายความโกรธของตัวเองออกมา!
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงครางออกมาด้วยความเจ็บ แต่เขาก็ใช้โอกาสจากช่องว่างนั้นกัดเข้าที่ริมฝีปากของนาง
“อืม… อื้อ…” ดูเหมือนเขาจะโกรธจริงๆ…
ความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ชัดเจนนัก นางไม่รู้ว่าคราวนี้องค์ชายสามจะลงโทษนางอย่างไร
นางได้ยินเขากระซิบข้างๆ หูของนางว่า ”ถ้าเจ้าทำร้ายตัวเองอีก ข้าจะใช้โอกาสนั้นจัดการเจ้าตอนที่เจ้าหมดสติซะ!”
น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบพร่าเล็กน้อย ราวกับว่าเขายังไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่กล้ามองหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย มือซ้ายที่หักอยู่ของนางได้รับการรักษาล่วงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นางทำเพียงแค่เอียงศีรษะ แล้วใช้หลังมือถูคราบสีเงินที่เหลืออยู่ตรงมุมปากของตัวเองเท่านั้น แต่นางก็ออกแรงมากไปจนผิวขึ้นรอยแดง
“หยุดถูได้แล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงมือของนางลง มุมปากของเขาดูไม่พอใจเล็กน้อย นางรังเกียจจูบของเขาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ความขุ่นเคือง ความอิจฉาริษยา ความเสียใจ และความรู้สึกคับข้องใจมากมายหมุนวนเข้าหากัน และก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนจะพุ่งเข้ากระแทกหน้าอกของเขาจนรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
เฮ่อเหลียนเวยเวยพยักหน้า นางยังอยู่ในอาการสับสนเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่านางกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาถึงขั้นนี้กันได้อย่างไร…
ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคิดไปต่างๆ นานานั้น นางก็ได้ยินเสียงสูดหายใจเข้าลึกๆ ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ดวงตาเรียวสวยของเขาลืมขึ้น และเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า ”ถ้าเจ้าไม่อยากนอน เช่นนั้นเราก็มาทำอย่างอื่นกัน”
เสียงนั้นทั้งยั่วยวนและแหบพร่า เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงอาการชาหนึบเล็กน้อยในหูของตนเท่านั้น ไม่ต้องคิดนางก็รู้ว่า ’อย่างอื่น’ ที่ว่าคืออะไร นางยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะของตัวเองไว้ แล้วหลับตาลงอย่างว่าง่าย
นางไม่อยากให้เขาแตะต้องนาง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกัดฟันขณะมองไปที่ร่างของคนขี้เกียจนั้น เขาโมโหจนแทบเดือด เขาเกือบโพล่งถามคำถามหนึ่งออกมา แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นสีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าเสียก่อน ริมฝีปากบางของนางเม้มแน่น อีกทั้งใบหน้าของนางก็ยังแดงระเรื่ออยู่ นางดูค่อนข้างกระสับกระส่ายเล็กน้อย
หึ
หายากจริงๆ
แม้แต่สุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ก็ยังกระสับกระส่ายเป็นกับเขาด้วย
ทั้งสองนอนบนเตียงเดียวกัน เขากอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน และพาดคางของตนไว้เหนือศีรษะของนาง แต่ดวงตาของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความเย็นชา
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยตื่นขึ้น พื้นที่ข้างตัวของนางก็เหลือแต่ความว่างเปล่า ทิ้งไว้เพียงผ้าห่มชื้นๆ ผืนหนึ่ง
นางชะงักไปครู่หนึ่งในตอนแรก จากนั้นจึงเรียกชิงจ้านเข้ามา นางได้ยินใครบางคนบอกว่าองค์ชายน่าจะกลับไปที่วังหลวงเพื่อเตรียมตัวสำหรับการคัดเลือกนางสนม อย่างไรนางก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่เมื่อวานไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามเรื่องชื่อของคนคนนั้นขึ้นมา
ไม่มีใครรู้ว่าทุกคนในสำนักถังนั้นล้วนแต่ต้องผ่านการฝึกฝนต่างๆ มามากมายก่อนที่จะได้เข้าร่วมกับสำนักถัง
หากมีใครพยายามที่จะรีดเอาข้อมูลว่าถังเส่าเป็นใครไปจากพวกนางละก็
ร่างกายของพวกนางก็จะมีปฏิกิริยาเบื้องต้นเช่นนี้กันทุกคน
แต่แน่นอนว่าสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้น ต่อให้ไม่มีการฝึกฝนเช่นนั้น
นางก็จะไม่มีวันเอ่ยชื่อของคนคนนั้นออกมาเด็ดขาด
เพราะในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้น
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่นางอยากจะปกป้อง
แต่…
“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้นหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยถามหยวนหมิง ”เจ้าบอกว่าอาการนี้จะแสดงออกมาแค่ในคืนพระจันทร์เต็มดวงมิใช่หรือ”
หยวนหมิงยิ้มอย่างชั่วร้าย ”พลังปราณเกิดการเปลี่ยนแปลง ชายคนนั้นมีกลิ่นอายที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปีศาจลุ่มหลงได้”
“สรุปว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องอยู่ให้ห่างจากเขาอยู่ดี” เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้นกุมหน้าผากที่ปวดหนึบของตน
ทันใดนั้นหยวนหมิงก็ลุกขึ้นยืนตัวตรง ”มีบางอย่างผิดปกติ!”
“อะไรนะ”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ นางก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากหอชั้นเลิศ เสียงกรีดร้องนั้นฟังดูผิดปกติเป็นอย่างมาก มันดังแทรกเข้ามาตามเสียงฝน และเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอันไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
“ฆาตกรรม มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น!”
ดูเหมือนจะมีคนตายจริงๆ และการตายของนางก็ยังแปลกประหลาดมากอีกด้วย
เลือดทุกหยดในร่างของนางระเหยไปด้วยวิธีการอันแปลกประหลาด ร่างทั้งร่างของนางอยู่ในสภาพซูบเซียวและเหี่ยวเฉาจนเห็นกระดูกที่เหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นนั้นได้หลังจากสูบเลือดออกจนหมด
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเมื่อนางเห็นซากศพที่อยู่ตรงหน้า ความสงสัยมากมายค่อยๆ ผุดขึ้นในใจนาง แต่สติสัมปชัญญะที่นางมีก็ไม่ปล่อยให้นางแสดงสีหน้าไม่เหมาะสมนั้นออกไปแม้แต่นิดเดียว ดวงตาของนางดูลึกล้ำในตอนที่นางทำการวินิจฉัยการเสียชีวิตนั้นอย่างรวดเร็ว อายุของเหยื่อน่าจะอยู่ในช่วงสิบเจ็บถึงสิบเก้าปี นางตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป เวลาตายน่าจะเกิดขึ้นในช่วงยามซื่อ ถึงยามเว่ย ของเมื่อวาน บนร่างของผู้ตายไม่มีร่องรอยบาดเจ็บให้เห็นเด่นชัดแต่อย่างใด ร่างของนางยังอยู่ในสภาพดี ข้าวของเครื่องใช้คุณภาพดียังอยู่ครบ ดังนั้นจึงตัดความเป็นไปได้ที่นางจะถูกฆ่าชิงทรัพย์ออกไป…
เพียงแต่ว่าสาเหตุการตายของศพนี้มีความแปลกประหลาดเกินไป มันทำให้ทุกคนเกิดความไม่สบายใจขึ้นตามสัญชาตญาณ
มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นในสำนักไท่ไป๋ ทั้งยังอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงมากนัก
ด้วยเหตุนี้คนจากศาลาว่าการจึงไม่ได้มาที่นี่ในทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ข้อมูลเกือบทั้งหมดจากสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมครั้งแรกนี้แล้ว
ผู้ตายเป็นคุณหนูของตระกูลไป๋ จัดว่าเป็นคนที่มีฐานะทางตระกูลดีทีเดียว รูปร่างหน้าตาของนางเองก็ยังสวยสดงดงาม ในระหว่างที่เกิดเหตุ นางกำลังฝึกกู่ฉินอยู่ในห้องของตัวเอง จากคำให้การของสาวใช้ ดูเหมือนว่านางต้องการที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกพระสนมที่กำลังจะเกิดขึ้นที่เมืองหลวง ดังนั้นนางจึงทุ่มความพยายามในการฝึกซ้อมกู่ฉินเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นในการคัดเลือกนั้น
สาวใช้คนนั้นเล่าเรื่องนี้ไปพลางร้องไห้ไปตลอดเวลา
เฮ่อเหลียนเวยเวยฉวยโอกาสนี้เดินสำรวจไปรอบห้อง
เรื่องแปลกก็คือประตูและหน้าต่างทุกบานต่างก็ถูกลงกลอนจากด้านในทั้งสิ้น ไม่มีร่องรอยการเปิดออกแม้แต่น้อย แม้แต่บนพื้นก็ยังสะอาดสะอ้าน
ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ นอกจากร่างคนตายที่นอนอยู่บนพื้นแล้ว ทุกอย่างก็ดูปกติเป็นอย่างมาก
คดีนี้แปลกจริงๆ
ในตอนแรกนั้นนางก็สงสัยว่าคนร้ายน่าจะเป็นอาจารย์ที่มีฝีมือสักคนหนึ่ง มันควรจะตรงไปตรงมาเช่นนั้น
จนกระทั่งนางนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนนี้ข้างนอกฝนตก นางก็รู้สึกว่านางคิดผิดไป
วิทยายุทธ์ขององค์ชายสามนั้นสูงส่งก็จริง แต่ต่อให้เก่งอย่างเขา หากออกมาข้างนอกก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงความชื้นที่อยู่ภายนอกได้
แม้แต่ตอนนี้ก็เช่นกัน ที่ด้านนอกนั้นก็ยังคงมีฝนตกอยู่ ไม่ว่าใครที่เข้ามาในห้องนี้ ก็จะต้องหลงเหลือร่องรอยเอาไว้บนพื้น
เว้นเสียแต่ว่าฆาตกรจะไม่ได้มาจากข้างนอก…
คดีฆาตกรรมนี้ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ความจริงแล้วซับซ้อนยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นคดีฆาตกรรมในห้องปิดตาย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีใดๆ มากนัก แต่นางรู้ว่าในจำนวนคดีฆาตกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น คดีฆาตกรรมในห้องปิดตายนั้นเป็นคดีเจ้าปัญหามากที่สุด
แต่คดีนี้ก็ตกมาที่หน่วยพิฆาตวิญญาณจนได้
“ที่สำนักไท่ไป๋ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมานานนับร้อยๆ ปีแล้ว” ตู๋ซูเฟิงปรายตามองสมาชิกใหม่ทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา เฮ่อเหลียนเวยเวย อวิ๋นปี้ลั่ว เจ้าเจ็ด และหานอวี้
“คนจากศาลาว่าการจะขึ้นเขามาในไม่ช้า” ตู๋ซูเฟิงเอ่ยเสียงเบา ”ข้าคุ้นเคยกับวิธีการของพวกเขาดี ทันทีที่เขาพบเบาะแสของคดีนี้ ทั่วทั้งสำนักจะตกอยู่ในความโกลาหลแน่”
ดวงตาของหานอวี้เป็นประกาย ”ท่านเจ้าสำนักหมายความว่าอย่างไรขอรับ ท่านคิดว่าจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นอีกหรือขอรับ”
“มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว” ดวงตาของตู๋ซูเฟิงหรี่ลง ”เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนถูกฆ่าไปมากกว่านี้ เจ้าต้องหาตัวฆาตกรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และอีกอย่าง ห้ามเปิดเผยตัวตนออกไปเด็ดขาด”
“รับทราบ” เสียงตอบรับอันพร้อมเพรียงดังก้องไปทั่วพระราชวังใต้ดิน
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเข้าหากัน…