โรงฉายหมายเลข 3 ของภาพยนตร์ต้าเฟิงในเมืองซูคราคร่ำไปด้วยผู้คน ผู้ชมต่างตนต่างทยอยกันเข้ามานั่งในที่นั่งตามที่ระบุไว้ในตั๋วของตน
และ ณ ที่นั่งวีไอพีแถวแปดในโรงฉาย
ไต้รุ่ยซึ่งนั่งลงประจำที่แล้วเหลือบมองไปรอบๆ มุมปากยกยิ้ม พึมพำประโยคหนึ่ง “ปั่นกระแสจริงด้วย”
ไต้รุ่ยเป็นชาวฉู่โดยกำเนิด
เพราะต้าฉู่ผนวกรวม ดังนั้นไต้รุ่ยจึงเข้ามาทำงานในมณฑลฉิน
ภาพยนตร์ที่เขาเลือกดู ก็คือเรื่องนักปรับเสียงเปียโนซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึงมากที่สุด
เดิมทีเขาไม่ได้คิดจะดูภาพยนตร์เรื่องนี้
ทว่าในตอนนี้จางปินเพื่อนสนิทตัวดีซึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายกลับยืนกรานเรียกให้เขามาดูด้วยกัน เขาถึงได้เดินเข้ามาในโรงภาพยนตร์
ในขณะนั้น
เมื่อได้ยินคำแดกดันของไต้รุ่ย จางปินซึ่งนั่งอยู่ทางซ้ายก็เอ่ยว่า
“ไม่ได้ปั่นกระแสหรอก แต่เป็นความมั่นใจของเซี่ยนอวี๋ นายเป็นคนฉู่ ไม่รู้ว่าพ่อเพลงตัวน้อยของมณฑลฉินน่ะสุดยอดขนาดไหน ฉันเชื่อว่านายดูหนังจบแล้วจะเข้าใจเอง”
จางปินเป็นคนฉิน
ช่วงนี้จางปินกับไต้รุ่ยถกเถียงกันอยู่บ่อยครั้งว่าดนตรีของบ้านเกิดใครดีกว่ากัน
วันนี้จางปินพาไต้รุ่ยมาดูหนัง ก็เพราะอยากให้ไต้รุ่ยได้รับรู้ถึงฝีมือในการประพันธ์เพลงของเซี่ยนอวี๋
‘เชอร์รีเดือนสิบสองแอดมินกลุ่มบอกว่าเพลงในหนังเรื่องนี้คลาสสิกมาก น่าจะมีข่าวจากวงในสินะ’
ในใจของจางปินคิดเช่นนั้น
เขาเป็นสมาชิกในกลุ่ม [ปลาร่าเริง] นับว่าเป็นแฟนคลับตัวยงของเซี่ยนอวี๋ ภาพยนตร์ของเซี่ยนอวี๋เข้าฉาย เขาย่อมต้องสนับสนุนอยู่แล้ว
ไต้รุ่ยส่งเสียงหึ “อาปิน โม้ไปเถอะ หน้าแตกหมอไม่รับเย็บนะเพื่อน”
จางปินเอ่ยเสียงเรียบ “เดี๋ยวนายก็รู้เอง”
ในความจริงแล้ว กว่าร้อยละเจ็ดสิบของคนที่เลือกมาดูเรื่องนักปรับเสียงเปียโนรอบปฐมทัศน์นั้นมาเพื่อฟังเพลง
ถึงอย่างไรก็เป็นคำพูดของเซี่ยนอวี๋ บอกว่าดนตรีในภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการตอบกลับต้าฉู่
และขณะที่ไต้รุ่ยกับจางปินกำลังสนทนากัน ภาพยนตร์ก็เริ่มต้นฉายแล้ว…
ในภาพสีดำ เสียงก็ดังขึ้น
เป็นเสียงของผู้ชาย “เรื่องมันยาว…คุณดื่มชาอะไรดี”
“กาแฟ”
เสียงผู้หญิงตอบ
หลังจากนั้น ภาพก็สว่างขึ้น
ภาพของทุ่งนาปรากฏขึ้น กระต่ายตัวหนึ่งกำลังแอบกินพืชผัก ไกลออกไป ชายผิวเข้มคนหนึ่งยกปืนล่าสัตว์ขึ้นมา พลางขยับเข้าไปอย่างระแวดระวัง
กระต่ายสัมผัสได้ถึงภยันตราย เตรียมกระโดดหนี
นายพรานรีบตามไป ลั่นไกในชั่วพริบตา
ภาพมืดลงอีกครั้ง เสียงดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงคล้ายกับรถพลิกคว่ำ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของหญิงสาว
เมื่อภาพสว่างขึ้นเป็นครั้งที่สาม ฉากก็ตัดไปยังบ้านส่วนตัวแห่งหนึ่ง
ในห้อง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังบรรเลงเปียโน
ท่วงทำนองหนักแน่น กอปรกับจังหวะของชายหนุ่ม ค่อยๆ ถ่ายทอดออกมาอย่างไพเราะ
แม้ว่าจะไม่เข้าใจเนื้อเรื่องในตอนแรก ทว่าหลังจากที่เสียงเปียโนดังขึ้น ผู้ชมทั้งโรงภาพยนตร์ก็หูผึ่งขึ้นมาในชั่วพริบตา
นี่เป็นบทเพลงที่มีสไตล์แปลกใหม่เหลือเกิน!
มีคนกระซิบพูดคุยกัน แววตาของจางปินพลันเป็นประกายวาบ หันหน้าไปหาไต้รุ่ย พลางเอ่ยอย่างได้ใจเล็กน้อย “เป็นไง”
“…”
ไต้รุ่ยฟังเสียงเปียโน ในใจอดยอมรับไม่ได้ว่าบทเพลงนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ้าหากใช้เพลงนี้แข่งขันในมหาสงครามดนตรีระหว่างฉินและฉู่เพียงอย่างเดียว ก็ออกจะขาดอรรถรสไปสักหน่อย
ดังนั้นไต้รุ่ยจึงเอ่ยว่า
“ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าฉันไม่ได้หลอก แล้วก็ไม่ได้ปากแข็ง เพลงนี้คุณภาพไม่เลวก็จริง แต่ยังไม่พอที่จะโน้มน้าวฉันได้”
จางปินขมวดคิ้ว
เขารู้สึกว่าบทเพลงนี้สุดยอดมากแล้ว แต่ไต้รุ่ยดันพูดเช่นนี้ เขาเองก็ไม่อาจตอบโต้ เพราะเพลงนี้ยังไม่เพียงพอให้ตัดสินผลลัพธ์จริงๆ นั่นแหละ!
นี่คือการตอบกลับของอาจารย์เซี่ยนอวี๋?
ผลงานบรรเจิดมากก็จริง ทว่ายังไม่เพียงพอที่จะกลบข้อสงสัยได้ทั้งหมด
เป็นดังคาด…
ยิ่งความคาดหวังสูงขึ้น ความเสี่ยงที่จะหล่นลงมาบาดเจ็บก็สูงขึ้นตามไปด้วย
ถ้าหากไม่ใช่เพราะการปั่นกระแสในครั้งนี้เรียกความคาดหวังจากโลกภายนอกมามหาศาล อันที่จริงบทเพลงนี้ก็ควรค่าแก่การยอมรับมากพอแล้ว
จางปินรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
สถานการณ์ของอาจารย์เซี่ยนอวี๋ไม่สู้ดีเอาซะเลย…
หลังจากนั้นเป็นการปูเรื่องแล้ว
ถึงแม้คนส่วนมากจะมาเพื่อฟังเพลง แต่ไหนๆ ก็อุตส่าห์มาแล้ว ย่อมต้องดูสักหน่อยว่าเนื้อเรื่องเป็นอย่างไร
ปรากฏว่าเมื่อดูไป หลายคนก็ถึงกับดวงตาเบิกกว้าง!
เพราะเรื่องราวหลังจากนั้น ทำให้พวกเขาตกตะลึงได้จริงๆ!
ตัวเอกมีชื่อว่าเยี่ยเซิน เป็นนักเปียโนหนุ่มคนหนึ่ง
ฉากนี้ใช้การตัดสลับภาพไปมา เพื่อแสดงให้เห็นถึงการทำงานของเยี่ยเซิน
เขารับงานจากหลายแห่ง และมักจะไปเล่นดนตรีให้กับหลากหลายคน
และเนื่องจากเขาอยู่ในสถานะคนตาบอด จึงทำให้มีเจ้าบ้านบางคนใจกล้ากว่าปกติ
ตัวอย่างเช่น ขณะที่เขาเล่นเปียโนในวิลล่าหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านผู้หญิงซึ่งอาศัยอยู่ตามลำพังถึงกับเปลือยกายเต้นรำอย่างสำราญใจ…
หรือขณะที่เขากำลังเล่นเปียโนอยู่ในห้องรับแขก ถึงกับมีชายหญิงคู่หนึ่ง ลอบแสดงบทอัศจรรย์ต่อหน้าเขา ทว่าลับหลังใครสักคนหนึ่งซึ่งอยู่ในห้องครัว…
หรือขณะที่เยี่ยเซินกำลังเล่นเปียโนอยู่ในห้อง เจ้าของบ้านชายซึ่งมีรสนิยมทางเพศที่แตกต่างคนหนึ่ง ให้หญิงสาวห้าคนทำเรื่องที่ไม่อาจบรรยายได้ ต่อหน้าต่อตาเยี่ยเซิน…
‘เชี่ย!’
ถึงแม้ในภาพยนตร์จะเบลอฉากเหล่านี้ แต่เมื่อเห็นภาพ ไต้รุ่ยและจางปินก็อุทานขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ไม่เพียงไต้รุ่ยและจางปิน
ผู้ชมคนอื่นๆ ในโรงภาพยนตร์ก็ส่งเสียงที่แฝงความนัยออกมาเช่นกัน
ตรงหน้าคนตาบอดอย่างเยี่ยเซิน บรรดาเศรษฐีทั้งหลายล้วนเปิดเผยด้านมืดของตนออกมา
และเยี่ยเซินในฐานะคนตาบอด กลับแลดูประหนึ่งไม่รับรู้ว่าตนประสบพบเจอกับเรื่องใด เขาเพียงแค่เล่นเปียโนไปอย่างใจจดใจจ่อ
“พรึ่บ!”
ฉากตัดไปเป็นครั้งที่สอง ราวกับเป็นฉากต่อเนื่องของก่อนหน้านี้
เจ้าของบ้านหญิงซึ่งเปลือยกายเต้นรำลำพัง ค้อมกายลงมาจุมพิตบนใบหน้าของเยี่ยเซินเบาๆ ขณะที่เขากำลังบรรเลงเปียโน
ชายและหญิงซึ่งลอบเสพสวาทแยกจากกันยามที่เสียงเปียโนจบลง ส่วนเจ้าของบ้านก็เดินออกมาจากห้องครัวโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว
ชายหนุ่มซึ่งมีรสนิยมทางเพศที่แตกต่าง ก็พลันยิงลำแสงสีขาวออกมากลางอากาศ จนทั้งร่างชาหนึบไร้ความรู้สึก
“…”
ในตอนนั้นทุกคนลืมเรื่องเกี่ยวกับดนตรีไปแล้ว เพราะมัวแต่ประหลาดใจกับภาพฉากที่เกิดขึ้น!
“ขอบคุณสำหรับบทเพลงที่ยอดเยี่ยม คุณจะต้องกลายเป็นนักเปียโนชื่อดังอย่างแน่นอน ” เจ้าของบ้านชายคนหนึ่งตบรางวัลให้กับเยี่ยเซิน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
เยี่ยเซินกล่าวขอบคุณสำหรับรางวัลที่อีกฝ่ายมอบให้ ก่อนจะผลักประตูออกมา ส่วนเจ้าของบ้านชายหันหลังกลับไป และกล้องฉายไปยังบั้นท้ายเปลือยเปล่าของเขา
เยี่ยเซินซึ่งสวมแว่นตาสีดำออกมาจากวิลล่าของเศรษฐี
โลกภายนอกนั้นแสนงดงาม และแสนปกติ
บรรดาชายหนุ่มในชุดสูทและรองเท้าหนัง ถือกระเป๋าเอกสาร เดินอย่างผึ่งผายไปตามถนน
บรรดาหญิงสาวแต่งกายเรียบร้อย สงบเสงี่ยมและงดงาม ปกปิดกระโปรงซึ่งถูกลมพัดโดยไม่ทันตั้งตัว
ไต้รุ่ยเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ “เสียดสีสุดๆ หนังเรื่องนี้น่าสนใจนะเนี่ย”
จางปินพยักหน้า
เขาก็เหมือนกับอีกหลากหลายคนในโรงหนังแห่งนี้ รู้ทั้งรู้ว่ามาเพื่อฟังดนตรี ในตอนนี้กลับถูกพล็อตเรื่องดึงดูดไว้เต็มเปา ถึงขั้นที่ไม่ได้สนใจจะถกเถียงกับไต้รุ่ยเรื่องมหาสงครามดนตรีระหว่างฉินและฉู่
จบงานในวันนี้
ขณะที่เยี่ยเซินกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน ก็พบกับหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่าซูเฟย
สาเหตุหลักคือซูเฟยบังเอิญชนเข้ากับเยี่ยเซินขณะขี่มอเตอร์ไซค์ และทั้งสองก็ใกล้ชิดกันด้วยประการฉะนี้
ซูเฟยรู้ว่าเยี่ยเซินเล่นเปียโนได้ แถมยังฝีมือดีเสียด้วย จึงเกิดความรู้สึกที่ดีต่อเยี่ยเซิน
เธอไม่ได้รังเกียจที่เยี่ยเซินเป็นคนตาบอด หนำซ้ำยังดูแลเขาดีเป็นพิเศษ
“ดีจังเลย”
ความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ที่อ่อนแอกว่านั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์
ผู้ชมต่างเห็นอกเห็นใจต่อตัวตนในฐานะคนตาบอดของเยี่ยเซิน เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่รังเกียจตัวตนของเขา ผู้ชมก็พลันรู้สึกอิ่มเอมใจ
ในวันนั้น
ซูเฟยส่งเยี่ยเซินกลับบ้านดังเช่นที่ผ่านมา
หลังจากเข้าไปในบ้าน เยี่ยเซินก็ถอดแว่นตา ฉวยมือปิดประตู การเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติ ปราศจากการคลำทางหรือท่าทางเงอะงะแต่อย่างใด
ฉากนี้ทำให้ผู้ชมต่างตะลึงงันไปชั่วขณะ
หลังจากนั้น ฉากที่ทำให้ผู้ชมแทบกรีดร้องก็พลันปรากฏสู่สายตา!
เมื่อเห็นว่าเยี่ยเซินหันหน้ามา หยิบวัสดุชิ้นเล็กหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับคอนแท็กเลนส์ออกมาจากดวงตา ก่อนจะกระวีกระวาดไปยังหน้าต่าง มองตามซูเฟยที่เพิ่งขับรถออกไป
ที่แท้เยี่ยเซินก็โกหก!!
เขาไม่ได้ตาบอด!!!
……………………………………………………..
ค้างมากกกกก
ขอบคุณค้าาไร