เสียงร้องไห้ค่อยๆ กลายเป็นเสียงสะอื้น
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นด้วยความเก้อเขิน “ท่านอา…”
“ดีขึ้นหรือไม่” สืออีเหนียงจ้องมองนาง ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ฟังเจี่ยเอ๋อร์พยักหน้า สีหน้าดูดีขึ้นไม่น้อย นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่หางตา “ทุกครั้งที่ท่านแม่มาก็มักจะฝืนยิ้ม…ในใจข้าเองจึงรู้สึกขมขื่น…”
แต่ด้วยสถานะของนางทำให้นางไม่สามารถระบายความในใจตามใจชอบได้
สืออีเหนียงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
หลังจากที่ให้กำเนิดบุตรสาว ฮ่องเต้ก็ทรงผิดหวัง ฮองเฮาก็สงสาร ส่วนไท่จื่อเองก็ปลอบใจ…แม้แต่ท่านพ่อของนางก็ยังบอกว่าสกุลโจวต้องการส่งบุตรสาวของสหายเก่าเข้าวังเพื่อรักษาความโปรดปราน ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามที่นางคาดคิดไว้ แล้วก็เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในขณะนี้ เพียงแต่นางเกิดความขุ่นเคืองขึ้นในใจที่ไม่สามารถกำจัดและไม่มีวิธีใดมากำจัดได้
คิดไปคิดมานางก็นึกถึงสืออีเหนียง สตรีที่แม้แต่เสื้อแขนยาวธรรมดาก็ต้องใช้เส้นไหมหลากสีมาทำกระดุมค้างคาว…
นางไม่ทำให้ตนผิดหวังจริงๆ ด้วย
ไร้การเสแสร้ง ไม่มีคำพูดที่มักง่าย ซ้ำยังบอกกับตนอีกว่า ‘เช่นนั้นก็ร้องออกมาดังๆ แต่จำไว้ว่าเมื่อร้องไปแล้ว ต่อไปห้ามร้องไห้อีก’
ราวกับมารดาก็ไม่ปาน ไม่ว่าสิ่งที่ลูกๆ ทำมาจะถูกหรือผิด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเหมาะสมหรือไม่ มักจะพูดอย่างประนีประนอมก่อนจะตำหนิอย่างเคร่งครัด
ในชั่วเวลานั้น ไม่มีอะไรต้องคำนึงถึงอีกต่อไป นางทำตามความปรารถนาในก้นบึ้งของหัวใจโดยการร้องไห้ออกมาจนหมด
พอร้องออกมาความโกรธนั้นก็จางหายไป เมื่อความโกรธจางหายไปก็ถึงเวลาที่จะต้องเผชิญกับความเป็นจริง
คำบางคำก็ไม่จำเป็นต้องพูดอธิบายเพิ่มเติมอีกแล้ว
สืออีเหนียงนั้นเข้าใจตนดีทุกอย่าง
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เกิดในจวนองค์หญิง เป็นคนฉลาดและว่านอนสอนง่าย เมื่อเห็นว่านางมีท่าทีอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็เงียบไป สืออีเหนียงจึงรู้ว่านางกลับมาสงบและมีสติดังเดิมแล้ว ทิ้งสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไว้ข้างหลังแล้วพูดคุยเรื่องทั่วไปในครอบครัวกับนาง “จวิ้นจู่น้อยเล่า อยู่กับแม่นมหรือ น่าเสียดายที่หม่อมฉันไม่ค่อยสบาย จึงไม่สามารถไปร่วมพิธีสรงสามของจวิ้นจู่ได้ ไม่รู้ว่าจวิ้นจู่น้อยหน้าตาเหมือนใครมากกว่ากัน”
ไม่มีความอยากรู้อยากเห็น ไม่มีความประหลาดใจ ไม่มีความเงียบงัน แต่กลับช่วยหาทางออกให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์อย่างเป็นธรรมชาติ
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางรู้สึกว่าการตอบสนองของสืออีเหนียงนั้นสมเหตุสมผล
สตรีที่จิตใจดีและสง่างามเช่นนี้ไม่ควรเป็นสตรีที่หาได้ทั่วไป
นางยิ้มหวาน “จวิ้นจู่น้อยหน้าตาเหมือนข้า มีแม่นมคอยดูแล ทุกวันตอนบ่ายก็จะอุ้มมาให้ข้าดู” พูดพลางเรียกนางในผู้หนึ่งเข้ามา “ไปดูว่าจวิ้นจู่น้อยตื่นหรือยัง ให้แม่นมอุ้มมาให้หย่งผิงโหวฮูหยินดูสักหน่อย”
นางในรับคำแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงรีบพูดขึ้นมาว่า “อย่ารบกวนการนอนของจวิ้นจู่น้อยเลย!”
“นางเอาแต่นอนทั้งวัน” ฟังเจี่ยเอ๋อร์ใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา “จะรบกวนหรือไม่รบกวนก็ไม่เป็นไร” จากนั้นก็เล่าให้นางฟังว่ามือของจวิ้นจู่น้อยเล็กแค่ไหน เส้นผมดกดำเพียงใด เวลาจ้องมองผู้คนดวงตาสดใสขนาดไหน ยิ่งเล่าก็ยิ่งมีความสุข ไม่เพียงแต่อุ้มจวิ้นจู่น้อยมาให้สืออีเหนียงดู ซ้ำยังพูดคุยกับสืออีเหนียงไปจนถึงยามโหย่วกว่าจะให้สืออีเหนียงออกจากวัง
สวีลิ่งอี๋รออยู่ที่หน้าประตูเฉิงกวงนานแล้ว เมื่อเห็นนางออกมาก็รีบเข้าไปหา “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!”
สืออีเหนียงหน้าซีดเล็กน้อย รีบเดินออกจากประตูเสินอู่แล้วอาเจียนออกมา
สวีลิ่งอี๋รีบยกชาร้อนมา สืออีเหนียงดื่มไปสองอึกค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เขารีบส่งสัญญาณให้หู่พั่วรีบพานางกลับจวน
สวีลิ่งอี๋ให้ป้ายชื่อกับทหารเฝ้าประตูผู้นั้น แล้วนั่งเกี้ยวกลับเหอฮวาหลี่ทันที
เมื่อกลับถึงเรือนสืออีเหนียงก็นอนลง ยังไม่ได้ทานอะไรก็หลับไปแล้ว
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางเหนื่อยล้าเป็นอย่างมากจึงไม่รบกวนนาง กำชับหู่พั่วให้เตรียมอาหารมื้อดึกไว้ ใครจะไปรู้ว่าพอสืออีเหนียงหลับก็หลับไปจนถึงเช้า พอตื่นขึ้นมารู้สึกหิวจึงทานโจ๊กเข้าไป จากนั้นก็อาเจียนออกมาจนหมด
“ทำไมถึงเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว” สวีลิ่งอี๋กังวลเป็นอย่างมาก
“ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงเอ่ยปลอบเขา “อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยเกินไป พักสักสองวันประเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
ปรากฏว่าพักมาสองวันแล้วแต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ไท่ฮูหยินเองก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน ตำหนิสวีลิ่งอี๋ “ไท่จื่อเฟยอายุยังน้อยจึงไม่รู้ความ เจ้าเองก็ไม่รู้ความตามนางไปด้วย เหตุใดถึงได้ให้สืออีเหนียงเข้าวังไป”
สวีลิ่งอี๋เพียงแค่ยืนยิ้มเจื่อนๆ อยู่ด้านข้างเท่านั้น
สืออีเหนียงกลัวว่าเขาจะเสียหน้าจึงพูดเกลี้ยกล่อมไท่ฮูหยิน “เป็นเพราะร่างกายของข้าไม่ดีเอง ท่านโหวก็คิดไม่ถึงว่าจะกลับมาเป็นอีก”
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นว่านางเป็นห่วงสวีลิ่งอี๋เช่นนี้ ในใจก็ทั้งมีความสุข ทั้งเป็นกังวล เกรงว่านางจะมีอาการไม่สบายขึ้นมาอีก ปรึกษากันว่าจะให้ป้าเถียนกับป้าวั่นมาคอยรับใช้นาง
แน่นอนว่าสืออีเหนียงเห็นด้วย ให้หู่พั่วไปนำผ้าลายดอกเปี้ยนตี้จินสีทองสี่ผืน ผ้ากำมะหยี่สี่ผืน ผ้าซงเจียงสีขาวสี่ผืน ปิ่นปักผมสีแดงทองหนึ่งคู่ สร้อยข้อมือสีแดงทองหนึ่งคู่ แหวนทองคำสี่วงจากในคลังมามอบเป็นรางวัลให้ป้าเถียนและป้าวั่น
ป้ารับใช้ผู้ดูแลทั้งสองเอ่ยขอบคุณแล้วขอบคุณเล่า ทำงานอยู่ในเรือนสืออีเหนียงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คอยช่วยดูแลร่างกายของสืออีเหนียงอย่างสุดความสามารถ
แต่สถานการณ์ของสืออีเหนียงก็ยังไม่ดีขึ้น จนถึงวันที่สิบห้าเดือนสามก็ยังนอนอยู่แต่บนเตียง
ป้าเถียนกับป้าวั่นรู้สึกว่ามีความผิดปกติเล็กน้อย จึงสำรวจสืออีเหนียงอย่างละเอียดว่าไม่สบายตรงไหนกันแน่
สืออีเหนียงยิ้มด้วยสีหน้าซีดเซียว “รู้สึกว่ามีกลิ่นแปลกๆ อยู่ตลอดเวลา พอได้กลิ่นก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย”
ป้ารับใช้ทั้งสองกับหู่พั่วและคนอื่นๆ จึงได้สำรวจสิ่งต่างๆ ทั้งในห้องและนอกห้อง แต่ก็หาต้นเหตุไม่เจอ ขณะที่กำลังแปลกใจ สืออีเหนียงก็เริ่มอาเจียนออกมาอีกครั้ง
ป้าเถียนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ยืนอยู่ข้างกายสืออีเหนียงก็ได้กลิ่นหอมจางๆ
นางใจเต้นอย่างฉับพลัน
ออกคำสั่งให้นำสิ่งของที่สืออีเหนียงใช้ออกมาให้หมด แต่กลับไม่ได้กลิ่นหอมที่ได้กลิ่นเมื่อครู่นี้
ป้าเถียนใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ พลันได้กลิ่นหอมจางๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่นานสืออีเหนียงก็หมอบกายอยู่ข้างเตียงแล้วอาเจียนอีกครั้ง
ป้าเถียนไม่กล้าพูดอะไร ไปที่เรือนไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินสีหน้าดูไม่ดีเป็นอย่างมาก กำชับป้าเถียนเสียงเบาว่า “เจ้าอยู่ข้างกายสืออีเหนียงให้นานอีกหน่อย ดูว่ากลิ่นหอมนั้นลอยมาจากไหนกันแน่”
ป้าเถียนรับคำแล้วออกไป
หญิงเฒ่าที่อยู่ศาลบรรพชนมาขอความเห็นจากไท่ฮูหยิน “วัดฉือหยวนส่งคนมาบอกว่าจะมาวันพรุ่งนี้ยามอิ๋นเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปบอกกับอวี้ป่านว่า “เจ้าไปบอกหญิงเฒ่าผู้นั้นว่าให้พาคนทำพิธีของวัดฉือหยวนมาพบข้า”
อวี้ป่านรับคำ ไปบอกกับหญิงเฒ่าที่กำลังยืนอยู่กลางลาน
หญิงเฒ่าผู้นั้นรีบไปนำคนทำพิธีของวัดฉือหยวนมา
“บอกกับจี้หนิงว่าพิธีของลูกสะใภ้สี่ของข้าที่จากไปแล้วให้จัดที่วัดฉือหยวน จัดตามหลักของพิธี กระดาษทองและเงินอย่างละหนึ่งพันแผ่น ของเซ่นไหว้สามอย่าง โต๊ะพิธีห้าโต๊ะ”
คนทำพิธีผู้นั้นมีท่าทางประหลาดใจแต่ก็ตกปากรับคำ
ไท่ฮูหยินไปหาสืออีเหนียง
สาวใช้น้อยสองสามคนกำลังหาบางอย่างอยู่ที่สนามหญ้าหน้าเรือนและหลังเรือน
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน” ไท่ฮูหยินเดินเข้าไปในห้อง ห้ามไม่ให้สืออีเหนียงที่นอนอยู่บนเตียงเตาลุกขึ้นมา นางนั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้ที่อยู่หน้าเตียง ซักถามป้าเถียน
“ฮูหยินบอกว่าดูเหมือนว่าจะเป็นกลิ่นหอมของดอกไม้อะไรสักอย่างเจ้าค่ะ” ป้าเถียนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ปีที่ผ่านมาก็เคยได้กลิ่น เพียงแต่ว่าปีนี้ไม่สามารถดมกลิ่นนี้ได้แล้ว ดังนั้นบ่าวจึงให้บรรดาสาวใช้น้อยหาที่หน้าเรือนและหลังเรือนเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า ให้ป้าตู้นำรังนกแดงที่ถือมาส่งให้แก่ป้าเถียน “หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจะไม่ดี เอาไปตุ๋นให้นางกิน”
ป้าเถียนรีบรับมาแล้วไปที่ห้องครัว
สืออีเหนียงรู้สึกไม่ดีที่ทำให้ทุกคนวุ่นวาย
ไท่ฮูหยินกลับพูดปลอบโยนนางว่า “เจ้าก็ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนี้” จากนั้นก็กำชับป้าซ่งให้ดูแลสืออีเหนียงให้ดีก่อนจะกลับเรือน
สวีซื่อจุนได้รับการชี้แนะจากอาจารย์จ้าว ซ้อมการดำเนินพิธีครบรอบวันจากไปของมารดาอยู่ในเรือนซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลังเลิกเรียนก็มาฝึกให้สืออีเหนียงดู
สืออีเหนียงพยักหน้าอย่างชื่นชม “จุนเกอของเราโตขึ้นแล้ว”
สวีซื่อจุนจับมือที่ซีดขาวราวกับกระดาษของสืออีเหนียง ดวงตาเต็มไปด้วยความกังวล “ท่านแม่ ท่านต้องรีบดีขึ้นเร็วๆ นะขอรับ”
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่หยวนเหนียงป่วย สวีซื่อจุนก็เคยจับมือหยวนเหนียงอยู่ข้างเตียงเช่นนี้เหมือนกัน น้ำตาแทบจะไหลรินออกมา นางยิ้มพลางกุมมือของสวีซื่อจุน “มีจุนเกอคอยช่วยแม่อยู่ แม่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แน่นอนว่าต้องดีขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน”
สวีซื่อจุนพยักหน้า ท่าทางดูเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย
เมื่อถึงวันนั้นก็สวมชุดพิธีแล้วมาคารวะสืออีเหนียงตั้งแต่เช้าตรู่
ป้าตู้เห็นแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “วันนี้คุณชายน้อยสี่จะไปวัดหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่” สวีซื่อจุนพูดต่ออีกว่า “ท่านแม่บอกว่าป่วยอยู่จึงให้ข้าเป็นผู้ดำเนินการในพิธีครบรอบวันจากไปของมารดาแทน”
ป้าตู้ลอบตะโกนคำว่า แย่แล้ว อยู่ในใจ
ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน!
ให้คนอื่นมาปรนนิบัติสวีซื่อจุนทานอาหารเช้า ส่วนตัวเองรีบไปรายงานไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ “อายุมากแล้วดูแลเรื่องนี้ได้แต่ก็ดูแลเรื่องนั้นไม่ได้” แล้วพูดต่ออีกว่า “เจ้าไปเรียกเขาเข้ามา ข้าจะพูดกับเขาเอง เกรงว่าทางด้านของเจ้าสี่กับสืออีเหนียงจะยังไม่รู้ เจ้าก็ไปรายงานพวกเขาด้วย”
ป้าตู้รับคำแล้วรีบไปหาสืออีเหนียง
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย สืออีเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ปรึกษากับเขาว่า “ท่านโหวไปวัดกับจุนเกอดีหรือไม่เจ้าคะ”
คงมีเพียงแค่วิธีนี้แล้ว!
สวีลิ่งอี๋กำชับพ่อบ้านไป๋ให้ไปเตรียมรถม้า
ป้าตู้กลับไปรายงานไท่ฮูหยิน
ป้าเถารอจุนเกออยู่นอกศาลบรรพชน รอแล้วรอเล่าจุนเกอก็ไม่มาสักที บรรดาคนทำพิธีที่ต้องมาทำพิธีก็ไม่เห็นเงาเลยแม้แต่คนเดียว นางให้สาวใช้น้อยข้างกายไปหาสวีซื่อจุน
“ป้าเถา” สาวใช้น้อยวิ่งกลับมาด้วยความเหนื่อยหอบ “พิธีครบรอบวันจากไปของฮูหยินสี่คนก่อนได้เปลี่ยนไปจัดที่วัดฉือหยวน ท่านโหวพาคุณชายน้อยสี่ไปวัดฉือหยวนแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” ป้าเถาตะลึงเล็กน้อย “สองวันก่อนได้ตกลงไว้เรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้เปลี่ยนไปจัดที่วัดฉือหยวน”
สาวใช้น้อยพูดเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่าฮูหยินสี่อาการไม่ค่อยมั่นคง ดังนั้นไท่ฮูหยินจึงได้เปลี่ยนสถานที่จัดพิธีการเป็นวัดฉือหยวนเจ้าค่ะ”
ป้าเถาได้ฟังดังนั้นก็ทั้งโกรธและรู้สึกเจ็บปวด
“นางอาการไม่มั่นคง นางอาการไม่มั่นคงก็ยิ่งควรที่จะตั้งใจเซ่นไหว้คุณหนูใหญ่ ให้คุณหนูใหญ่คุ้มครองให้นางปลอดภัยและราบรื่นจึงจะถูก แต่นางกลับให้พี่หญิงใหญ่ที่เสียไปแล้วหลีกทางให้นาง…ก็แค่ตั้งครรภ์ไม่ใช่หรือ ยังไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิงก็วางท่าเสียแล้ว! นึกถึงตอนนั้นที่นางเป็นเพียงบุตรสาวของอนุ เอาแต่ทำท่าทางประจบประแจงอยู่ต่อหน้านายหญิงใหญ่…”
สาวใช้น้อยผู้นั้นได้ฟังก็เหงื่อแตกพลั่ก รีบดึงป้าเถา “ป้าเถา พวกเรากลับกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้บอกว่าได้ขอให้คนช่วยเขียนคำอวยพรให้ฮูหยินสี่ที่เสียไปแล้วไม่ใช่หรือ พวกเรามาเผาให้นางกันดีหรือไม่ อย่าทำให้ล่าช้าเลยนะเจ้าคะ” จึงทำให้ป้าเถายอมกลับไปได้
ป้าเถาให้สาวใช้น้อยผู้นั้นไปเฝ้าอยู่หน้าประตูฉุยฮวา “พอคุณชายน้อยสี่กลับมาให้เจ้ามาบอกข้า เรื่องนี้จะจบเช่นนี้ไม่ได้!”
สาวใช้น้อยจึงต้องไปรอที่ประตูฉุยฮวา
ตอนที่เดินผ่านเรือนของสืออีเหนียง ก็ได้ยินเสียงสาวใช้น้อยในเรือนพูดด้วยความตื่นตระหนก “หาเจอแล้ว หาเจอแล้วเจ้าค่ะ!”
ป้าเถียนได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งไปดู “เอามาให้ข้าดูเร็ว มันคืออะไร”
สาวใช้น้อยถือพืชที่เหมือนต้นหญ้าอยู่ในมือ “ป้าเถียน ท่านลองดมดูสิเจ้าคะ!”
ป้าเถียนมีสีหน้าตกใจในทันที “เป็นกลิ่นนี้จริง ๆด้วย!”