“ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่การฆาตกรรมธรรมดา” น้ำเสียงของหยวนหมิงเข้มขึ้นทันทีหลังออกมาจากพระราชวังใต้ดิน
“ทำไมถึงพูดเช่นนั้นล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดเดิน
“เจ้าจำหมอกที่พวกเราเห็นที่ทะเลสาบชิงหลงเมื่อคืนได้หรือเปล่า” หยวนหมิงลดเสียงลง ”หมอกพวกนั้นเกิดจากการวมตัวของปราณแห่งความโกรธแค้น อีกฝ่ายมีจุดประสงค์ที่จะทำลายปราณมงคลของสำนักไท่ไป๋แม้มันจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง แต่ว่าพวกเขาสามารถสร้างปราณแห่งความโกรธแค้นได้มากพอภายในระยะเวลาสั้นๆ เห็นได้ชัดว่าการฆาตกรรมในวันนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น จะต้องมีคนถูกฆ่าหลังจากนี้อีกแน่นอน…”
ระหว่างที่หยวนหมิงกำลังพูดอยู่นั้น จือฝู่ คนหนึ่งก็เดินทางมาถึงด้วยท่าทางยิ่งใหญ่เกรียงไกร เขาค้อมตัวและเอ่ยทักทายกับบรรดาลูกศิษย์ของหอชั้นเลิศ
แต่เขาดูไม่ค่อยพอใจนักเมื่อเห็นศพนั้น
เขามีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของสำนักไท่ไป๋ แม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนก็ยังเคยมาปรึกษาเขาเรื่องนั้นอยู่หลายครั้ง
เวลานี้เมื่อมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือจัดการกับเรื่องนี้โดยเร็ว และทำให้มันเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่เห็นได้ชัดว่าจือฝู่ผู้นั้นคำนวณผิดพลาดไป ไม่มีทางที่ลูกศิษย์เหล่านั้นจะไม่รู้สึกกังวลใจเพราะความจริงที่ว่าเพิ่งมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ภายในหอพักของพวกตน แม้จะมีสีหน้าแตกต่างกัน แต่ทุกคนต่างก็ต้องการคำอธิบายจากจือฝู่กันทั้งสิ้น
จือฝู่ผู้นั้นไม่สามารถทำตัวเสียมารยาทต่อบรรดาลูกศิษย์จากหอชั้นเลิศได้ ”ในเมื่อทุกคนอยากรู้ เช่นนั้นก็เล่าสิ่งที่เจ้าเจอจากการชันสูตรให้พวกเขาฟังเสีย” ขุนนางบอกกับอู่จั้ว
“ขอรับ” อู่จั้วยกมือขึ้นแนบอกทำความเคารพเขา พร้อมกับเดินออกไปข้างหน้า คนพวกนี้ก็เป็นเพียงแค่ศิษย์ที่ไม่ได้ฉลาดเท่าใดนัก ดังนั้นการจะกุคำพูดขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด อู่จั้วแสร้งวางท่าราวกับตนเป็นผู้มีอำนาจ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย แล้วเริ่มอธิบายว่า ”เหยื่อน่าจะมีอายุอยู่ในช่วงสิบเจ็ดถึงสิบเก้าปี สาเหตุการตายนั้นเป็นเพราะเสียเลือดมากเกินไป และช่วงเวลาตายน่าจะอยู่ในระหว่างยามอู่ถึงยามเว่ยของเมื่อวาน…”
สิ่งที่เขาพูดไม่มีอะไรผิดปกติแต่ประการใด แต่คำพูดประโยคถัดมาของเขาต่างหากที่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว
“เหยื่อมีรูปโฉมงดงาม ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากทีเดียวว่าจุดประสงค์ในการฆ่าของผู้ลงมือนั้นจะมาจากที่ผู้ตายไม่ยินยอมมีอะไรด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไร หากตัดสินจากการกระทำของเขาแล้ว ขุนนางระดับล่างผู้นี้จะต้องพูดเรื่องไร้สาระอยู่อย่างแน่นอน
อู่จั้วไม่คิดจะหยุดพูด หลังจากกวาดสายตามองรอบตัวเสร็จ เขาก็อธิบายต่อโดยละเอียดว่า ”ทางเข้าออกของสำนักไท่ไป๋จะถูกลงกลอนแน่นหนาเป็นประจำทุกคืน นอกจากลูกศิษย์ที่พักอยู่ที่นี่แล้ว การที่คนภายนอกจะลอบเข้ามาได้นั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากทีเดียว…”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของอู่จั้ว ทุกคนก็อ้าปากค้าง ลูกศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นเสียงดังอย่างอดไม่ได้ว่า ”ท่านหมายความว่าฆาตกรอยู่ในหมู่พวกเรา!”
เพียงแค่คิดว่าเพื่อนร่วมชั้นของตนอาจเป็นฆาตกรหื่นแค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้บรรดาคุณหนูทั้งหลายในหอชั้นเลิศอยู่ไม่สุขด้วยความหวาดกลัว พวกนางมองหน้ากัน ใบหน้าของพวกนางล้วนแต่ซีดจนไร้เลือด
พวกนางไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทั้งที่งานคัดเลือกนางสนมกำลังใกล้จะเริ่มขึ้น
อู่จั้วไม่รู้เลยว่าคำพูดของตนจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงได้ถึงเพียงนี้ เขาโบกมือแล้วกล่าวต่อว่า ”นี่เป็นเพียงแค่การวิเคราะห์ของข้าแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เรายังจำเป็นต้องทำการสืบสวนเพิ่มเติมจึงจะทราบถึงสาเหตุการตายของนางได้ แต่คนลงมือจะต้องเป็นผู้ชายไม่ผิดแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยากที่จะเข้าไปแทรกแซงเขา แต่ผลกระทบที่เกิดจากคดีนี้มีมากยิ่งนัก หากการวิเคราะห์อย่างผิดๆ ของอู่จั้วส่งผลให้บรรดาลูกศิษย์เชื่อกันอย่างผิดๆ ว่าพวกเขาจำเป็นต้องระวังตัวแค่เฉพาะกับผู้ชายเท่านั้น ไม่ใช่ผู้หญิงด้วยละก็ เห็นทีลูกศิษย์พวกนั้นคงได้ตกเป็นเหยื่อเพราะความเข้าใจผิดอันร้ายแรงนี้ได้แน่
ดังนั้นนางจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย ”ฟังจากที่ท่านพูด ท่านหมายความว่าเพื่อนร่วมสำนักผู้นี้ถูกฆาตกรรมก็เพราะรูปร่างหน้าตาอันงดงามของตัวเองเช่นนั้นหรือ”
อู่จั้วไม่คิดว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วจะยังมีคนกล้าพูดอะไรขึ้นมาอีก เขาตวัดสายตามองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วตอบอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยว่า ”ถูกต้องแล้ว”
“ท่านมั่นใจเช่นนั้น แต่มีบางสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจอยู่” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดต่ออย่างเยือกเย็น ”ถ้าคนลงมือเป็นคนเริ่มกระทำอนาจารกับนางก่อนจริง ทำไมเสื้อผ้าของเหยื่อถึงไม่มีร่องรอยว่าถูกแตะต้องเลยเล่า”
อู่จั้วชะงักไปทันทีที่เขาตระหนักได้ถึงรายละเอียดที่เฮ่อเหลียนเวยเวยบอก โดยปกติแล้วเขาคงไม่มีทางมองข้ามเรื่องเช่นนี้ไปได้ แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ตั้งใจสังเกตให้แน่ชัดเพราะเห็นว่าผู้เป็นนายต้องการจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดนั่นเอง
อู่จั้วคนนั้นไม่รู้จักเฮ่อเหลียนเวยเวย
เขาเพียงแค่รู้สึกกระอักกระอ่วนที่มีผู้หญิงมาชี้ข้อผิดพลาดของตนต่อหน้าผู้คนมากมายเท่านั้น
ลูกศิษย์ที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่คนโง่เขลา ทันทีที่ได้ยินการวิเคราะห์ของเฮ่อเหลียนเวยเวย สายตาของพวกเขาก็เคลื่อนไปหยุดอยู่ที่อู่จั้วราวกับกำลังรอฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากเขา
อู่จั้วข่มอารมณ์ของตนเอาไว้ แล้วเอ่ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโต้เถียงกันอีกแล้ว ความจริงจะปรากฏขึ้นหลังจากข้าชันสูตรศพของนางเสร็จ! ฆาตกรจะต้องอยู่ในหมู่พวกเจ้าอย่างแน่นอน!”
พอพูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อของตนอย่างแรง พลางเดินไปยืนตรงหน้าจือฝู่ และยกมือขึ้นทำความเคารพเขาอีกครั้ง ”ใต้เท้า ข้าขอเสนอให้ส่งเจ้าหน้าที่มาเพิ่มเพื่อคุ้มกันสำนักขอรับ ไม่ใช่เพื่อคุ้มครองบรรดาลูกศิษย์เพียงอย่างเดียว แต่พวกเขายังสามารถป้องกันไม่ให้ฆาตกรหลบหนีไปจากที่นี่ได้อีกด้วย”
“ได้ ทำตามที่เจ้าพูด” จือฝู่ผู้นั้นโบกมือด้วยสีหน้าพอใจ เขามองเห็นภาพรวมของเหตุการณ์นี้ได้ดีกว่าอู่จั้ว ท่านอ๋องมีคำสั่งให้เขาจับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักไท่ไป๋ และนี่เป็นโอกาสดีที่จะพาเจ้าหน้าที่และทหารเข้ามาในสำนัก แต่ถ้าหากพูดกันตามจริงแล้ว เขาไม่ได้สนใจที่จะจับกุมตัวฆาตกรมากนัก
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์คลี่คลายลงในลักษณะใด ดวงตาของหยวนหมิงก็เป็นประกาย ”แม่นาง เจ้าเคยคิดที่จะไปจากที่นี่หรือเปล่า”
“ไปตอนนี้น่ะหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าหยวนหมิงคงไม่เสนอให้นางไปจากที่นี่โดยไม่มีเหตุผล ”ทำไมล่ะ” นางถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น
“มีความเป็นไปได้ทีเดียวว่านี่จะเป็นค่ายกลเนินคนตายที่คนตระกูลเต้าสร้างขึ้น” หยวนหมิงพูดเสียงเบา
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วทันทีที่นางได้ยินคำพูดของหยวนหมิง ในสมัยโบราณนั้น คำว่าเนินมักถูกใช้กล่าวถึงสถานที่ที่มีหลุมศพอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก ไม่ใช่หลุมศพเพียงแค่สองหรือสามหลุม อย่างน้อยก็ต้องมีคนตายกันยกตระกูลจึงจะสามารถเรียกว่าเนินได้
“ทันทีที่ค่ายกลเนินคนตายเริ่มต้นขึ้น มันก็จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่สามารถหยุดได้ จนกระทั่งคนสุดท้ายในค่ายกลตาย ค่ายกลนี้จึงจะสำเร็จ ตอนนี้เจ้ายังพอมีเวลาออกไปจากที่นี่ได้ แต่ผลกระทบจากปราณแห่งความโกรธแค้นที่มีต่อเจ้านั้นนับว่ารุนแรงทีเดียว” หยวนหมิงชำเลืองมองไปยังทิศทางที่จือฝู่คนนั้นเพิ่งเดินจากไป ร่องรอยเย้ยหยันปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ”ข้าไม่เชื่อว่าคนพวกนี้จะหาสาเหตุเจอภายในสองวัน และอีกสองวันก็จะถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เจ้าคงไม่สามารถต้านทานมันได้อย่างแน่นอน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าหยวนหมิงพูดถูก แต่นางรู้สึกว่านางจะออกไปเช่นนี้ไม่ได้ ”ทำไมเราไม่ให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ออกไปก่อนล่ะ”
“สำหรับค่ายกลเนินคนตายนั้น ต่อให้คนคนนั้นหนีไปอยู่ที่ไหน อย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลแห่งนี้อยู่ดี” หยวนหมิงมองนาง แล้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ”ข้าสามารถใช้พลังปีศาจปิดบังกลิ่นอายของเจ้าได้ แต่ใช้กับคนอื่นไม่ได้ ต่อให้พวกเขาออกไปจากที่นี่ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องตายอยู่ดี”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหลุบตาลงราวกับอยู่ในภวังค์ ”สรุปว่าถ้าเราไม่อยากตาย เราก็ต้องหาสถานที่ที่เป็นต้นตอของมันให้เจอใช่หรือเปล่า”
“ใช่แล้ว” หยวนหมิงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ”เจ้าอยากสืบเรื่องนี้หรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบตกลงด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน ”ข้าไม่ได้ใช้สมองเช่นนี้มานานแล้ว ก็อย่างที่เจ้าว่า ปล่อยให้ลูกศิษย์ที่เหลืออยู่ในสำนักต่อไปคงจะดีกว่า มันน่าจะช่วยลดขอบเขตของการสืบสวนลงได้ด้วย ถูกไหม”
“ถูกต้อง” หยวนหมิงพบว่านางฉลาดกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาไม่รู้สึกผิดหวังกับการเลือกเหยื่อของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยนำข้อมูลทุกอย่างที่ตนมีมาวิเคราะห์ ระหว่างเส้นทางไปยังด้านหลังของภูเขานั้นสายตาของนางก็หันมองไปทางทะเลสาบชิงหลงอยู่ครู่หนึ่ง น้ำฝนตกลงบนผิวน้ำ แต่มันกลับไม่มีน้ำกระเพื่อมขึ้นมามากนัก อันที่จริงแสงที่ส่องลงมาบนนั้นกลับดูเลือนรางและพร่ามัวเหมือนมองผ่านผ้าบางๆ เสียด้วยซ้ำ…