หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1138 ตกปลา!

บทที่ 1138 ตกปลา!

และในพริบตาที่เสียงนี้ดังขึ้น นอกกระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อก็มีศีรษะของเจ้าลาน้อยโผล่ออกมา มันยังคงปิดตาเหมือนเก่าคล้ายกับหลับอยู่ แต่จมูกกลับขยุกขยิกไม่หยุด และด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึงมันกัดเข้าไปยังพื้นที่ว่างเปล่าด้านหลังของหวังเป่าเล่ออย่างรุนแรงทันที!

การกัดคำนี้ ไม่อาจรู้ได้ว่ากัดสิ่งใด ทว่าฟันของเจ้าลาน้อยถึงขั้นหัก แถมยังส่งผลให้ร่างกายของมันระเบิดไปกว่าครึ่งจนต้องส่งเสียงร้องโหยหวนแล้วมุดกลับเข้ากระเป๋าคลังเก็บไปในพริบตา

การกรีดร้องของมันทำให้หวังเป่าเล่อเบิกตาโพลงทันที ในพริบตานั้นร่างกายของเขาหายวับ ก่อนจะไปปรากฏตัวอยู่ในที่ไกลๆ แห่งหนึ่ง กวาดตามองรอบด้าน ดวงตาฉายแววสงสัย พริบตานั้นหวังเป่าเล่อแผ่จิตสัมผัสออกไป แต่เขาก็ไม่พบจุดน่าสงสัยอะไรในละแวกนั้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน…” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ทางด้านหนึ่งเขายังดูดเส้นไหมสีเขียวต่อเนื่อง อีกด้านหนึ่งก็ลองส่งจิตสำรวจเข้าไปภายในกระเป๋าคลังเก็บ ก็พบว่าเจ้าลาน้อยเหลือร่างกายเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น

เจ้าหมอนี่ยังคงหลับเหมือนเก่า…แม้หน้าท้องของมันจะระเบิดไปแล้ว แต่กลับยังไม่ยอมตื่น

อย่างไรก็ดีในร่างของมัน หวังเป่าเล่อเห็นพลังปราณสีดำและสีเขียวครามกำลังเคลื่อนไหวต่อสู้กันไปมา คล้ายกับว่ากำลังแย่งกันซ่อมแซม ขณะเดียวกันก็กำลังสร้างร่างเนื้อขึ้นใหม่

ในส่วนของอู๋น้อย…ตอนนี้ยังคงหลับใหล มองไม่เห็นว่าเกิดเรื่องผิดปกติอะไรกับเขาบ้าง

“เจ้าลาน้อยกินอะไรเข้าไปหรือ? คล้ายกลิ่นอายความตายแล้วก็คล้ายเส้นไหมสีเขียว…” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด เมื่อครู่เขากำลังดูดกลืนพลังปราณแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นจากภายนอกจึงไม่อาจแบ่งความสนใจมาได้ และเพราะตัวเขาไม่มีเวลารั้งอยู่ตรงนี้นานนัก หวังเป่าเล่อจึงต้องละทิ้งความสนใจนี้ แล้วหันไปทุ่มเทกายใจดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวเพิ่ม เพื่อสร้างพลังกล้ามเนื้อให้กับตนเอง

แต่หลังจากเขาดึงกระแสจิตกลับไปแล้ว อู๋น้อยที่หลับอยู่ก็พลันลืมตา เจ้าลาน้อยที่อยู่ตรงนั้นเองก็เช่นกัน หนึ่งคน หนึ่งวานร ตาเล็กใหญ่ประสาน

“วิธีที่ข้าสอนเจ้า มีประโยชน์หรือไม่เล่า? ถูกแล้ว เจ้าปลาข้างนอกนั่นอร่อยหรือไม่…” อู๋น้อยลูบท้องเอ่ยเสียงเบา

“ฮี้!” เจ้าลาน้อยส่งเสียงร้องเกียจคร้านคราหนึ่ง ไม่สนใจหน้าท้องที่ระเบิดไปแล้วของตนเอง มันแลบลิ้นขึ้นเลียริมฝีปาก

“เจ้าหมอนี่ ใจกล้ายิ่งนัก ของแบบนี้ยังกล้ากิน…นี่มันของเล่นอะไรกันแน่…ขนาดพลังเต๋าสวรรค์ยังกล้ากิน…” อู๋น้อยนิ่งเงียบ แล้วมองหน้าท้องของเจ้าลาน้อย จากนั้นมองท่าทางเลียริมฝีปากของมัน หลังจากเขาพึมพำเสียงเบาก็ลูบส่วนท้องของตัวเองอีกครั้ง…

เขาเองก็หิว

“หรือว่านี่ไม่ใช่เต๋าสวรรค์ สามารถกินได้จริงๆ…” ครู่ใหญ่ให้หลัง อู๋น้อยขี้สงสัยหลังจากใช้ดวงตาที่มองทะลุกระเป๋าคลังเก็บสำรวจโลกภายนอกแล้ว ก็เห็นเงาร่างเลือนรางหนึ่งกำลังตะบึงหนีอยู่ในระยะไกล คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเลียริมฝีปากบ้างแล้ว

ขณะนั้นที่อู๋น้อยใช้วิชาพิเศษส่องทิศทางอันห่างไกลอยู่ เจ้าปลาดำกลับกรีดร้องโหยหวน ด้านหนึ่งมันเร่งล่าถอย เพราะหากมองหางของมันให้ชัดๆ ล่ะก็ จะเห็นว่าแหว่งไปส่วนหนึ่ง

“เรื่องบ้าบออะไรกัน นี่มันผีสางอะไร มีคนเห็นข้าด้วยแถมยังกัดข้าได้อีก อ๊ากๆๆๆ มันไม่กลัวตายหรือไง” เจ้าปลาดำเจ็บจนอยากร้องไห้ มันบินกลับไปยังใจกลางเตาหลอม และส่งเสียงครวญครางนอกหมอกนั้นอีกรอบ หลังไม่ได้รับเสียงตอบกลับ ความรู้สึกไม่เป็นธรรมของมันก็ทะยานถึงขีดสุด ว่ายวนไปมาอีกหลายรอบแต่ทำได้แค่ยอมจากไปเท่านั้นและกลับไปยังที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่

ทว่ารอบนี้มันไม่กล้าเข้าใกล้หวังเป่าเล่อแล้ว ด้านหนึ่งเพราะอีกฝ่ายเพิ่งกัดมันเข้าไป ส่วนอีกด้านหนึ่งมันเองรู้สึกว่า มีดวงตากระหายเลือดจับจ้องมันมาจากตรงนั้น

ดังนั้นเจ้าปลาดำจึงได้แต่วนอยู่รอบนอก คอยกินเส้นไหมสีเขียวต่อไปเป็นการระบายความคับแค้นใส่เส้นไหมพวกนี้แทน ด้วยความรวดเร็ว เส้นไหมพวกนี้ล้วนถูกมันและหวังเป่าเล่อกินจนจำนวนลดน้อยลง

“ถัดไป!” หวังเป่อเล่อขยับกายอย่างอารมณ์ดี มุ่งหน้าไปยังที่ถัดไป แต่ในใจกลับระแวดระวัง เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกว่ารอบด้านต้องมีอะไรสักอย่างคอยจ้องตัวเองอยู่เป็นแน่

“ดูท่าแล้วไม่อาจประมาทมหาศิษย์แห่งเต๋าของตระกูลหมื่นสำนักได้…คงต้องค่อยๆ กลืนกลิ่นอายความมืด เพราะถ้าหากถูกพบเข้าคงไม่ดี” หวังเป่าเล่อนิ่งคิดอย่างรวดเร็ว

เรื่องก็เป็นแบบนี้ ในอีกหลายชั่วยามต่อมา เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏอยู่ภายในวังวนขนาดยักษ์อันแล้วอันเล่า ครั้นเข้าไปก็ลงมือรุนแรงบ้าคลั่ง ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหมดต้องหลบหนี ขณะเดียวกันชื่อเสียงของเขาก็กระจายผ่านทางมหาศิษย์แห่งเต๋าของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายที่เคยเห็นภาพเขามาก่อนแล้วด้วยความรวดเร็ว

“หวังเป่าเล่อ?!”

“เจ้าคนวิปริตนี่ มันเป็นไอ้บ้าคนหนึ่ง ดาวเคราะห์เต๋าของมันอยู่ระดับดารานิรันดร์ไปแล้ว มันสังหารได้กระทั่งชงอี้จื่อ จู่ๆ มารังแกพวกเราทำไมกัน!”

“ข้าได้ยินมาว่าวังวนพวกนี้ล้วนเป็นของเขา ทำไมเขาไม่พูดเลยล่ะว่าจักรพรรดิสวรรค์กับเฉินชิงจื่อเป็นญาติเขาไปเลย!”

“สมควรตาย มันมาอีกแล้ว ทุกคนไปเร็ว!”

บนท้องฟ้าสีเทา หลังจากที่หวังเป่าเล่อกวาดล้างและโจมตีอย่างป่าเถื่อน ก็ก่อเกิดความวุ่นวายขนาดใหญ่ เขาค่อยๆ เข้ายึดครองวังวนแต่ละที่แล้วดูดกลืนมัน ดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวจำนวนมากขึ้นกว่าเก่าเข้าสู่ร่าง แม้มองผิวเผินจะคล้ายว่า เขากระทำการมุทะลุ แต่ยามที่ดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวนั้นยังคงใช้ความตั้งใจอยู่บ้าง

พลังเช่นนี้กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ แน่นอนว่าเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าระดับที่สองตรงนี้ไม่อาจสังเกตเห็น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังพอมีผู้ฝึกตนเหมือนเช่นเต่ายักษ์และผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์ที่มองออกเงื่อนงำนี้ออก ไอรีนโนเวล

ยามนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะเรื่องนี้ยากจะเก็บเป็นความลับ อีกทั้งโอกาสในการบ่มเพาะเช่นนี้ก็หาได้ยากอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อพลันนึกได้ว่าตนมีศิษย์พี่เฉินชิงจื่อเป็นที่พึ่งพิง เขาจึงไม่คิดมากอีกต่อไป

เพราะว่าหากเทียบกับความกังวลและการถูกจำกัดการเคลื่อนไหวแล้ว ยังไม่สู้การได้โอกาสดูดกลืนอย่างสุขใจตรงนี้ พัฒนากายเนื้อของตนให้ถึงระดับขั้นดารานิรันดร์และเข้าสู่ระดับจักรพิภพ!

กอปรกับนิสัยชั่วร้ายของหวังเป่าเล่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ตัวเขาย่อมถูกชักพาด้วยเรื่องนี้ได้ง่าย สุดท้ายแล้วหวังเป่าเล่อก็ไปถึงวังวนขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง ในขณะที่เขาเพิ่งเคลื่อนเข้าใกล้ คนในนั้นก็พลันแตกฮือกันออกมา ทำให้เขาได้โอกาสดูดกลืนเร็วกว่าเดิม

ดังนั้นแล้วร่างเนื้อของเขาจึงพัฒนาสูงยิ่งขึ้นท่ามกลางการดูดกลืนนี้ จากระดับดารานิรันดร์ชั้นปลาย ตอนนี้ค่อยๆ เข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์ และยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น บางทีอาจจะยกระดับพลังด้วยความรวดเร็วแล้ว แต่เคล็ดวิชาเด็ดดาราของหวังเป่าเล่อนั้นคือการหลอมดาวเคราะห์เข้าสู่ร่างปฐมอย่างไร้รูปลักษณ์ ดาวเคราะห์ทุกดวงเปรียบเหมือนร่างแยกหนึ่งร่าง ดังนั้นร่างเนื้อของเขาจึงมีการพัฒนาที่ค่อนข้างช้า ทว่าการพัฒนาในแต่ละระดับขั้นย่อมก่อเกิดผลสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

ในส่วนของการดูดกลืนกลิ่นอายแห่งความตาย หลังจากที่หวังเป่าเล่อหยุดไปช่วงหนึ่ง เขาก็อดดูดกลืนไม่ได้อีกหลายครั้ง เป็นการเติมเต็มดวงวิญญาณเทพ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เจ้าปลาดำตัวนั้นบ้าคลั่งยิ่งกว่าเก่า

แต่สิ่งที่ได้รับพลังมากที่สุด ไม่ใช่ร่างเนื้อและดวงวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อ กลับเป็น…ฝักกระบี่เจ้าชะตา ในยามนี้ฝักกระบี่ไม่ได้เป็นสีแดงธรรมดาอีกแล้ว มันกลับทอแสงแดงชาดจนถึงขีดสุด กระทั่งเริ่มเปล่งประกายสีม่วงเจือดำ

กลิ่นอายที่ปล่อยออกมา หวังเป่าเล่อสัมผัสได้เพียงเล็กน้อยก็ยังต้องตกใจจนสะสะท้าน เพราะนับเป็นระดับพลังที่น่าตื่นตะลึงและแข็งแกร่ง ชวนให้ผู้คนพรั่นพรึงนัก

แล้วก็ยังมี…อู๋น้อยกับเจ้าลาน้อย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าทั้งสองตื่นขึ้นจากการหลับใหลแล้ว แท้จริงแล้วทั้งสองเอาแต่บ่นไม่หยุดอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อ ในขณะที่เขากระโจนไปดูดกลืนตามวังวนแล้ววังวนเล่า เสียงบ่นนั้นก็ดังมาก จะไม่ให้หวังเป่าเล่อฟังก็กระไรอยู่

“เจ้าลาโง่ เจ้ากลืนให้มันน้อยลงหน่อยได้ไหม เจ้ากลืนไปบ่อยขนาดนี้ ของเล่นชิ้นนี้มันจะกล้ามาได้อย่างไร!”

“อียอวว”

“อียอวว หามารดาเจ้าเถอะ เก็บท่าทีหน่อย สำรวมสักนิด ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่มาแล้ว!”

ตอนที่ได้ยินคำพูดของทั้งสอง หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าพวกเขาแอบกินเส้นไหมสีเขียวอยู่เงียบๆ เช่นกัน เขาไม่ได้ถือสาเรื่องนี้มากนัก เพราะตนเป็นสาเหตุให้ทั้งสองต้องทนหิวมานาน เขาลืมไปแล้วว่ามีเจ้าสองคนนี้อยู่ด้วยซ้ำ

เพื่อเป็นการชดเชย จะกินก็กินไปเถอะ กลับกันเส้นไหมสีเขียวพวกนี้ก็มีมากอยู่ เขาไม่มีทางกินหมด แต่ถึงอย่างนั้นหวังเป่าเล่อก็แอบประหลาดใจกับคำว่า “มัน” ที่ทั้งสองเอ่ยถึง คืออะไรกัน…นี่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องเอ่ยปากถามออกไป

“พวกเจ้ากำลังทำอะไร พูดถึงใครกัน?”

หลังจากได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ เจ้าลาน้อยและอู๋น้อยพลันตัวแข็งทื่อ ผ่านไปชั่วครู่เจ้าลาน้อยจึงค่อยเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

“อียอว”

“ปลาที่อร่อยมากงั้นหรือ?” หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาส่งสภาวะจิตสำรวจอู๋น้อย ร่างของอู๋น้อยสั่นระริก ทำหน้าประจบสอพลอ พร้อมกับพยายามประจบประแจง

“ท่านพ่อ ปลาที่พวกเรากำลังตก…”

หวังเป่าเล่อหรี่ตา หวนคิดถึงสภาพก่อนหน้าที่เจ้าลาน้อยพุงระเบิด หรือจะมีปลาตัวหนึ่งว่ายวนอยู่ในความมืด ก่อนหน้านี้แอบซ่อนตัวอยู่ แล้วประสงค์ร้ายต่อเขา อีกทั้งยังตามติดมาตลอด…

“ต้องให้ข้าช่วยหรือไม่?” หวังเป่าเล่อพลันเอ่ยถาม

“ท่านพ่อ ท่านดูดกลืนกลิ่นอายความตายที่นี่ให้มากหน่อย เจ้าปลาขยะนั่นข้าคิดว่าคงจะรับไม่ไหวหรอก” อู๋น้อยประหลาดใจปนยินดี รีบเอ่ยปาก

“อียอวว!” เจ้าลาน้อยเองก็สายตาเป็นประกาย มันรีบเห็นด้วย

“หลังตกได้แล้ว พวกเจ้าสองคนแบ่งกันคนสองละส่วน เหลือไว้แปดส่วน ถือเป็นค่าครูของพวกเจ้า!” หวังเป่าเล่อรีบเอ่ยทันทีอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“…” อู๋น้อยและเจ้าลาน้อยนิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าอย่างคับแค้นใจ

หวังเป่าเล่อหรี่ตา คิดว่าตนต้องดูสักหน่อยแล้ว ปลาอะไรช่างใจกล้าขนาดนี้ ถึงกับแอบติดตามตนมาตลอดทาง แล้วยังประสงค์ร้าย ในเวลาเดียวกันเขาก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าก่อนหน้า แม้เส้นไหมสีเขียวเบื้องหน้าตนจะมีมาก แต่พอดูดกลืนเข้าไปกลับไม่ได้มากขนาดนั้น เหตุใดมันจึงหายไปเสียได้ ยามนี้หากคิดให้ถี่ถ้วน…เกรงว่าคงถูกเจ้าปลาตัวนั้นแอบแย่งชิงไปแน่นอน

“กล้ากินการบ่มเพาะของข้า?!” หวังเป่าเล่อถลึงตา ในใจหงุดหงิด แต่เมื่อคิดจะล่อปลาแล้วไม่อาจทำตัวชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นเดินทางต่อภายใต้ท้องฟ้าสีเทาแบบไม่รู้เรื่องราวและดูดกลืนไม่หยุด เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น วังวนขนาดยักษ์ในท้องฟ้าสีเทาค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ทีละอันๆ จนกระทั่งหวังเป่าเล่อกวาดสายตามองอีกก็หาไม่เจอ เขาจึงทำท่าราวกับอิ่มหนำสำราญและคิดอยากดื่มน้ำดับกระหาย อ้าปากกว้างดูดเข้าคราหนึ่ง พริบตานั้นกลิ่นอายแห่งความตายรอบด้านก็พุ่งมาทางเขาด้วยความรวดเร็ว!

……………………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท