“ดอกตูมเล็กยิ่งนัก” สะใภ้หลี่ถิงอธิบายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “จะขึ้นอยู่ในกอหญ้า หากไม่สังเกตก็คงมองไม่เห็น ดอกจะบานในช่วงเดือนสามเดือนสี่ ส่งกลิ่นหอมคล้ายกับดอกกล้วยไม้ทั่วไป ดังนั้นจึงได้ปลูกไว้มากมายที่หน้าลานและหลังเรือน” ขณะที่พูดก็ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากสืออีเหนียง “ไม่ได้ปลูกเพียงแค่ในเรือนของฮูหยินเท่านั้น ที่เรือนของไท่ฮูหยินก็มีเช่นกันเจ้าค่ะ”
ต้นเหตุที่ทำให้สืออีเหนียงอาเจียนไม่หยุดเป็นต้นกล้วยไม้ดินเพียงไม่กี่ต้นที่ปลูกอยู่ในลาน ใครจะไปคิดว่าหลังจากที่สืออีเหนียงตั้งครรภ์แล้วจะอ่อนไหวต่อกลิ่นของดอกกล้วยไม้เป็นพิเศษ!
ต้นไม้ชนิดนี้ปลูกในต้นฤดูใบไม้ผลิ ในตอนนั้นสืออีเหนียงยังไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์
ไท่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่ในใจพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก กำชับสะใภ้หลี่ถิงว่า “กำจัดดอกไม้และพืชพรรณทั้งหมดในเรือน พวกต้นไม้ที่ไม่รู้จักเหล่านั้นต่อไปก็ไม่ต้องปลูกอีก”
สะใภ้หลี่ถิงถอยออกมาด้วยความหวาดกลัว เอ่ยขอร้องลี่ว์อวิ๋นที่มาส่งนางว่า “แม่นาง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพบต้นกล้วยไม้ดินพวกนี้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการถอนต้นกล้วยไม้ดินนี้ให้หมด ตอนนี้ก็ช่วงบ่ายแล้ว หากอาศัยเพียงบรรดาหญิงเฒ่าอย่างพวกเราไม่กี่คนในเรือนหน่วนฝัง วันนี้คงทำไม่เสร็จอย่างแน่นอน ขอร้องแม่นางให้ข้ายืมคนได้หรือไม่” พูดพลางย่อเข่าคำนับลี่ว์อวิ๋น “บุญคุณของแม่นาง รอข้าทำเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้วจะตอบแทน”
“ดูสะใภ้หลี่ถิงพูดเข้า” ลี่ว์อวิ๋นยิ้มแล้วพูดว่า “ทุกคนต่างก็ทำเพื่อฮูหยิน มาพูดถึงบุญคุณอะไรกัน ก็เพียงแค่เรื่องขอสาวใช้เท่านั้น ต้องรอให้พี่หู่พั่วเป็นคนเลือก สะใภ้หลี่ถิงรอก่อน ข้าจะไปถามพี่หู่พั่วประเดี๋ยวนี้” พูดจบกำลังจะหันหลังเดินไป ผ้าม่านประตูห้องโถงก็ถูกเปิดออก อวี้ป่านเดินออกมา
“พี่ลี่ว์อวิ๋น ไท่ฮูหยินถามว่าใครเป็นคนพบต้นกล้วยไม้ดิน ให้เข้าไปพบ”
ลี่ว์อวิ๋นยิ้มพลางรับคำ หันไปทางสาวใช้สองสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ “ซวงจู”
สาวใช้น้อยอายุประมาณเจ็ดแปดปีวิ่งเข้ามาหา
ลี่ว์อวิ๋นชี้ไปที่อวี้ป่าน “นี่คืออวี้ป่าน สาวใช้ข้างกายไท่ฮูหยิน ได้รับคำสั่งจากไท่ฮูหยินให้เรียกเจ้าไปเข้าพบ”
สาวใช้น้อยที่ชื่อว่าซวงจูเดินเข้าไปด้วยความขวยเขิน
ไท่ฮูหยินเห็นว่าสาวใช้น้อยผู้นี้ดูท่าทางสะอาดสะอ้าน ร่างกายผอมบาง แต่แววตากลับดูมีไหวพริบ ยิ้มพลางจับมือนางแล้วยัดลูกกวาดใส่มือให้สองสามเม็ด พูดคุยกับนางอย่างสนิทสนม ถามนางว่าชื่ออะไร อายุเท่าไร บิดามารดาทำงานอะไร เข้าจวนมาตอนไหน ตอนแรกเริ่มทำงานที่ใด…
แม้ว่าซวงจูจะตื่นเต้น แต่กลับตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว
จึงได้รู้ว่านางเป็นเด็กสาวที่เกิดจากบ่าวในเรือนของตัวเอง ยามนี้บิดากับมารดาทำงานอยู่ในหมู่บ้าน พ่อบ้านไป๋เป็นคนแนะนำให้เข้ามาในจวน ไท่ฮูหยินประหลาดใจเล็กน้อย ถามนางด้วยความใคร่รู้ว่า “เหตุใดเจ้าถึงรู้จักต้นกล้วยไม้ดินนี้”
ซวงจูตอบว่า “อยู่ที่หมู่บ้านข้ามักจะตัดหญ้ามาให้อาหารหมู จึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ต้นหญ้าทั่วไปเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วหันไปพูดกับสืออีเหนียง “เจ้าเด็กคนนี้ ถึงแม้ว่าจะซุกซนแต่ก็นับว่ามีวาสนา เจ้าว่าทั้งจวนของพวกเราจะมีสาวใช้สักกี่คนที่แยกได้ว่าอะไรคือต้นหญ้า อะไรคือต้นกล้วยไม้ดิน แต่เจ้ากลับได้เจอกับสาวใช้น้อยผู้นี้”
สวีลิ่งอี๋กลับมา เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดก็หัวเราะพลางลูบหัวสืออีเหนียง “เจ้าต้องตั้งครรภ์บุตรสาวอยู่แน่ๆ มิเช่นนั้นจะอ่อนไหวขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!”
สืออีเหนียงเอนกายพิงหมอนอิงอยู่บนเตียงเตา เพียงแค่หันหน้าก็สามารถมองเห็นบรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ที่กำลังนั่งดึงหญ้าผ่านทางกระจกหน้าต่าง
เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าเป็นการระดมคนของไท่ฮูหยินก็หน้าแดงขึ้นมาทันที จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกระอักกระอ่วน หัวไปถามจุนเกอที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “พรุ่งนี้ยังต้องไปที่วัดอีกหรือไม่”
สวีซื่อจุนตอบว่า “อาจารย์บอกว่าไม่ต้องไปก็ได้ แต่ว่าข้าอยากไปขอรับ!”
ความสัมพันธ์แม่ลูกเป็นความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ตัดไม่ขาด
สืออีเหนียงพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ยังต้องตื่นตั้งแต่เช้าอีก!”
สวีซื่อจุนจึงโค้งคำนับแล้วถอยออกไป
พึ่งจะออกจากเรือนของสืออีเหนียงก็มีสาวใช้น้อยวิ่งมาหา “คุณชายน้อยสี่ คุณชายน้อยสี่ ป้าเถาให้ข้ามาถามท่านว่าวันนี้ท่านจะยังไปกราบไหว้ที่โถงเนี่ยนเอินหรือไม่เจ้าค่ะ”
สวีซื่อจุนจำได้ว่าสาวใช้น้อยผู้นี้เป็นคนที่อยู่ข้างกายป้าเถาจึงตอบนางว่า “ข้ากำลังจะไป!”
สาวใช้น้อยเดินนำทางอยู่ด้านหน้าไปยังเรือนที่หยวนเหนียงเคยพำนักอยู่
บนผนังด้านตะวันตกของห้องด้านในได้แขวนรูปวาดของหยวนเหนียงครึ่งตัวในตอนที่หยวนเหนียงยังมีชีวิตอยู่
สวีซื่อจุนเข้าไปคำนับแล้วจุดธูปบูชา ป้าเถาเชิญเขาไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างในห้องรองแล้วรินชาด้วยตัวเอง
“ป้าเถาก็นั่งลงเถิด” สวีซื่อจุนพูดด้วยความเกรงใจ “โชคดีที่มีป้าเถาคอยดูแลเรือนเก่าของท่านแม่”
ป้าเถาไม่ได้นั่งลงแต่กลับยืนอยู่ด้านหน้าสวีซื่อจุน พูดอย่างนอบน้อมว่า “เดิมทีนี่ก็เป็นหน้าที่ของบ่าวอยู่แล้วเจ้าค่ะ” ขณะที่กำลังพูดก็เห็นว่าสวีซื่อจุนน้ำตาคลอเล็กน้อย ลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “คุณชายน้อยสี่โตขึ้นกว่าเมื่อสองเดือนก่อนอีกเจ้าค่ะ” ท่าทางทอดถอนใจ
สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพูดว่า “อาจารย์จ้าวให้ข้าลุกขึ้นมาเดินรอบลานเล็กหลังเรือนทุกวันตอนเช้าสิบรอบ” เขาพูดพลางกระโดดลงจากเตียงนั่งอย่างมีความสุขแล้วกระโดดอยู่ที่เดิมสองสามที
“ป้าเถา ท่านว่าข้าดูแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนหรือไม่”
ป้าเถาคิดว่า หากหยวนเหนียงยังอยู่ เมื่อเห็นสวีซื่อจุนที่เป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่านางจะมีความสุขแค่ไหน เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็น้ำตาคลอ พยักหน้าพลางพูดว่า “แข็งแรงกว่าเดิม แข็งแรงกว่าเดิมมากเจ้าค่ะ!”
สวีซื่อจุนได้ฟังดังนั้นดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เขายิ้มอย่างเด็กที่ไร้เดียงสา เช่นเดียวกันกับหยวนเหนียงในตอนนั้น
ป้าเถาเห็นแล้วก็ตะลึงไปชั่วขณะ ในใจรู้สึกหน่วงขึ้นมา
สวีซื่อจุนพูดคุยกับป้าเถา “ช่วงนี้ป้าเถากำลังทำอะไร ไม่เห็นไปเยี่ยมข้าบ้างเลย”
ป้าเถารีบหยุดความคิดในใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “บ่าวอายุมากแล้ว หลายวันก่อนก็เป็นไข้ กลัวว่าจะทำให้คุณชายน้อยสี่ติดไข้ จึงไม่ได้ไปคาราวะคุณชายน้อยสี่เจ้าค่ะ” ขณะที่พูดก็มีสาวใช้น้อยยกขนมฝูหลิงเข้ามา ป้าเถารับมาวางไว้บนโต๊ะด้านบนเตียงเตา “บ่าวทำเองกับมือเจ้าค่ะ คุณชายน้อยสี่ลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่”
ขนมฝูหลิงมีกลิ่นหอมของเกล็ดน้ำตาลที่โรยอยู่ด้านบนของขนม ด้านในยังมีลูกเกดผสมอยู่ประปราย สวีซื่อจุนยิ้มพลางพยักหน้า “อร่อย!”
ป้าเถายิ้มพลางรินชาให้สวีซื่อจุน “ในขนมฝูหลิงมีลูกเกด นี่เป็นสิ่งที่มารดาของท่านคิดขึ้นมา หากคุณชายน้อยสี่คิดว่าอร่อย เช่นนั้นต่อไปบ่าวจะทำให้คุณชายน้อยสี่ทานบ่อยๆ เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าเรียนรู้มาจากมารดาที่เสียไป สวีซื่อจุนก็ทานเพิ่มอีกสองชิ้น
ป้าเถาถามถึงสถานการณ์ที่สวีซื่อจุนไปวัดมา
“เดิมทีเตรียมจะจัดพิธีขอขมากรรมที่ตำหนักรอง แต่เมื่อไต้ซือจี้หนิงเห็นว่าท่านพ่อไปด้วยจึงเปลี่ยนไปจัดที่ตำหนักใหญ่ทางด้านหลังของตำหนักต้าสยงเป่า มีผู้ทำพิธีทั้งหมดยี่สิบแปดคนนำโดยลูกศิษย์คนโตของไต้ซือจี้หนิง นำสวดพระสูตรและพิธีชำระกรรมด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์”
หากท่านพ่อไม่ไป พิธีของท่านแม่ก็จะถูกจัดขึ้นที่ตำหนักรอง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของสวีซื่อจุนก็เผยให้เห็นถึงความผิดหวัง
หากท่านแม่ไม่ป่วยก็คงจะดี...
ป้าเถาได้ยินดังนั้นแววตาก็เผยให้เห็นถึงความเกลียดชังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจพูดขึ้นเบาๆ “หากจัดในเรือนก็คงไม่มีคนทำพิธีเพียงแค่ยี่สิบแปดคน อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีสักสามสิบห้าคน!”
สวีซื่อจุนส่ายหน้า “แต่อาจารย์จ้าวบอกว่า ไท่ฮูหยินยังอยู่ จำนวนคนที่มาสวดพิธีไม่ควรเกินสามสิบห้าคน”
“ดังนั้นจัดพิธีในเรือนจึงดีที่สุดเจ้าค่ะ!” ป้าเถายิ้มแล้วพูดว่า “ในเรือนตัวเองไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันเช่นนี้ ให้คนมาสวดสามสิบห้าคนก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” พูดพลางถอนหายใจ “โชคดีที่ท่านโหวไปด้วย มิเช่นนั้นก็คงไม่เปลี่ยนไปจัดที่ตำหนักใหญ่ทางด้านหลังของตำหนักต้าสยงเป่า คงเป็นเพราะคุณหนูใหญ่ของพวกเราโชคไม่ดี มาเจอช่วงที่ฮูหยินสี่ไม่สบายพอดี มิเช่นนั้นไท่ฮูหยินก็คงไม่ตัดสินใจทำพิธีที่วัดฉือหยวน วันครบรอบวันจากไปของคุณหนูใหญ่ก็คงไม่เงียบเหงาเช่นนี้กระมัง”
สวีซื่อจุนได้ฟังก็เอ่ยปลอบป้าเถาว่า “แต่ว่าปีนี้ก็พิเศษหน่อย เพราะปีที่ผ่านมาจัดแต่ในเรือน!”
เมื่อป้าเถาเห็นว่าเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็ยิ่งเป็นกังวล คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาว่า “คุณชายน้อยสี่เจ้าคะ ทำไมบ่าวได้ยินมาว่าเป็นเพราะฮูหยินสี่ไปได้กลิ่นดอกไม้อะไรบางอย่างทำให้อาการไม่ดี” แล้วพูดต่อว่า “จะว่าไปแล้วฮูหยินสี่ของพวกเราก็เป็นคนอ่อนโยน ไม่เพียงแค่ชอบดอกดารารัตน์ ซ้ำยังมักจะให้สะใภ้หลี่ถิงผู้นั้นปลูกต้นไม้ที่หายากตามความต้องการของนาง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ดูแค่เรื่องดอกพุดซ้อน นั่นเป็นดอกไม้ทางตอนใต้ ทางตอนเหนือไม่สามารถปลูกได้ง่ายๆ นางกลับควักเงินให้สะใภ้หลี่ถิง บังคับให้สะใภ้หลี่ถิงปลูกให้ได้ แล้วยังส่งให้คนโน้นคนนี้ไปทั่ว ทำเอาทุกคนต่างก็อิจฉาเรือนหน่วนฝังของพวกเรา บอกว่ามีฝีมือเก่งกว่าเรือนดอกไม้เฝิงไถของในวังในเสียอีก เกรงว่านางจะมีชื่อเสียงไปแล้ว บ่าวได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกกังวลยิ่งนัก กลัวว่าในวังจะตำหนิท่านโหวด้วยเหตุนี้เจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินบอกสวีซื่อจุนอยู่เสมอว่าทำอะไรให้ถ่อมตน อย่าได้ยโสโอหัง เมื่อยินคำพูดของป้าเถา ก็รู้สึกว่าคล้ายคลึงกับสิ่งที่ไท่ฮูหยินพร่ำสั่งสอนอยู่บ้าง จึงพูดอย่างจริงจังว่า “ป้าเถาอย่าได้เป็นกังวลเลย เรื่องนี้ข้าจะบอกกับท่านแม่เป็นการส่วนตัว เมื่อท่านแม่รู้แล้วก็จะไม่ส่งดอกไม้ให้ใครไปทั่วอีกอย่างแน่นอน” ขณะที่พูด ในหัวกลับคิดถึงท่าทางตกใจของสืออีเหนียง จากนั้นก็จะแสดงท่าทางยินดีและขอบคุณที่เขาคอยช่วยเตือน…ในใจของเขาพลันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ป้าเถารู้สึกประหลาดใจที่สวีซื่อจุนไม่ได้หวาดระแวงสืออีเหนียงแม้แต่น้อย จึงพูดพึมพำว่า “ฮูหยินสี่เป็นผู้อาวุโส คุณชายน้อยสี่จะพูดอะไรก็ต้องระมัดระวัง มิเช่นนั้นท่านโหวจะคิดว่าคุณชายน้อยสี่ขาดความเคารพต่อฮูหยินสี่ บ่าวว่าหากท่านจะเตือนฮูหยินสี่ ไม่สู้ไปบอกป้าตู้จะดีกว่า เช่นนี้เมื่อมีคนกลางฮูหยินสี่ก็จะได้ไม่เสียหน้าเจ้าค่ะ”
สวีซื่อจุนแอบรู้สึกว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “หากทำเช่นนี้ท่านย่าก็จะรู้ไม่ใช่หรือ!”
“ท่านคงยังไม่รู้อะไร” ป้าเถายิ้มแล้วพูดว่า “ป้าตู้เป็นสาวใช้ข้างกายไท่ฮูหยินที่มีอำนาจมากที่สุด นางสามารถพิจารณาได้ว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด มิเช่นนั้นไม่ว่าเรื่องอันใดก็คงถึงหูไท่ฮูหยินหมดแล้ว หากเป็นเรื่องดีก็ไม่เป็นไร หากเป็นเรื่องไม่ดี ไท่ฮูหยินก็คงจะรู้สึกรำคาญไปนานแล้ว”
เมื่อบรรดาบ่าวรับใช้ได้ยินเรื่องอะไรก็มักจะคำนึงถึงหลักการ ‘รายงานแต่เรื่องดี ไม่รายงานเรื่องร้าย’ เรื่องนี้สวีซื่อจุนนั้นรู้ดี
สวีซื่อจุนพยักหน้าเล็กน้อย
ในตาของป้าเถาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม พูดเสริมขึ้นมาว่า “คนที่ชอบต้นไม้และดอกไม้เกือบจะทำร้ายตัวเองด้วยต้นไม้และดอกไม้ ตรรกะบิดเบี้ยวเช่นนี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ว่ายน้ำเป็นแต่จมน้ำเจ้าค่ะ!”
******
“ไปหาป้าเถาหรือ!” สืออีเหนียงนั่งพิงหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน “รู้หรือไม่ว่าคุยอะไรกัน”
เยี่ยนหรงส่ายหน้าเบาๆ พูดขึ้นมาว่า “ตอนนั้นบ่าวรับใช้ในห้องถูกไล่ออกมาจนหมด แต่ว่าตอนที่คุณชายน้อยสี่เข้าไปยังอารมณ์ดีอยู่ แต่พอออกมาสีหน้ากลับดูกังวลเป็นอย่างมาก พอกลับไปทานข้าวได้เพียงไม่กี่คำก็บอกว่าอิ่มแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย พูดพึมพำว่า “ดูท่าแล้วเกรงว่าคงจะต้องไปคุยกับอาจารย์จ้าวแล้ว!”
เยี่ยนหรงได้ยินดังนั้นก็พูดเสียงเบาว่า “ฮูหยิน บ่าวว่าหาข้ออ้างส่งป้าเถากลับไปอยู่ข้างกายบุตรชายของนางดีหรือไม่เจ้าคะ…”
“เจ้าว่าควรจะหาข้ออ้างอะไรดี” สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็มองไปที่เยี่ยนหรง
เยี่ยนหรงรู้สึกลำบากใจอยู่ครู่หนึ่ง พูดพึมพำว่า “ตอนนี้นางนอกจากจะไปคารวะคุณชายน้อยสี่แล้วก็ไม่ได้ไปที่ไหนอีก…ตอนนี้ท่านก็กำลังตั้งครรภ์ เกรงว่าจะเป็นเป้าหมายของคนที่จับตามองอยู่ จะคิดว่าท่านหยิ่งทะนงตนเมื่อมีบุตร ไม่เห็นหัวของคนผู้น้อยอยู่ในสายตา…”