เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดฝีเท้า นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งว่า ”ข้าต้องการให้ท่านช่วย”
“เรื่องอะไร” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังดูห่างเหินและเย็นชายิ่งกว่าปกติ
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่าคำขอนี้ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดกับเขา แต่นางก็ไม่มีทางเลือกอื่น ”เฮยเจ๋อถูกหาว่าเป็นฆาตกร และเห็นได้ชัดว่าจือฝู่คนนั้นพยายามที่จะใส่ร้ายเขา มันจะต้องมีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเขาอย่างแน่นอน และถ้าไม่มีผู้มีอำนาจสักคนทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงฐานะของตัวเองละก็ ไม่รู้ว่าต่อไปเขาจะทำอะไรอีก”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขาหยุดทำในสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ แล้วหันไปมองหน้านาง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้ถึงคลื่นแห่งความรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้าใส่ตัวในขณะที่นางนึกขึ้นมาได้ว่าเขาเคยเตือนให้นางอยู่ห่างจากเฮยเจ๋อมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ”ข้ารู้ว่าการขอให้ท่านเข้ามาแทรกแซงเรื่องของสำนักไท่ไป๋นั้นเป็นคำขอที่มากเกินไป แต่ข้าทนอยู่เฉยและมองดูคนที่ไร้ความผิดถูกโยนเข้าคุกไม่ได้หรอก เฮยเจ๋อไม่ใช่ฆาตกร…”
“นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าขอความช่วยเหลือจากข้า” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ดังก้องไปทั่วห้องนั้นเย็นชืดราวกับสุรา ”แต่มันกลับเป็นเรื่องของผู้ชายคนอื่น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นมองเขา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงทำหน้าตาเฉยชาไม่แยแส บนร่างของเขามีเสื้อคลุมที่ได้รับการทอขึ้นอย่างประณีตคลุมเอาไว้ เสื้อตัวนั้นยาวลงไปจรดอยู่ที่ข้อเท้าของเขาอย่างพอดิบพอดี เขาเอียงศีรษะไปข้างหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นยากจะเข้าใจได้
ชายหนุ่มกับอำนาจอันยิ่งใหญ่ในใต้หล้าของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อาจเป็นเพราะดวงตาที่ดูไม่เป็นมิตรคู่นั้น ในนั้นไม่มีแม้กระทั่งเงาสะท้อนของท้องฟ้าปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว… หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยบีบรัดเมื่อคิดเช่นนั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวตนของเขากำลังทำให้นางหายใจไม่ออก แม้กระทั่งอากาศที่อยู่รอบตัวของพวกนางก็พลอยตึงเครียดขึ้นด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงลุกขึ้น แล้วก้าวเท้าเข้ามาหานางทีละก้าว ใบหน้าหล่อเหลาเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของเขายังคงสมบูรณ์แบบราวกับรูปแกะสลักน้ำแข็ง มันน่าหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง ”แล้วข้าจะได้อะไรจากการช่วยเจ้าหรือ”
“บัลลังก์” เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องเข้าไปในดวงตาดำขลับของเขา ”ข้าจะทุ่มเททุกอย่างที่ข้ามีเพื่อช่วยให้ท่านได้มันมา”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ แต่สีหน้าของเขากลับทำให้คนเห็นเสียวสันหลังวาบ ”เจ้าคิดว่าถ้าข้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า แล้วข้าจะไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ด้วยกำลังของตัวเองหรือ หรือเจ้าต้องการสื่อว่าไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องเอามันมาเป็นของตัวเองให้ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบ นางรู้ดีว่าต่อให้ไม่มีนาง ชายที่อยู่ตรงหน้านางก็ยังสามารถเอาบัลลังก์นั้นมาไว้ในมือได้อย่างง่ายดาย ปัญหาเดียวที่คั่นกลางอยู่ระหว่างนั้นคือจังหวะเวลาต่างหาก
“เจ้าจะเข้ามาหาข้าก็ต่อเมื่อเจ้าจำเป็นต้องใช้ข้า แต่พอเจ้าหมดธุระกับข้าแล้ว เจ้าก็จะสลัดข้าทิ้งไป” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินเข้าไปหานางแล้วผลักนางเข้าไปในมุมหนึ่งของห้อง กลิ่นไม้จันทน์ล่องลอยอยู่ในอากาศ ทำให้นางรู้สึกเยือกเย็นไปทั่วทั้งร่าง เขาก้มหน้าลง และถามว่า ”ทำไมถึงมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเจ้าหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระสับกระส่าย นางอยากออกไปจากสถานการณ์นี้ให้เร็วที่สุด นางช้อนตาขึ้นมองเขา ดวงตาของงนางสดใสเป็นประกายยิ่งกว่าที่เคย ”องค์ชายตัดสินใจที่จะช่วยข้าแล้วหรือ”
เมื่อเห็นสีหน้าร้อนใจที่หาได้ยากบนใบหน้าของนาง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผู้โหดเหี้ยมก็พยายามซ่อนรอยยิ้มของตนเอาไว้พลางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า ”เจ้าเป็นห่วงเขาจริงๆ”
เขาผละมือออกจากนางอย่างแรง ทำให้นางเกือบเสียการทรงตัว โชคดีที่นางไม่ใช่คนประเภทเดียวกันกับอวิ๋นปี้ลั่วที่แสร้งทำเป็นอ่อนแอเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ไม่อย่างนั้นความแข็งแกร่งขององค์ชายสามคงพอที่จะโยนนางออกไปไกลกว่าครึ่งค่อนห้องแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยนวดข้อมือที่เจ็บของตัวเองพลางตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด ”ข้าจะช่วยเจ้า แต่มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”
“ได้ทุกอย่าง” คราวนี้นางยอมเป็นหนี้เขา
“ช่างเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมาเสียจริง” เขาว่า นางไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดถึงได้รับคำพูดเช่นนั้นกลับมา เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นความเย็นชารางๆ อยู่ในดวงตาที่จ้องนางอยู่ ”ดูเหมือนเขาจะสำคัญกับเจ้ามาก”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ปฏิเสธ ตอนนี้นางคิดแต่จะช่วยชีวิตของอีกคน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองลึกเข้าไปในดวงตานางอีกครั้งหนึ่ง เสื้อคลุมของเขาสะบัดอยู่เบื้องหลัง ”เงาทมิฬ” เขาเอ่ยเรียก น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นเป็นอย่างมากจนแทบจะฟังดูเหมือนเย็นชา
“พร้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬพุ่งตัวผ่านยอดไม้ ก่อนลงมานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นตรงหน้าองค์ชายสาม
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยิบป้ายแผ่นหนึ่งออกมา แล้วออกคำสั่ง ”ไปหาจือฝู่คนนั้นแล้วแสดงให้เขาดู นี่เป็นคำเตือนไม่ให้เขาจับผู้บริสุทธิ์มาชดใช้ความผิดแทนผู้อื่นอีก หากมันเกิดขึ้นอีกละก็ ข้าจะริบตำแหน่งของเขาคืนมาซะ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เงาทมิฬรับคำสั่งแล้วลุกขึ้นทันที เขาเหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนจะออกไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าเงาทมิฬกำลังโทษว่าเรื่องนี้ล้วนแต่เป็นความผิดของนาง สายตาของเขาบอกเช่นนั้น
นางเองก็รู้ว่าคำขอของตนในครั้งนี้ออกจะเกินเหตุไปเสียหน่อย
มิหนำซ้ำการตัดสินใจนี้อาจจะก่อปัญหาให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เป็นได้
ในตอนแรกนั้นนางเพียงแค่รู้สึกร้อนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และเพียงแค่อยากจะเสี่ยงโชคของตนด้วยการขอร้องเขาเท่านั้น
แต่นางไม่คิดเลยว่าเขาจะยอมช่วยจริงๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า ”ในอนาคต หากองค์ชายต้องการความช่วยเหลือจากข้า ต่อให้บุกน้ำลุยไฟก็จะไปช่วยท่านให้ได้”
“เจ้าไม่ต้องบุกน้ำลุยไฟหรอก แค่มาร่วมเตียงกับข้าก็พอ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด พร้อมกับถอดเสื้อตัวนอกของตนแล้วโยนทิ้งไปข้างๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยถึงกับสำลักคำพูดของตัวเอง
องค์ชายเจ็ดตัวน้อยที่กำลังลากอสูรเลื้อยคลานเดินเข้ามาเห็นภาพนี้เข้าพอดี และเห็นได้ชัดว่านั่นทำให้พี่สามของเขาดูจะไม่พอใจเล็กน้อย
โอ้
ไม่ได้การล่ะ… เขาแอบกลับออกไปอย่างเงียบๆ ดีกว่า
แต่องค์ชายเจ็ดตัวน้อยก็ไม่อาจกลับไปได้ และเขาฉลาดพอที่จะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าคืออะไร
ปัญหาเพียงอย่างเดียวที่มีก็คือเขาคิดไม่ออกว่าจะซ่อนสัตว์อสูรตัวใหญ่ที่เขาลากมานี่ที่ไหนดี
หึๆ… คิดจะหนีหรือ ฝันไปเถอะ!
สายตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับจ้องไปยังเด็กชายที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เขาเลิกคิ้วขึ้นขณะเอ่ยเรียกอีกฝ่าย ”มานี่สิ”
เด็กชายตัวน้อยตัวสั่นเพราะเสียงนั้น เขาลากเท้าเล็กๆ ของตนเข้าไปหาอีกฝ่าย ในใจของเขายังมีความคิดที่จะแบ่งปันสิ่งที่เขาล่ามาได้กับผู้เป็นพี่ ”พี่สาม ข้าจับอสูรเลื้อยคลานมาเป็นอาหารเที่ยงให้ท่านขอรับ”
แต่น่าเศร้าที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้มีรสนิยมการกินแบบเดียวกับเขา ”ข้าคิดว่าเจ้าควรจะอยู่ที่วังหลวงเสียอีก เจ้ารู้หรือไม่ว่าในเวลานี้ที่สำนักวุ่นวายกันมากเพียงใด”
“ข้า…” เด็กชายลูบศีรษะโล้นของตัวเองอย่างรู้สึกผิด จากนั้นเขาก็เห็นพี่สะใภ้สามที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเดินเข้าไปแล้วย่อตัวลงข้างๆ นางในมุมนั้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็มองไปที่เสด็จพี่ของตนด้วยดวงตาราวกับลูกสุนัขตัวน้อย หวังว่ามันจะใช้ได้ผลกับเขา แต่น่าเสียดายที่ความรู้สึกใดๆ ก็ไม่สามารถทำให้องค์ชายไขว้เขวได้ ใบหน้าของเขาทั้งเย็นชาและห่างเหินในขณะที่เขายกชาในมือขึ้นจิบ พร้อมกับพลิกหน้ากระดาษของหนังสือโบราณไปมาด้วยท่าทางเฉื่อยชา เขาดูน่ามองเป็นอย่างยิ่ง
บางครั้งเขาก็จะละมือจากสิ่งที่ทำแล้วเหลือบตามองคนทั้งสองที่อยู่ในมุมนั้นบ้าง ทำให้ทั้งสองต้องยืนตัวตรงด้วยความระมัดระวัง แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ก็ยังถูกจำกัดเอาไว้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยละสายตาออกอย่างเย็นชา
เจ้าเจ็ดถอนหายใจออกมาอย่างแรง หัวใจของเขาเต้นดังจนแทบจะกระเด็นออกมาจากอกในขณะที่คิดอย่างโมโหตัวเองว่า ถ้าเขาอยากอ่านหนังสือ เช่นนั้นก็ตั้งใจอ่านไปสิ ทำไมต้องมาจับตาดูพวกเขาด้วย มันทำให้เขากลัวจนแทบหายใจไม่ออกแน่ะ! พี่สามช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นทำให้นางจำเป็นต้องระวังตัวแม้กระทั่งตอนที่เขาจิบชาเพราะกลัวว่าเขาคิดที่จะลงมือกับพวกนางเข้า…