เฉินตันจูรู้สึกตนเองควรพูดบางสิ่ง หรือแสดงสีหน้าบางอย่าง หวาดกลัว ตกตะลึง เหลือเชื่อ ประหลาดใจ
แต่อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ขององค์ชายสาม หรือความรู้สึกประหลาดก่อนหน้านี้ เวลานี้นางรู้สึกปล่อยวางอย่างประหลาด ทุกสิ่งจบสิ้นลงรู้สึกสงบอย่างมาก
เฉินตันจูมีความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา องค์ชายที่เด็กที่สุดคนนี้ถูกขังไว้ไม่ได้เป็นเพราะเขาป่วย หากแต่เป็นเพราะอันตรายที่สุด
ฉู่อวี๋หยงมองสีหน้าตกตะลึงของหญิงสาว รู้ว่านางได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจ เขาไม่คิดจะปิดบังนาง แสร้งเป็นองค์ชายหกที่อ่อนแอน่าสงสาร เขาไม่ปลอมเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กอีก เพียงเพราะต้องการให้นางรู้จักตนเอง ตัวตนที่แท้จริงของตนเอง
“หลบอยู่ตรงนี้คงหลบไม่พ้น” เขาพูด ไม่อธิบายแต่อย่างใด ราวกับมันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องอธิบาย เพียงแต่พูดต่อจากเรื่องก่อนหน้านี้ “ไม่ต้องให้องค์รัชทายาทจัดฉาก พระสนมทั้งสองรับสั่ง เจ้าก็ไม่อาจหลบได้”
เฉินตันจูตอบรับ เหลือบมองฉู่อวี๋หยง พูดเรื่องนี้หรือ เอาเถิด พูดต่อเถิด
นางพยายามเรียกคืนสติที่เหม่อลอยกลับมา “ใช่ เกรงว่าหม่อมฉันคงไม่อาจไม่รับถุงแห่งโชคนี้ได้”
ในเมื่อองค์รัชทายาทเปลืองแรงจัดฉากแล้ว ถุงแห่งโชคนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตกอยู่ในมือนาง หรือถูกท่านอ๋องฉีขัดขวางเมื่อมันกำลังจะตกถึงมือนาง ท่านอ๋องฉีอาจแย่งชิงต่อหน้าผู้คน ไม่ให้นางหยิบถุงแห่งโชคใบนี้ ทำให้พระสนมสวีโกรธ ทำให้ทุกคนตกตะลึง จากนั้นฮ่องเต้รู้เรื่อง…
ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามการจัดฉากขององค์รัชทายาท
ควรทำอย่างไร
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “ง่ายมาก”
เฉินตันจูมองไปทางเขา อ้าปาก น้ำเสียงลังเลเล็กน้อย “ทำอย่างไรเพคะ”
ความลังเลนี้ไม่ได้กลัวเขา หากแต่เป็นการทำตัวไม่ถูกเนื่องจากความไม่คุ้นชิน ถึงแม้จะทำตัวไม่ถูก แต่นางยังคงเชื่อมั่นเขา ฉู่อวี๋หยงยิ้มเล็กน้อย “ในเมื่อองค์รัชทายาทมั่นใจว่าท่านอ๋องฉีจะยอมออกหน้าแทนเจ้า ก่อให้เกิดการพังทลายงานคัดเลือกพระชายาเพียงเพราะท่านอ๋องฉีผู้เดียว แต่หากไม่ใช่ท่านอ๋องฉีผู้เดียวเล่า?”
เฉินตันจูมองเขา กะพริบตา
ฉู่อวี๋หยงโน้มตัวเข้าใกล้นางเล็กน้อย พูดเสียงเบา “ลากคนลงสนามมากขึ้นก็พอ”
ลากคนลงสนามมากขึ้น เฉินตันจูกะพริบตามองเขาต่อ
ความตกตะลึงที่นางมีให้มาอย่างกะทันหันเกินไป ฉู่อวี๋หยงไม่เคยเห็นนางในท่าทีเช่นนี้มาก่อน นางในวันปกติล้วนฉลาดเฉลียว บทจะร้องไห้ก็ร้องไห้ บทจะหัวเราะก็หัวเราะ คล่องแคล่วราวกับกวางน้อย
มีเพียงพบหน้ากันครั้งแรก นางสังหารหลี่เหลียงแล้ววิ่งมาพบแม่ทัพหน้ากากเหล็ก จากนั้นแม่ทัพหน้ากากเหล็กรับปากสิ่งที่นางขอถึงจะปรากฏท่าทีตกตะลึงเช่นนี้ อาจเป็นเพราะเรื่องที่กังวลถูกแก้ไขได้อย่างประหลาดใจ
เวลานั้นด้านนอกมีเสียงนกร้องดังขึ้นอีก
ดวงตาของเฉินตันจูขยับขึ้นมา เงยหน้าถาม “นกน้อยพูดเรื่องใดอีก”
ฉู่อวี๋หยงยื่นมือทำท่าเงียบเสียงต่อนาง ตั้งใจฟัง จากนั้นพูดด้วยความละอาย “ไม่รู้ ข้าฟังเสียงนกร้องไม่เข้าใจ”
เฉินตันจูผงะ ก่อนจะยิ้มออกมา ยิ่งยิ้มยิ่งรู้สึกขบขัน แทบจะส่งเสียงหัวเราะออกมา นางรีบเอื้อมมือปิดปาก รอยยิ้มออกมาจากดวงตา สลายความกังวลที่มีก่อนหน้า…
มองหญิงสาวที่หัวเราะอย่างดีใจ ภายในดวงตาของฉู่อวี๋หยงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นมีเสียงนกร้องดังขึ้นอีก เขาฟังอยู่สักพัก สีหน้าผงะไป
เฉินตันจูจับได้ทันที มีเรื่องที่ทำให้เขาตกตะลึงได้ด้วย นางคิดว่าเขาเป็นเทพที่ทำได้ทุกอย่างเสียอีก จึงรีบถามอย่างดีใจ “เกิดอันใดขึ้นเพคะ”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม พูดเสียงเบา “องค์รัชทายาทขอถุงแห่งโชคจากอาจารย์ฮุ้ยจื้อให้ข้าหนึ่งใบ คราวเดียวระลึกถึงพี่น้องสองคนนั้นเสแสร้งอย่างมาก ไม่เหมือนการกระทำขององค์รัชทายาท”
เฉินตันจูก็ยิ้ม “เรื่องนี้หม่อมฉันรู้ คงไม่ใช่การกระทำขององค์รัชทายาท แต่เป็นการกระทำของอาจารย์ฮุ้ยจื้อ”
จะว่าไป ครานี้องค์รัชทายาทช้าไปหนึ่งก้าว นางได้สนทนากับอาจารย์ฮุ้ยจื้อล่วงหน้าแล้ว…ส่วนอาจารย์ฮุ้ยจื้อจะฟังหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่นางตัดสินใจได้
ดูจากเวลานี้ เมื่อเผชิญกับคำขอขององค์รัชทายาท อาจารย์ฮุ้ยจื้อมีความระวังมากขึ้น ดึงองค์ชายหกเข้ามาด้วย
ฉู่อวี๋หยงกับอาจารย์ฮุ้ยจื้อไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน แต่เขารู้ว่าตอนนั้น เฉินตันจูเป็นคนเชิญฮ่องเต้เข้าไปในวัดถิงอวิ๋น หลังจากฮ่องเต้ได้พบกับอาจารย์ฮุ้ยจื้อ อาจารย์ฮุ้ยจื้อจึงมีโอกาสพูดคุยกับฮ่องเต้ ถูกสถาปนาเป็นท่านมหาราชครู
เฉินตันจูคงมีปฏิสัมพันธ์กับอาจารย์ฮุ้ยจื้อนับแต่เวลานั้น
หญิงสาวผู้นี้มีความสามารถเพียงใด ใจกล้าฉลาดเฉลียว มักจะฉวยโอกาสได้ก่อน ฉู่อวี๋หยงพยักหน้าอย่างกระจ่าง “ที่แท้เป็นเพราะความรอบคอบของอาจารย์ฮุ้ยจื้อ”
เฉินตันจูพูดอย่างครุ่นคิด “บางที เรื่องอาจไม่ร้ายแรงเหมือนที่พวกเราคิด”
เมื่ออาจารย์ฮุ้ยจื้อได้ฟังคำขอขององค์รัชทายาท หากเขามีสติปัญญา ย่อมคิดได้ว่าถุงแห่งโชคในวันนี้ใช้ทำสิ่งใด ก่อนจะปะติดปะต่อเรื่องที่นางอยู่ตรงนี้ ก่อนจะนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับองค์รัชทายาท…เขาคงจะเดาได้ว่าถุงแห่งโชคที่องค์รัชทายาทขอนั้นจะไม่เป็นประโยชน์ต่อนางใช่หรือไม่
บางทีเห็นแก่ที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวร้าย คงจะมีการลงมือสับเปลี่ยนใช่หรือไม่
บางที…
ฉู่อวี๋หยงพูด “คุณหนูตันจู พวกเราไม่คิดว่าบางที อย่าได้คาดหวังบนตัวของผู้อื่น ทำเรื่องที่พวกเราทำได้ก่อน”
เฉินตันจูตอบรับ “ทำสิ่งใดเพคะ”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “ดึงคนจำนวนมากลงสนาม”
นอกจากองค์ชายหกที่รอบคอบไม่อาจมองทะลุได้ตรงหน้านี้ นางยังดึงผู้ใดได้อีก เฉินตันจูกำลังจะถาม ฉู่อวี๋หยงก็ลุกขึ้นยื่นมือดึงนางขึ้นมา “ตามข้ามา”
เขาโน้มตัวเล็กน้อย ดึงหญิงสาวมุดออกไป
…
เหล่าหญิงสาวรายล้อมอยู่ริมทะเลสาบ แต่ท่านอ๋องหลูยืนอยู่บนศาลาที่สูงสุดริมทะเลสาบ มองจากบนลงล่างยังคงมองไม่ชัด อีกทั้งเนื่องจากท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องฉีอยู่ข้างกายพระสนมเสียนและพระสนมสวีแล้ว บรรดาหญิงสาวที่เดิมทีกระจัดกระจายอยู่ทุกแห่งล้วนมุ่งหน้าไปทางนั้น…
ยืนอยู่ตรงนี้มองเห็นได้น้อยลง
ท่านอ๋องหลูรีบเดินออกจากศาลาลงมา ฉวยโอกาสที่บรรดาหญิงสาวล้วนเดินไปทางนั้น เขาสามารถแสร้งทำเป็นบังเอิญพบหน้า จากนั้นเดินไปพร้อมทุกคน…
ไม่สนใจว่าจะพบหญิงสาวตระกูลที่ต้องการดูหรือไม่ พบผู้ใดได้ก็เป็นผู้นั้น
ศาลานี้สร้างอยู่บนภูเขาจำลอง ท่านอ๋องหลูก้มหน้าเดินอย่างรวดเร็ว เพิ่งลงมากำลังจะเดินอ้อมจากภูเขาจำลองไปยังทะเลสาบ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของหญิงสาว
“เอ๊ะ นี่คือ…ท่านอ๋องหลู”
พบหญิงสาวชนชั้นสูงเร็วเพียงนี้! ท่านอ๋องหลูดีใจ เงยหน้าขึ้น เห็นบนหินด้านหน้าภูเขาจำลองมีหญิงสาวนั่งอยู่ เสื้อผ้างดงาม ใบหน้าสง่างาม ในมือถือพัดเล่มหนึ่ง ปิดอยู่บริเวณมุมปาก หญิงงามปิดครึ่งหน้า สายตาแพรวพราวราวกับน้ำในทะเลสาบ ทำให้คนวิงเวียน
ท่านอ๋องหลูวิงเวียนอย่างมาก ขาของเขาอ่อนแรง ถอยไปพิงอยู่บนภูเขาจำลองด้านหลัง
“คุณ คุณ คุณหนูตันจู” เขาพูดอย่างตะกุกตะกัก “เจ้า เจ้าอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”
เฉินตันจูวางพัดลง พูด “อาจเป็นเพราะวาสนา?”