เมื่อคิดได้เช่นนี้ สายตาของทุกคนที่มองไปทางองค์หญิงอวี้เหอแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
คนเป็นแม่ถูกกักบริเวณ แต่บุตรีเพียงคนเดียว กลับมาออกงานสังคมเนี่ยนะ…
แน่นอนว่าองค์หญิงอวี้เหอย่อมสังเกตเห็นสายตาของทุกคน แม้ดวงหน้าของนางจะเปื้อนยิ้ม แต่มือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนท้องน้อยกลับบีบรัดอย่างแรง!
มั่วเชียนเสวี่ยหาเรื่องนาง! แค่ขนมหวานหนึ่งจานก็พูดถึงฮองเฮาแล้ว! เวลานี้เสด็จแม่ถูกกักบริเวณ นางที่เป็นองค์หญิงไม่เพียงไม่อยู่กับเสด็จแม่ กลับออกมาร่วมงานพิธีปักปิ่น นี่เป็นการป่าวประกาศบอกคนในใต้หล้าว่านางอกตัญญูไม่ใช่หรือ
มั่วเชียนเสวี่ย ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
เมื่อเห็นสีหน้าขององค์หญิงอวี้เหอ มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
คนบางคนก็เป็นเช่นนี้ หากเราไม่โต้กลับ ก็ไม่รู้จักเจ็บปวด! ไม่รู้จักหลาบจำ!
สักหวันหนึ่งองค์หญิงอวี้เหอจะรู้ว่า ระหว่างตนกับนางผู้ใด ‘เหี้ยมโหด’ กว่ากัน
องค์หญิงอวี้เหอพยายามข่มความโมโหของตนเอง บอกกับตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตนไม่จำเป็นต้องโมโห! ประเดี๋ยวคนชั้นต่ำมั่วเชียนเสวี่ยก็ทำเรื่องขายหน้าแล้ว ตอนที่ตระกูลหนิงปฏิเสธนาง นางก็ไม่อาจเหิมเกริมแล้ว!
“คุณหนูมั่วพูดเป็นเล่น เสด็จแม่นานๆ ครั้งกว่าจะออกจากวังหลวง ทั้งยังไม่ชอบออกมาเที่ยวเตร่ ยิ่งไปกว่านั้น แค่พิธีปักปิ่นเล็กๆ ของหญิงสามัญชน ก็ไม่มีค่าถึงขั้นให้เสด็จแม่ออกมาไม่ใช่หรือ”
ความหมายของนางคือ พิธีปักปิ่นของมั่วเชียนเสวี่ย ฮองเฮาไม่เคยปรายตามองมาก่อน!
มั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ก็จริงเพคะ! ฮองเฮาของเราสูงส่ง หากเสด็จออกมาแล้วเป็นอะไรขึ้นมา คงจะถูกลงโทษสถานหนัก”
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยพูดจบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก! นี่เป็นการสาปให้เกิดเรื่องขึ้นกับฮองเฮา! ผู้ใดจะกล้าพูดต่อ
องค์หญิงอวี้เหอขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังจะโวยวาย ทว่าเวลานี้ กลับมีสตรีสองคนเดินเข้ามา!
“ปี้หรุ่ยน้อมคำนับท่านพี่เจ้าค่ะ”
“ปี้หรงน้อมคำนับท่านพี่เจ้าค่ะ”
ทั้งสองเดินเข้ามาในโถงหลัก ย่อตัวลงคำนับมั่วเชียนเสวี่ย ทำความเคารพอย่างเต็มพิธี
มั่วเชียนเสวี่ยมองทั้งสองคนที่ไม่รู้ว่าผุดมาจากที่ใด หัวเราะโดยไม่มีเสียง…สองคนนี้ไม่แทนตัวเองว่าพี่ว่าน้องแล้ว ทั้งที่คนหนึ่งอายุมากกว่านาง แต่ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย กลับเรียกนางว่าพี่ทั้งคู่ พวกนางอยากจะประกาศอะไร
ไม่สิ! เมื่อครู่องครักษ์ลับรายงานว่าพวกนางแต่งกายด้วยเสื้อผ้าผืนบางราวปีกจักจั่นไม่ใช่หรือ เหตุใดเวลาเพียงครู่หนึ่งจึงแต่งกายเรียบร้อยและสง่างามแล้ว
เกรงว่าคงจะสะเทือนใจไม่น้อย!
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “ทั้งสองลุกขึ้นเถอะ วันข้างหน้าอย่าเรียกพี่หรือน้องเลย ฟังแล้วกระอักกระอ่วนยิ่งนัก บอกหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือ ให้เรียกคุณหนูใหญ่” ในเมื่อพวกนางไร้ยางอาย เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติพวกนาง
เลี้ยงทหารพันวัน เพื่อใช้งานเพียงชั่วขณะ หลักการเช่นนี้ก็ควรใช้กับตอนนี้ไม่ใช่หรือ ใช้พวกนางเป็นเครื่องมือสร้างความน่าเกรงขาม ดูสิว่าวันหน้าจะมีใครกล้าเรียกนางว่าพี่พร่ำเพรื่อหรือไม่
มั่วปี้หรงข่มความโกรธเคืองเอาไว้ตั้งแต่แรก! เมื่อได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยพูดเช่นนี้ นางอยากจะโวยวายทันที ทว่ามั่วปี้หรุ่ยกลับรีบหยุดนางไว้ก่อน!
เวลานี้พวกนางยังไม่มีความมั่นใจว่าจะจัดการนางคนชั้นต่ำตรงหน้าได้ ดังนั้นห้ามบุ่มบ่ามเด็ดขาด!
“ท่านพี่…คุณหนูใหญ่พูดถูกแล้วเจ้าค่ะ ปี้หรุ่ยเสียมารยาทเอง!”
ช่างรู้ตัวดีเหลือเกิน มั่วเชียนเสวี่ยไม่ใส่ใจ ให้พวกนางสองคนถอยไปยืนข้างๆ
วันนี้มั่วปี้หรุ่ยและมั่วปี้หรงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะสร้างปัญหาให้มั่วเชียนเสวี่ย เช่นนั้นย่อมไม่มีวันยอมเชื่อฟังมั่วเชียนเสวี่ยง่ายๆ ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยผายมือบอกให้พวกนางถอยไป ทั้งสองก้าวเท้า เดินตรงไปหามั่วเชียนเสวี่ย แล้วนั่งลงข้างๆ นาง…
นั่งข้างมั่วเชียนเสวี่ย หมายความว่าอย่างไร
หากเมื่อครู่เรียกมั่วเชียนเสวี่ยว่าพี่ยังไม่ชัดเจน การกระทำในตอนนี้ถือว่าชัดเจนมากแล้ว
ความเป็นจริง ตอนที่มั่วเชียนเห็นพวกนางสองคนเดินมา นางก็รู้แล้วว่าพวกนางคิดอะไร!
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้หยุดการกระทำของพวกนาง เพราะว่าเวลานี้ต้องการใช้พวกนางเป็นเครื่องมือก็เท่านั้น
พวกนางอยากจะเชิดหน้าชูตามากเพียงใด ประเดี๋ยวก็อับอายขายหน้ามากเท่านั้น
มั่วเชียนเสวี่ยไม่พูดอะไร ถือเป็นการยอมรับพวกนางสองคนพี่น้อง ทำให้คนในโถงใหญ่ต่างมีความคิดไปต่างๆ นานา!
แม้จะไม่ให้เรียกว่าพี่ แต่ว่าเป็นสตรีตระกูลมั่วเหมือนกัน กลับให้เรียกว่าคุณหนู ถือเป็นการแบ่งแยกฐานะอย่างหนึ่ง เกรงว่าจะเป็นกฎที่สร้างขึ้นก่อนเข้าตระกูลกระมัง
ความหมายของคุณหนูใหญ่มั่วคือ…จะพาสตรีทั้งสองคนนี้เข้าตระกูลหนิงหรือ!
“พวกนางสองคนอายุยังน้อยยังไม่รู้ความ ทุกท่านอย่าตำหนิไปเลย ถือว่ามองไม่เห็นก็แล้วกัน”
เห็นทุกคนมองมาด้วยความฉงน มั่วเชียนเสวี่ยเพียงอธิบายสั้นๆ ทว่าคำอธิบายของนางไม่ได้แตกต่างกับไม่อธิบาย!
ทำให้สองพี่น้องตระกูลมั่วโมโหจนเกือบหน้าหงาย!
ไม่รู้ความ? อายุยังน้อย? เป็นการด่าทางอ้อมว่าพวกนางไม่มีสมอง ไม่รู้จักคิดไม่ใช่หรือ
มั่วปี้หรงไม่อาจทนต่อไปได้แล้ว! จ้องมั่วเชียนเสวี่ยตาเขม็ง ตอนที่เห็นมั่วเชียนเสวี่ยหยิบขนมขึ้นมากำลังจะกิน นางพุ่งตัวไปคว้าขนม!
“ในเมื่อคุณหนูใหญ่บอกว่าพวกเราสองคนพี่น้องไม่รู้ความ เช่นนั้นวันนี้ข้าจะทำตัวรู้ความ ได้ยินว่ามีน้องสาวมากมายชิมอาหารให้พี่สาว เช่นนั้นวันนี้ปี้หรงจะชิมขนมนี้ให้คุณหนูใหญ่!”
มั่วปี้หรงหยิบขนมที่แย่งมาจากมือของมั่วเชียนเสวี่ยอย่างได้ใจ นางมีความสุขราวกับแย่งหนิงเซ่าชิงมาได้อย่างไรอย่างนั้น!
หลังจากนั้น ท่ามกลางสายตาของทุกคน นางก็กินขนมนั้นเข้าไป!
หลังจากนั้น ยกจานขนมขึ้นมา ยื่นไปตรงหนามั่วปี้หรุ่ยที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย “พี่ปี้หรุ่ยก็ทานหน่อยสิเจ้าคะ รสชาติไม่เลว”
ทุกคนในงานต่างตกตะลึง!
นี่…นี่เป็นการหยามเกียรติบุตรีท่านกั๋วกงอย่างเห็นได้ชัด! เหิมเกริมเกินไปแล้ว!
เริ่มด้วยร้องเรียกว่าพี่ หลังจากนั้นนั่งลงข้างๆ มั่วเชียนเสวี่ย ตามด้วยช่วยชิมขนม แล้วเอาขนมของมั่วเชียนเสวี่ยให้ผู้อื่นกิน ไม่เห็นมั่วเชียนเสวี่ยอยู่ในสายตา
ดูเหมือนว่า ยังไม่ทันเข้าตระกูล ภรรยาหลวงและอนุภรรยาก็เริ่มบาดหมางกันแล้ว
ทว่า สิ่งที่ทำให้ทุกคนฉงนก็คือ มั่วเชียนเสวี่ยไม่โมโหแม้แต่น้อย มองทั้งสองคนกินขนมของตนด้วยรอยยิ้ม!
ต้องรู้ว่า สำหรับตระกูลขุนนางใหญ่แล้ว ข้าวของของสตรีชั้นสูง นอกเสียจากไม่ต้องการจึงตบรางวัลให้สาวใช้ พวกนางก็โยนทิ้ง จะมีคนมาแย่งของในมือพวกนางเช่นนี้ได้อย่างไร
แม้เหตุผลจะเป็นการลองชิมอาหาร ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
ต้องรู้ว่า การแย่งข้าวของ ถือเป็นการหยามเกียรติ!
เล่าลือกันว่าบุตรีท่านกั๋วกงแข็งแกร่งมากไม่ใช่หรือ แต่เหตุใดวันนี้เมื่อได้พบเจอ…
ท่ามกลางคนเหล่านี้ คนที่โมโหที่สุดคือองค์หญิงอวี้เหอ!
นี่คือขนมที่นางสั่งให้คนยกไปให้มั่วเชียนเสวี่ย! นางเฝ้ารอมานาน รอให้มั่วเชียนเสวี่ยกินขนมลงท้อง! ทว่าคิดไม่ถึง กลับถูกผู้อื่นแย่งกินเช่นนี้!
แย่งกินแล้วจะตายหรือเปล่า