เฉินตันจูติดตามนางในทั้งสี่มายังบริเวณที่พระสนมเสียน พระสนมสวีและบรรดาฮูหยินอยู่ ระหว่างทางไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก เหล่าสตรีชนชั้นสูงที่เที่ยวเล่นอยู่รอบด้านต่างเดินทางมา สายตาจับจ้องไปภายในศาลา ท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องฉีต่างยืนอยู่ข้างกายของพระสนมเสียนและพระสนมสวี พูดคุยด้วยความสง่างาม
ในมือของพระสนมเสียนและพระสนมสวีถือถุงแห่งโชคคนละใบดู ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นางในคนหนึ่งเดินขึ้นหน้าทูลว่าคุณหนูตันจูมาแล้ว
เฉินตันจูไม่ได้เดินขึ้นหน้า อันที่จริงก่อนที่นางในจะเดินเข้าไป สายตาของทุกคนก็มองมาแล้ว พระสนมเสียนและพระสนมสวีย่อมสังเกตเห็น แต่จนกระทั่งนางในทูลรายงานจึงมองมา เฉินตันจูยืนอยู่ที่เดิมถวายบังคมต่อพวกนาง
พระสนมเสียนพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูตันจู มานั่งทางนี้?”
พระสนมสวีพยักหน้าตาม รับสั่งนางในข้างตัว “เชิญองค์หญิงตันจูมานั่ง”
ศาลาไม่ใหญ่นัก นอกจากสตรีผู้มีความชอบจากตระกูลขุนนางแล้ว บรรดาคุณหนูอายุน้อยล้วนยืนอยู่ด้านนอก โชคดีที่ศาลาโล่งโปร่ง ยืนอยู่ด้านนอกก็ไม่กระทบต่อการมองท่านอ๋องทั้งสอง
เฉินตันจูเป็นองค์หญิง เข้ามานั่งก็ไม่ผิดระเบียบ แน่นอน ถึงแม้เฉินตันจูไม่ใช่องค์หญิง นางเข้ามาก็ไม่มีผู้ใดกล้าต่อว่า
เมื่อได้ยินคำพูดของพระสนมสวี พระสนมเสียนมองนางอย่างตกตะลึงเล็กน้อย นางย่อมรู้เรื่องของเฉินตันจูกับท่านอ๋องฉี อีกทั้งรู้ว่าพระสนมสวีเกลียดเฉินตันจูมากเพียงใด นางจงใจให้เฉินตันจูเข้ามานั่ง ทำให้พระสนมสวีแม่ลูกสะอิดสะเอียน…ไม่คิดว่าพระสนมสวีดูไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนแม้แต่นิดเดียว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่ได้แสร้งทำออกมา
เฉินตันจูไม่สนใจว่าพระสนมทั้งสองคิดสิ่งใด อีกทั้งนางย่อมไม่มีทางเข้าไปนั่ง
“ขอบพระทัยเหนียงเหนียง” นางตอบรับด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันอยู่ตรงนี้กับทุกคนดีกว่าเพคะ”
พูดพลางมองไปด้านข้าง หลิวเวยและหลี่เหลียนที่อยู่ด้านหลังสุดของฝูงชนกวักมือให้นาง นางเดินเข้าไปหา
พระสนมเสียนและพระสนมสวีย่อมไม่พูดสิ่งใด ยิ้มพลางดูถุงแห่งโชคในมือต่อ ถามท่านอ๋องด้านข้าง “ยังมีพุทธธรรมที่ท่านมหาราชครูเขียนเอง?”
ท่านอ๋องเยียนและท่านอ๋องฉีตอบรับ บรรดาฮูหยินด้านข้างต่างรีบถาม “เขียนว่าอย่างไร” ถามเสร็จรีบโบกมือทันที “พูดได้หรือไม่ พูดไม่ได้อย่าพูด”
ทางนี้กำลังสนทนาอย่างคึกคัก ทางนั้นเฉินตันจูกับหลี่เหลียนและหลิวเวยก็ยิ้มอย่างดีใจ
“เจ้าไปที่ใดมา” หลิวเวยถามเสียงเบา “ไม่เห็นเจ้าตลอดงาน องค์หญิงยังมาหาเจ้าด้วย”
“ข้าหาสถานที่ที่ไม่มีคนหลบเอาไว้” เฉินตันจูพูดเสียงเบา “องค์หญิงเล่า?”
หลี่เหลียนพูด “องค์หญิงอยู่กับพวกเราสักพัก หาเจ้าไม่เจอ บอกว่าเหนื่อยกลับไปพักผ่อนในตำหนักแล้ว ให้พวกเราไปหานางเมื่อทางนี้เสร็จสิ้น”
เฉินตันจูพยักหน้า ฟังเสียงหัวเราะจากด้านหน้า ไม่รู้ฮูหยินท่านใดพูดอันใด พระสนมเสียน พระสนมสวีรวมทั้งท่านอ๋องทั้งสองต่างหัวเราะขึ้นมา
อีกด้าน ขันทีจิ้นจงนำคนเดินเข้ามา
“ยินดีกับพระสนมเสียน พระสนมสวี” เขาพูดเสียงดัง “สามารถสัมผัสได้ถึงความดีใจของเหนียงเหนียงตั้งแต่ไกล”
พระสนมเสียนและพระสนมสวียิ้มให้เขา บอกให้เขานั่งลงก่อน ขันทีจิ้นจงปฏิเสธ “ฝ่าบาทให้กระหม่อมมามอบ…” พูดพลางหยุดลงด้วยความฉงน “ท่านอ๋องหลูอยู่ที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมสวีพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายเขินอายจนหลบซ่อนตัวหรือ” พูดพลางมองพระสนมเสียนที่อยู่ด้านข้าง “ขี้อายเหมือนท่านพี่เลย”
เป็นท่านอ๋องแล้วยังเขินอายอันใด ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว พระสนมเสียนถูกคำพูดของพระสนมสวีเสียดสีจนยิ้มเก้อ เหลือบมองท่านอ๋องเยียน “เหตุใดเจ้าจึงไม่นำเขา เสด็จพ่อเจ้าบอกเจ้าว่าอย่างไร”
พระสนมสวียิ้มอยู่ด้านข้าง ฝ่าบาทเพียงแค่ให้ท่านอ๋องเยียนเป็นพี่ชาย ไม่มีเงื่อนไขอื่น ไม่ต้องให้เขาทำงาน มีอันใดต้องหยิบออกมาอวดทุกเวลา
ท่านอ๋องเยียนยิ้มเก้อ พูดกับพระสนมเสียนเสียงเบา “น้องสี่ไปเปลี่ยนชุดพ่ะย่ะค่ะ”
ในขณะที่พวกเขากำลังพูด ขันทีจิ้นจงพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องหลูมาแล้ว”
สายตาของทุกคนมองไป เห็นท่านอ๋องหลูนำขันทีคนหนึ่งเดินมาอย่างเร่งรีบจากระยะไกล อีกทั้งยังเดินสะดุดเนื่องจากความรีบร้อน
พระสนมสวีหัวเราะ “ท่านอ๋องหลูใจร้อนเสียจริง”
เจ้าคนที่น่าอับอาย พระสนมเสียนก่นด่าภายในใจ แต่บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดเสียงอ่อน “เจ้าช้าลงหน่อย รีบร้อนอันใดกัน”
ท่านอ๋องหลูเข้ามาใกล้ บนใบหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด สายตาเหม่อลอย ดูเหมือนจะสะดุดล้มอย่างอนาถ ขวัญหนีดีฝ่อ…
“เกิดอันใดขึ้น” พระสนมเสียนถาม มองพินิจเขา ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “เหตุใดจึงเปลี่ยนชุด”
นางเป็นคนเตรียมชุดในวันนี้ด้วยตนเอง ทั้งสง่างามและเหมาะสม แต่เวลานี้บนตัวของท่านอ๋องหลูกลับสวมชุดเก่า ไม่อาจบอกว่าเก่าได้ มันเป็นชุดใหม่ที่ไม่เคยใส่มาก่อน หากแต่ถูกพับเก็บเอาไว้ เหมือนกับว่าเขารีบใส่มากเกินไป ทำให้ไม่สง่างามอย่างมาก
ชุดนี้ขุดออกมาจากตำหนักเก่าของท่านอ๋องหลู
“เสด็จแม่” ท่านอ๋องหลูพูดเสียงเบา “ท้องข้าไม่สบายนัก จึง จึง…”
จึงทำให้เสื้อผ้าเปื้อน? พระสนมเสียนไม่อยากมองเขาอีกแม้แต่น้อย “ไปยืนอยู่ด้านหลังพี่เจ้า อย่าขัดจิ้นจงกงกง”
ท่านอ๋องหลูก้มหน้า ก่อนจะแอบเงยหน้ามองหา ท่ามกลางบรรดาสตรีที่โดดเด่นจำนวนมาก ทันใดนั้นเขามองเห็นเฉินตันจู เฉินตันจูยิ้มหวานให้เขา…
ท่านอ๋องหลูตัวสั่นเทา ใบหน้าขาวซีดยิ่งขึ้น เขารีบยืนอยู่ด้านหลังของท่านอ๋องเยียน
“สีหน้าเจ้าไม่ดีนัก” ท่านอ๋องเยียนถามเสียงเบา “ท้องเสียจริงหรือ”
ที่แท้ไม่ได้ไปแอบดูเหล่าสตรีชนชั้นสูง หากแต่ไปถ่ายท้องจริงๆ ?
ท่านอ๋องหลูย่อมไม่กล้าพูดความจริง ตอบอย่างคลุมเครือ
ทางด้านขันทีจิ้นจงยังคงไม่พูด พระชายาองค์รัชทายาทที่ก่อนหน้านี้ไปต้อนรับแขกหญิง แต่ต่อมาไปไหนไม่รู้ เดินนำนางในเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“ได้ยินว่าฝ่าบาทนำของดีมาให้” นางพูด “ข้าจึงรีบมาดู”
เมื่อเห็นนางมา ก่อนจะฟังคำพูดของนาง บรรดาฮูหยินและคุณหนูต่างแลกเปลี่ยนทางสายตา
“ตันจู” หลิวเวยแนบชิดเฉินตันจู พูดเสียงเบา “เจ้าได้ยินข่าวลือหรือไม่ บอกว่าพระชายา…”
เฉินตันจูทำท่าให้นางเงียบเสียง ขันทีจิ้นจงกำลังจะพูดแล้ว อีกทั้งเรื่องข่าวลือที่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท หลิวเวยไม่ควรพูดต่อหน้าผู้อื่น หากถูกคนจงใจใส่ร้ายจะมีปัญหา…เรื่องข่าวลือ นางรู้แล้ว
นางรู้เจตนาดีของหลิวเวย จับมือของหลิวเวยเอาไว้ พูดเสียงเบา “อย่ากังวล”
หลิวเวยพยักหน้า สูดลมหายใจมองไปทางด้านหน้า
พระชายาองค์รัชทายาทนั่งลงแล้ว ขันทีจิ้นจงเห็นว่าครานี้คนมาครบแล้วจึงไม่รอช้า บอกกล่าวเรื่องที่ท่านมหาราชครูมอบของขวัญเฉลิมฉลองให้เหล่าท่านอ๋องแก่ทุกคน ทุกคนที่ได้ยินต่างชื่นชม ท่ามกลางความชื่นชมก็ตื่นเต้นเล็กน้อย หญิงสาวส่วนใหญ่ล้วนกำมือแน่น ก่อนจะขอพรต่อพระพุทธเจ้าให้ตนเองสมหวังดังปรารถนา
ท่ามกลางบรรยากาศที่ตื่นเต้นนี้ ขันทีจิ้นจงชี้ไปยังกล่องในมือของขันทีตัวน้อย บอกกล่าวถึงจุดประสงค์สำคัญของงานเลี้ยงใหญ่ในวันนี้
“ท่านมหาราชครูให้ทุกคนร่วมฉลองกับเหล่าท่านอ๋อง ในการนี้จึงมอบถุงแห่งโชคหกสิบหกใบ ภายในมีพุทธธรรมซ่อนเอาไว้ ฝ่าบาทให้กระหม่อมนำมาให้พระสนมเสียนมอบต่อให้แขกเหรื่อ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่าแขกเหรื่อที่รู้อยู่ก่อนหรือยังไม่รู้ต่างถวายบังคมขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณอย่างดีใจ
พระสนมเสียนถามนางในว่ามีแขกมากน้อยเพียงใด แขกที่มาย่อมไม่น้อยกว่าหกสิบหกคน
“เอาอย่างนี้” พระสนมเสียนพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไม่ต้อง ให้เด็กๆ เถิด”
ย่อมไม่มีคนคัดค้าน
แต่คนมากมายเช่นนี้จะให้อย่างไร พระสนมสวีพูดด้วยรอยยิ้ม “วางไว้ตรงนี้ ให้เหล่าคุณหนูขึ้นมาเลือกทีละคน ผู้ใดเลือกอันใดได้ก็อันนั้น ดูว่าผู้ใดโชคดี สามารถหยิบใบที่มีพุทธธรรมได้”
พระสนมเสียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เหล่านางในรีบยกผลไม้น้ำชาออก วางกล่องใส่ถุงแห่งโชคลงไป ภายนอกศาลาคึกคักขึ้น บรรดาหญิงสาวหัวเราะเสียงเบา ต่างผลักกันว่าผู้ใดจะไปก่อนไปหลัง…
“พวกเราย่อมเป็นคนหลังสุด” หลี่เหลียนพูดกับหลิวเวย
หลิวเวยดีใจกับการที่จะได้รับถุงแห่งโชคกลับไป “ข้าจะมอบมันให้พี่จางเหยา คุ้มครองให้เขาปลอดภัยราบรื่น”
เฉินตันจูฟังพวกนางพูดด้วยรอยยิ้ม หางตาเหลือบเห็นภายในศาลา เห็นพระสนมเสียนและพระสนมสวีต่างมีนางในยืนอยู่ข้างกล่อง เห็นได้ชัดว่าทั้งสองจัดเตรียมคนเอาไว้ ท่านอ๋องเยียนกับท่านอ๋องหลูพูดเสียงเบา ข้างกายของฉู่ซิวหยงมีขันทีกระซิบ…
ทันใดนั้นฉู่ซิวหยงมองมา ทั้งสองสบตากัน เฉินตันจูไม่ได้หลีกเลี่ยง หากแต่ยิ้มให้เขา
ฉู่ซิวหยงมองนาง เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้มีรอยยิ้ม หากแต่เป็นสายตามืดมนอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
เฉินตันจูตกใจ แย่แล้ว ฉู่ซิวหยงรู้ข่าวลือที่องค์รัชทายาทจงใจปล่อยออกมาแล้ว
นางกำลังจะส่ายหัวให้ฉู่ซิวหยง ฉู่ซิวหยงก็เบนสายตาหนีไปแล้ว
“เสด็จแม่ กระหม่อมอยากจะมอบถุงแห่งโชคเหล่านี้ด้วยตนเอง” เขาพูดพลางเดินขึ้นหน้า เบียดนางในสองคนออก ยืนอยู่ตรงหน้ากล่องที่บรรจุถุงแห่งโชค
พระสนมเสียนและพระสนมสวีมีสีหน้าแข็งทื่อ