ป้าเถาค่อยๆ เดินเข้าไป
สืออีเหนียงนั่งห่มผ้าอยู่บนเตียงเตา ผมสีดำขลับของนางถูกมวยขึ้นอย่างเรียบง่าย สวมเสื้อสีกุหลาบม่วง ยิ่งช่วยขับสีผิวของนางให้ดูสว่างราวกับลูกแก้ว ไม่ได้มีท่าทางไม่สบายเหมือนสตรีมีครรภ์ หันไปมองสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ข้างๆ นาง สวมชุดอยู่เรือนทั่วๆ ไปที่ทำจากผ้าไหมหังโจว แววตาเปล่งประกาย ดูเปล่งปลั่ง บรรดาสาวใช้คนสนิทของสืออีเหนียงก็อยู่ทั้งหมด บางคนก็ปรนนิบัติสืออีเหนียง บางคนก็ดูแลดอกไม้ในห้อง แต่ละคนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มร่าเริง ในห้องดูครึกครื้นเป็นอย่างมาก
ป้าเถาเห็นดังนั้นก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ไม่ได้เห็นบรรยากาศเช่นนี้มาหลายปีแล้ว
เมื่อคิดอย่างละเอียด ดูเหมือนว่าตั้งแต่หยวนเหนียงแต่งงาน ไม่ว่าเรื่องอันใดก็มักจะทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดใจ จึงไม่เคยมีบรรยากาศที่ดูมีชีวิตชีวาเช่นนี้เกิดขึ้น
เมื่อเห็นนางเข้ามา ทุกคนก็พากันพยักหน้าทักทายนาง
ป้าเถายิ้มเล็กน้อย เข้าไปย่อเข่าคำนับสืออีเหนียง “ฮูหยินสี่!”
สืออีเหนียงใช้ความคิดมากมายก็เพียงแค่ต้องการจะให้ตนจากไป การเลือกที่จะไป ไม่เพียงแค่หมายความว่าได้ผิดต่อสิ่งที่หยวนเหนียงสั่งเสียไว้ ซ้ำยังต้องมองดูจุนเกอที่เหมือนกับลูกแกะอยู่ในฝูงหมาป่าและถูกกลั่นแกล้ง เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกันกับปล่อยให้นางตาย หากเลือกที่จะไม่ไป นางก็ต้องเผชิญหน้ากับความอับอายที่ถูกทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกไล่ออกจากจวนหย่งผิงโหว และในขณะเดียวกันก็ต้องทนดูจุนเกอถูกส่งมอบให้กับคนใจร้ายอย่างสืออีเหนียง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะไปหรือไม่ไปก็ไม่ต่างกัน
“ท่านใช้ความคิดมากขนาดนั้นก็เพียงแค่ต้องการให้บ่าวมาลาออกด้วยตัวเองก็เท่านั้น” นางมองสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้ม สีหน้าไม่ได้มีความเสแสร้งแสดงความนอบน้อมเหมือนแต่ก่อน กลับแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘รู้ทั้งรู้ว่าบนเขามีเสือร้าย แต่ยังดื้อจะเดินขึ้นเขา’ “มิเช่นนั้นเมื่อวานนี้ท่านก็คงกระจายข่าวเรื่องที่เถาเฉิงถูกจับกุม จากนั้นก็ส่งป้ารับใช้มาคาดคั้นบ่าว ให้บ่าวต้องออกไป…”
เสียงในห้องได้หยุดลงกะทันหัน ทุกคนต่างมองหน้ากัน บรรยากาศตึงเครียดเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองสืออีเหนียงด้วยความกังวล อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
สืออีเหนียงยิ้มให้เขาพลางบอกเป็นนัยๆ ว่า ‘ข้าไม่เป็นอะไร’
สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบาว่า “ข้าจะไปรออยู่ข้างนอก” จากนั้นก็เปิดม่านแล้วเดินออกไป
ป้าเถียนและคนอื่นๆ จึงได้ทยอยพากันออกไป เหลือเพียงหู่พั่วกับเยี่ยนหรงสองคนคอยปรนนิบัติรับใช้
“ป้าเถาพูดถูกแล้ว!” สืออีเหนียงพิงหมอนอิงสีดำใบใหญ่ด้วยความเกียจคร้าน แววตามองไปที่ป้าเถาอย่างชัดเจน “ข้าเป็นห่วงหน้าตาของสกุลหลัวมาก ดังนั้นเมื่อวานจึงไม่ได้ลงมือเพื่อที่จะเหลือทางออกให้ท่าน”
ก่อนที่ตัวเองจะได้ซักถาม สืออีเหนียงกลับยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ทำให้ป้าเถาแอบรู้สึกกลัวเล็กน้อย นางยืดหลังตรง “แล้วถ้าบ่าวไม่ไปล่ะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางหยิบอิงเถาลูกใหญ่ในจาน “ป้าเถาต้องการจะเจรจาเงื่อนไขกับข้าอย่างนั้นหรือ”
“บ่าวจะกล้าเจรจาเงื่อนไขได้อย่างไร!” ดวงตาของป้าเถาที่มองสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความเย็นชา “เพียงแต่ว่าแม้วิธีการของฮูหยินสี่จะดูฉลาด แต่ว่านกจาบจะรู้ความปรารถนาของหงส์ได้อย่างไร บ่าวก็ไม่ใช่คนประเภทที่คิดถึงแต่ความปลอดภัยของตัวเองแล้วเพิกเฉยต่อความทุกข์ยากของเจ้านาย…”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ
“ความปรารถนาของหงส์ที่ป้าเถาว่านั้นข้าก็ไม่เข้าใจจริงๆ นั่นแหละ” นางพูดตัดบทสนทนาของป้าเถา “แต่ว่าข้านึกขึ้นได้ว่าผู้ดูแลเถายังติดเงินส่วนกลางอยู่สองพันตำลึง แต่ป้าเถากลับไม่แตะของในเรือนพี่หญิงใหญ่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมากจริงๆ”
ป้าเถาได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึง
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “การที่ป้าเถารักษาความตั้งใจของตัวเองได้นั้นก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องยักยอกเงินส่วนกลางก็เป็นเถาเฉิงที่เป็นคนทำ แม้ว่าเขาจะเป็นบุตรชายของท่าน แต่ว่าป้าเถามักจะอยู่แต่ในจวนจึงได้ละเลยเรื่องนี้ไปบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้”
นางพูดพลางมองไปที่ป้าเถาด้วยดวงตาเปล่งประกาย
“ตอนนี้ผู้ดูแลเถามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรม ท่านเป็นมารดาของผู้ดูแลเถา คาดว่าคงจะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของบุตรชายเป็นอย่างมาก ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ช่วงนี้ให้ป้าเถาย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านก่อน ที่ผู้ดูแลเถาติดเงินส่วนกลาง เห็นแก่หน้าป้าเถา ข้าจะช่วยชดใช้ให้ก่อนชั่วคราว ป้าเถาเขียนสัญญาติดหนี้ให้ข้า รอจนพี่ใหญ่กลับมาที่เมืองหลวง พวกเราค่อยปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร หลูหย่งกุ้ยมักจะไปไหนมาไหนอยู่นอกจวน รู้เรื่องราวมากมาย ข้าจะบอกกับเขา ให้เขาพาท่านไปพบผู้ดูแลเถาที่ศาลว่าการ แล้วข้าก็จะไปบอกกับผู้ดูแลจ้าวที่อยู่ฝ่ายรายงานให้ หากพวกท่านมีเรื่องลำบากอะไร ก็สามารถไปขอให้เขาออกหน้าให้ได้ การไปล่วงเกินศาลว่าการนั้นไม่ใช่เรื่องดี เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครเอาเรื่องนี้ไปรายงาน เวลาอยู่ต่อหน้าคนนอกก็ให้บอกว่าผู้ดูแลเถาป่วยหนักจะดีกว่า เห็นแก่ความจงรักภักดีของท่าน ข้าจึงได้ตั้งใจให้ท่านไปดูแลเขาที่หมู่บ้านโดยเฉพาะ จะได้ช่วยเขาจัดการงานต่างๆ ในหมู่บ้านด้วย พอผู้ดูแลเถาออกมาจากคุกแล้วก็จะได้พักผ่อนสักหน่อย ให้จิตใจผ่อนคลาย เมื่อเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว หากซื่อจื่อจะแต่งงานท่านค่อยกลับมา ช่วยเขาเลือกสาวใช้ จะได้ไม่ผิดต่อคำสั่งเสียของพี่หญิงใหญ่”
สืออีเหนียงพูดมาหนึ่งประโยค สีหน้าของป้าเถาก็มืดมนลงไปหนึ่งส่วน พอนางพูดจบ ป้าเถาก็โกรธจนหน้าเขียวไปหมด
น่าประทับใจ เจ้าขุดหลุมให้ข้ากระโดด ข้าไม่เพียงแต่ต้องกระโดดลงไปอย่างเชื่อฟัง พอกระโดดลงไปจนขาหักก็ยังต้องรู้สึกขอบคุณแล้วนำความดีของเจ้าไปป่าวประกาศให้ทั่ว
มีใครที่ไหนที่จงใจเอาเปรียบแต่ปากกลับพูดว่าเห็นใจ!
นางโมโหจนหัวจะระเบิด เลิกคิ้วขึ้นกำลังจะพูดโต้ตอบบางอย่าง แต่กลับได้ยินเสียงของสืออีเหนียงดังขึ้น
“ป้าเถา จะว่าไปแล้วพวกเราก็รู้จักกันมาสองสามปีแล้ว อย่างอื่นข้าไม่กล้าพูดถึง แต่เรื่องความซื่อสัตย์และรักษาสัญญา ข้ายอมรับว่าท่านทำได้ดีมาก แต่มีบางเรื่องที่ท่านควรจะคิดอย่างรอบคอบ” น้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยการเตือน “เมื่อไปที่หมู่บ้านก็จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของเถาเฉิงได้ เมื่อถึงตอนที่ซื่อจื่อแต่งงานท่านก็จะสามารถกลับมาได้อย่างสมเหตุสมผล หากไม่ไปที่หมู่บ้าน เมื่อเถาเฉิงเกิดเรื่องท่านก็จะอับอาย คิดหาทางออกไม่ได้จนถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตาย ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“เจ้า…” ป้าเถาสูดลมหายใจเย็นยะเยือก ใบหน้าประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวซีดเผือด
สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมา “ได้ยินมาว่าพวกคนเก่าๆ ในคุกมักจะรังแกคนที่เข้าไปใหม่ ทั้งมีการทุบตีเพื่อให้สารภาพ เรื่องของผู้ดูแลเถาไม่สามารถล่าช้าได้ ป้าเถารีบกลับไปเก็บของเถิด! จากนั้นก็ไปบอกลาซื่อจื่อ จะได้ไปถึงที่หมู่บ้านก่อนที่ฟ้าจะมืด!”
ป้าเถาโกรธจนตัวสั่นระริก ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ปริปากพูดอะไรอยู่นาน ท่าทางไม่รู้สึกตัว
หู่พั่วกับเยี่ยนหรงส่งสายตาให้กัน พากันเข้าไปพยุงนางซ้ายขวา “ป้าเถาอย่าเสียใจไปเลย ผู้ดูแลเถาเป็นคนมีโชค ไม่เป็นอะไรแน่นอน!” จากนั้นก็พานางออกไป
สืออีเหนียงสูดลมหายใจเขาลึก รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋เดินเข้ามา เห็นสีหน้าของนางดูไม่ค่อยสบายใจมากนักก็ยกมือขึ้นลูบหัวนาง “เหนื่อยหรือ”
สืออีเหนียงส่ายหน้า “เหตุใดการขจัดอคติของคนคนหนึ่งมันถึงได้ยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้” ท่าทางทอดถอนใจเป็นอย่างมาก
“เกิดอะไรขึ้น” สวีลิ่งอี๋นึกถึงป้าเถาที่ถูกลากออกมา โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขนราวกับว่ากำลังปลอบโยนนาง
หรือว่าเป็นเพราะตั้งครรภ์จึงทำให้สืออีเหนียงมักจะรู้สึกว่าไร้เรี่ยวแรง
นางซบอยู่ในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋อย่างอ่อนแรง พูดเสียงเบาบอกกับสวีลิ่งอี๋ว่าป้าเถาคอยประสมโรงอย่างไร จุนเกออ่อนต่อโลกแค่ไหน ตัวเองได้ขอให้หลูหย่งกุ้ยกับหยางฮุยจู่เกลี้ยกล่อมป้าเถาอย่างไร แล้วก็เรื่องที่ให้พ่อบ้านไป๋ไปหาคนของศาลว่าการไปจับตัวเถาเฉิงแล้วมัดไว้ในห้องเก็บฟืนเรือนนอก “…ข้าก็รู้ว่าในแง่ของความจงรักภักดี ป้าเถาจงรักภักดีต่อจุนเกอมากที่สุด แต่นางเป็นคนใจแคบเกินไป เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่สามารถปล่อยไปได้…จุนเกอก็อยู่ในช่วงอายุที่ดูเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ…ไม่สู้ให้นางไปอยู่ที่หมู่บ้านกับบุตรชายสักระยะหนึ่งจะดีกว่า รอให้จุนเกอโตขึ้นอีกสักหน่อย รู้จักแยกแยะถูกผิดแล้วค่อยรับนางกลับมาคอยช่วยดูแลจุนเกอก็ยังไม่สาย…”
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้วในตอนแรก แต่เมื่อได้ยินว่าหลูหย่งกุ้ยกับหยางฮุยจู่ล่อลวงป้าเถา ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย และยามที่ได้ยินว่าเถาเฉิงเพียงแค่ถูกขังไว้ที่ห้องเก็บฟืนเขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “โชคดีที่ป้าเถาที่เป็นเพียงแค่สตรีเรือนใน หากเป็นคนอื่น เพียงแค่ไปสืบที่ศาลว่าการก็คงรู้หมดแล้ว คงไม่ถูกเจ้าหลอกได้ง่ายๆ!”
“หากเป็นคนอื่น แน่นอนว่าไม่สามารถใช้แผนนี้ได้” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “หรือว่าจะต้องให้เถาเฉิงถูกฟ้องร้องเพราะเรื่องของป้าเถาจริงๆ!” ขณะที่พูดนางก็นึกถึงความผูกพันที่จุนเกอมีต่อป้าเถา น้ำเสียงจึงค่อยๆ อ่อนลงเล็กน้อย “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน รอผ่านไปสักสองสามปีเมื่อจุนเกอโตขึ้นแล้ว ปมในใจของป้าเถาก็จะคลายเอง”
เมื่อสวีลิ่งอี๋นึกถึงความดีที่สืออีเหนียงมีต่อเด็กๆ จึงจูบลงไปที่หน้าผากของนางอย่างแผ่วเบา
******
ป้าเถาให้สาวใช้น้อยช่วยนางเก็บข้าวของใส่หีบ ส่วนตัวเองไปยังเรือนซวงฝู
สวีซื่อจุนกำลังเรียนอยู่ เมื่อเห็นว่าป้าเถามาหาสีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“คุณชายน้อย” ป้าเถามองคิ้วของเขาที่โค้งสวยได้รูป รู้สึกว่าจะมองเท่าไรก็ยังไม่พอ นึกถึงตอนนั้นที่นางทำงานภายใต้คำสั่งของหยวนเหนียง ไม่รู้ว่าหลอกบรรดาสาวใช้ไปแล้วตั้งเท่าไร แล้วจะเชื่อคำสัญญาของสืออีเหนียงได้อย่างไร ไปครั้งนี้โอกาสที่จะกลับมามีน้อยเหลือเกิน เดิมทีคิดว่าชีวิตสิ้นสุดเพียงแค่ความตาย จึงได้ตัดสินใจต่อสู้อย่างสุดแรง ตอนนี้สืออีเหนียงให้นางไปจากจวนหย่งผิงโหวอย่างมีศักดิ์ศรี แม้ว่าจะมีความหวังเพียงแค่เส้นบางๆ นางก็ไม่อยากยอมแพ้ “เมื่อวานที่เถาเฉิงกลับไปตอนกลางคืนได้ล้มขาหัก” นางพูดข้ออ้างตามที่หู่พั่วบอก “ฮูหยินให้บ่าวกลับไปดูแลเถาเฉิงและช่วยเขาดูแลงานในหมู่บ้าน พอเขาหายดีแล้วบ่าวจะกลับมาเจ้าค่ะ!”
จุนเกอได้ฟังดังนั้นก็อุทานขึ้นมา “ไอ๊หยา!” ใบหน้าเล็กๆ เต็มไปด้วยความกังวล “พี่เฉิงเป็นอะไรมากหรือไม่ ในคลังของข้ามีโสมซานซี ข้าจะให้ฉาเซียงไปนำมาให้ท่านเอากลับไปด้วย” พูดจบก็ตะโกนเรียกฉาเซียงทันที
“คุณชายน้อยช้าก่อน!” ป้าเถาดึงสวีซื่อจุนไว้ “บ่าวต้องรีบไปดูเถาเฉิง มีบางประโยคอยากจะกำชับท่าน”
“ป้าเถาต้องการจะบอกอะไรข้า” สวีซื่อจุนมองป้าเถาด้วยแววตาสดใส
ป้าเถาเห็นแล้วก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้
นางกระซิบบอกสวีซื่อจุนว่า “ตอนนี้ฮูหยินสี่มีครรภ์ ไท่ฮูหยินกับท่านโหวต่างก็จดจ่อไปที่ฮูหยินสี่ ต่อไปท่านต้องดูแลตัวเอง หากมีอะไรที่ตัดสินใจไม่ได้ ก็ให้ส่งบ่าวรับใช้ไปถามบ่าวที่หมู่บ้าน ท่านต้องจำไว้ว่าในจวนหย่งผิงโหวนี้ นอกจากท่านโหวแล้ว คนที่สูงศักดิ์ที่สุดก็คือซื่อจื่อ ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่กำลังจับจ้องตำแหน่งซื่อจื่อของท่าน คิดที่จะแย่งตำแหน่งซื่อจื่อของท่าน ท่านจะประมาทไม่ได้ อีกอย่าง ไม่ควรทานของที่คนอื่นให้ตามใจชอบ อย่าไปในที่ที่ห่างไกลออกไป จะไปไหนก็ต้องพาสาวใช้ไปด้วย หากจะออกจากจวนก็ต้องได้รับอนุญาตจากท่านโหวก่อน...”
สวีซื่อจุนฟังอย่างตั้งใจ แต่รู้สึกว่าคำพูดของป้าเถามีบางอย่างผิดปกติ
“ป้าเถา” เขาขัดจังหวะป้าเถา “ท่านพูดผิดแล้ว ท่านแม่บอกว่าข้าเกิดมาเพื่อเป็นซื่อจื่อ ใครก็แย่งไปไม่ได้ เหตุใดท่านถึงได้บอกว่ามีคนต้องการจะแย่งตำแหน่งซื่อจื่อของข้าเล่า”
ป้าเถาเงยหน้าขึ้น เห็นว่าเยี่ยนหรงที่มากับนางมีท่าทางรีบร้อน
นางไม่มีเวลามาอธิบายให้สวีซื่อจุนฟัง จึงทำได้เพียงรีบพูดว่า “ท่านจงจำไว้ว่าตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ย่อมมีอนาคตและความหวัง ถึงแม้ว่าจะรู้สึกน้อยใจ แต่ก็อย่าระบายออกมาตามใจชอบ ต้องอดทนไว้ อย่าให้ไท่ฮูหยินกับท่านโหวรู้สึกว่าท่านเอาแต่ใจ แต่ถ้าหากมีใครทำตัวไร้มารยาทต่อหน้าท่าน จะต้องไปรายงานไท่ฮูหยินกับท่านโหวเพื่อให้ความยุติธรรมแก่ท่านนะเจ้าคะ”