อุ่น… เตียงหรือ?
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติในประโยคที่เขาพูด
อย่างไรนางก็เคยตกหลุมพรางของเขามาแล้วครั้งหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้นางก็เพิ่งถูกเขาบอกให้เติมเต็มหน้าที่ของการเป็นภรรยาไปหมาดๆ…
คิดดูให้ดีแล้ว ที่ว่าอุ่นเตียงให้อีกฝ่ายนี่หมายความว่าอย่างไรหรือ
ถ้าข้าชนะ เขาจะอุ่นเตียงให้ข้า
ถ้าข้าแพ้ ข้าก็จะต้องอุ่นเตียงให้เขา
เช่นนั้น… แพ้ชนะจะต่างกันอย่างไรเล่า
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
ตอนที่องค์ชายตกลงที่จะลงประลองกระชับมิตรกับนาง เขาก็มีจุดประสงค์ที่จะจัดฉากให้นางตกหลุมพรางของเขาอยู่แล้ว
นางกอดอกแล้วเลิกคิ้ว พร้อมกับจ้องชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง
ริมฝีปากที่วาดขึ้นเป็นเส้นโค้งชวนมองของเขายังคงแขวนอยู่บนใบหน้าไร้ที่ตินั้น ยิ่งเมื่อแสงตะวันส่องลงมาบนร่าง ใบหน้าของเขาก็ยิ่งดูงดงามราวกับเพชร เขาค่อยๆ สาวเท้าเข้าไปหานาง แล้วขยับริมฝีปากเข้าไปข้างหูพร้อมกับกระซิบว่า ”ทำไม นึกเสียใจขึ้นมาแล้วหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวสั่น แต่ไม่ได้พูดอะไร
เสียงของหยวนหมิงดังก้องไปทั่วห้องโถงนั้น ”ค่ายกลถูกทำลายแล้ว แต่คนร้ายน่าจะยังอยู่ที่ทะเลสาบชิงหลง หยุดพลอดรักกับผู้ชายของตัวเองแล้วรีบมุ่งหน้าไปที่ทะเลสาบชิงหลงดีกว่า พวกเราจำเป็นต้องหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้นะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขี้เกียจแก้ความเข้าใจผิดของหยวนหมิง ดังนั้นนางจึงกระโจนออกไปทางหน้าต่าง แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังทะเลสาบชิงหลงทันที
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชักนิ้วกลับมา สายตาของเขาหยุดลงที่สัตว์อสูรที่นอนอยู่บนพื้น ขณะใช้เท้าซ้ายของตนเหยียบลงบนร่างของมันด้วยท่าทางสบายๆ…
“อึ่ก!”
คนตัวเล็กที่สะพายขวดน้ำเต้าเอาไว้บนหลังยืนอยู่ริมทะเลสาบชิงหลง มุมปากของเขาเปรอะไปด้วยเลือดสีดำ ”นายท่านขอรับ ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรครึ่งปีศาจจะถูกฆ่าแล้วขอรับ พลังวิญญาณของชายคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป ก่อนที่ข้าจะตั้งตัวได้ ข้า…”
“ข้ารู้แล้ว” ชายคนนั้นยื่นมือออกไปลูบศีรษะของคนตัวเล็ก จากนั้นเขาจึงตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ และอบอุ่นว่า ”ต่อให้ไม่มีค่ายกลเนินคนตาย แต่พวกเราก็ยังมีแผนสำรองอยู่ ยิ่งกว่านั้น ข้าคิดว่ากองทัพของมู่หรงอ๋องเองก็น่าจะมาถึงในไม่ช้านี้ พวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว เราควรไปจากที่นี่เสียตั้งแต่ตอนนี้”
ขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็หยิบร่มกระดาษที่อยู่ในมือคู่สวยขึ้นมากาง ก่อนเดินเข้าไปในกลุ่มหมอกหนาทึบนั้น…
เฮ่อเหลียนเวยเวยมาถึงที่แห่งนั้นด้วยความรวดเร็ว แต่นางก็เห็นเพียงแค่เงารางๆ ของเขาเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยขว้างสิ่งที่อยู่ในมือของนางออกไปอย่างไม่ลังเล!
ฟิ้ว
มีดสะท้อนแสงสีเงินเล่มหนึ่งพุ่งตรงเข้าใส่แผ่นหลังของชายคนนั้น!
เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเสียงเสื้อของเขาขาดออกจากกัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงเด็กร้องขึ้นว่า ”นายท่าน!”
แต่ตอนที่นางมาถึงจุดที่ชายคนนั้นยืนอยู่เมื่อครู่ นางก็ไม่พบอะไรนอกจากรอยเลือดบนพื้นเท่านั้น พวกเขาหลบหนีไปได้อย่างหวุดหวิดในเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที
อย่างไรก็ตาม ผู้ชายคนนั้นก็เป็นคนฉลาดมากทีเดียว
ตอนแรกนางตั้งใจว่าจะทำให้เขาบาดเจ็บและใช้เลือดที่หยดลงมาจากบาดแผลของเขาตามรอยเขาไป
แต่นอกเหนือจากเลือดที่นางพบในตอนแรกแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่พบหยดเลือดที่อื่นอีก มันเป็นหลักฐานที่บอกว่าคู่ต่อสู้ของนางมองกลยุทธ์ของนางออกอย่างทะลุปรุโปร่ง และสามารถป้องกันตัวเองได้ทันท่วงที
คนที่ระมัดระวังตัวเช่นเขานับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือทีเดียว…
“ด้วยระดับฝีมือของเจ้าในตอนนี้ เจ้าไม่มีทางเอาชนะผู้ชายคนนั้นได้อย่างแน่นอน” หยวนหมิงปรากฏตัวออกมา ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปยังทะเลสาบที่หมอกค่อยๆ จางลง ”การทำลายค่ายกลทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลง แต่ถ้าเจ้าต้องประมือกับเขาในเวลาปกติละก็ เจ้าคงเสียเปรียบเขามากทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบมีดสีเงินขึ้นมาด้วยท่วงท่างดงาม แล้วเสียบมันกลับไปไว้ที่เอวของนาง ”ข้าชักอยากพบเขาตัวต่อตัว และหาว่าเขาเป็นคนเช่นใดแล้วสิ” นางพูดขึ้น
“เจ้าไม่พบเขาจะดีที่สุด” หยวนหมิงนวดขมับของตนเบาๆ เหมือนปวดหัว แต่แล้วเขาก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว ”แต่เจ้าก็ฝีมือไม่เลวทีเดียวที่สามารถทำให้คนระดับเขาบาดเจ็บได้”
“จากความเห็นของข้า ข้าคิดว่าเขาคงตั้งใจที่จะหลบการโจมตีของเจ้า แต่ไม่คิดว่ามีดของเจ้าจะเร็วขนาดนี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเงียบๆ
ทันใดนั้นพวกนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามา
มันดังมากเสียจนไม่มีทางที่พวกนางจะไม่ได้ยิน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปคว้าตัวศิษย์คนหนึ่งเอาไว้ ก่อนที่นางจะถามเสียงเบาว่า ”เกิดอะไรขึ้นหรือ”
ศิษย์คนนั้นสับสนเล็กน้อย เขาส่ายหน้าพลางตอบว่า ”จือฝู่คนนั้น เขากลับมาที่นี่พร้อมกับพาทหารของตัวเองมาด้วย”
จือฝู่คนนั้นหรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ทันที่จะตั้งตัวได้ จือฝู่คนนั้นก็ก้าวเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งด้านหลัง ทหารที่มาด้วยกันกับเขานั้นมีจำนวนมากเสียจนสามารถรักษาการณ์ทางเข้าออกทุกทางของสำนักได้เลยทีเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา เมื่อชาติที่แล้วนางคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี
ดังนั้นนางจึงไวต่อการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นรอบตัวยิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะหันมองไปรอบๆ สำนัก ยามรักษาการณ์ที่เคยอยู่รอบหอพักต่างๆ ล้วนแต่ถูกแทนที่ด้วยทหารในชุดเกราะเหล่านั้น การส่งทหารจากกองทัพมาที่นี่เพียงเพื่อตรวจสอบคดีฆาตกรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นแต่อย่างใด…
หัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยเต้นผิดจังหวะทันทีที่นางเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
การจัดกำลังลักษณะนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะทำเพื่อสืบสวนคดีเพียงอย่างเดียว แต่ ถ้าหากว่าเป้าหมายของพวกเขาคือองค์ชายล่ะ…
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับไปที่หอสามัญแทบจะในทันที ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะต้องเป็นเป้าหมายของพวกเขาไม่ผิดแน่!
ในเวลาเดียวกันนั้น ลูกศิษย์ทุกคนที่เหลืออยู่ต่างก็ถูกจือฝู่คนนั้นไล่กลับไปที่หอสามัญ ด้วยอ้างว่าเขาต้องการที่จะคุ้มครองทุกคนให้ปลอดภัย
แต่ลูกศิษย์เหล่านั้นก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขามองตากันเพราะรู้ว่าในคำสั่งของจือฝู่คนนั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากลและน่าสงสัยอยู่
“ฝ่าบาท!” เมื่อรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน เงาทมิฬก็ไม่คิดที่จะสนใจใครอื่นอีก เขาคุกเข่าลงตรงหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วรัวคำพูดใส่เขาอย่างรวดเร็วกว่าในเวลาปกติ ”มู่หรงอ๋องไม่ได้คิดที่จะฝึกทหารพ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทหารภายในเมืองหลวงต่างก็ได้รับคำสั่งจากมู่หรงอ๋องมาเป็นการส่วนตัว พวกเขาตั้งใจที่จะร่วมมือกับจือฝู่ผู้นั้นซุ่มโจมตีสำนักพ่ะย่ะค่ะ ข้าทำตามรับสั่งของฝ่าบาท และได้เดินทางไปยังกองทัพที่ใกล้ที่สุดแล้ว แต่ว่า…”
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ เงาทมิฬก็เงยหน้าขึ้นมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยังมีท่าทีไม่สนใจไยดีต่อสิ่งใดเช่นเคย เงาทมิฬกำมือเข้าหากันแน่น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า ”พวกเขาปฏิเสธที่จะส่งคนมาช่วยเราพ่ะย่ะค่ะ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงัก เท่าที่นางจำได้ นางไม่เคยเห็นองครักษ์เงาคนใดในสิบแปดนายตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน แม้จะอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำตามปกติ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าบนร่างขอเงาทมิฬมีบาดแผลอยู่หลายแห่ง เลือดของเขาเริ่มจับตัวเป็นก้อน เสื้อของเขาแนบติดไปกับร่าง อีกทั้งบนชุดของเขาก็ยังเปรอะเปื้อนไปทั่ว ตั้งแต่ตอนที่เขาก้าวเข้ามาในห้อง เขาก็กุมหน้าท้องของตัวเองเอาไว้แน่น ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บที่ท้องด้วย
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นซับซ้อนกว่าคำอธิบายอันรวบรัดของเงาทมิฬมากนัก ไม่ใช่แค่กองทัพนั้นจะปฏิเสธที่จะส่งทหารให้กับพวกเขาเท่านั้น แต่พวกเขายังพยายามที่จะฆ่าเงาทมิฬอีกด้วย
มันเป็นความจริงที่ทุกคนต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี
องครักษ์เงาทั้งสิบแปดนายเป็นตัวแทนขององค์ชายสาม
พวกเขาไม่เหมือนกับองครักษ์ทั่วๆ ไป
ในยุคของราชวงศ์หวงอันยิ่งใหญ่นั้น นอกจากยอดฝีมือด้านวรยุทธ์แล้ว พวกเขาก็ไม่เชื่อฟังคำสั่งของใครอีก แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาจะไม่ยอมทำตามคำสั่งของใครนอกจากชายที่สามารถขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดนั้นได้
แต่กลับมีคนกล้าพอที่จะทำร้ายองครักษ์เงาทั้งสิบแปดนายนั้นอย่างเปิดเผย!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกจะอยู่ให้ห่างจากเรื่องภายในสำนักไท่ไป๋ เรื่องพวกนั้นละเอียดอ่อนยิ่งนัก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยของเขาอาจนำไปสู่ความวุ่นวายใหญ่โตได้
ถ้าหากไม่ขอให้เขาช่วยเฮยเจ๋อ เรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเม้มริมฝีปากบางของตนเข้าหากันพลางกำมือแน่น
อวิ๋นปี้ลั่วชำเลืองมองนาง ก่อนที่ดวงตาของนางจะเริ่มเป็นประกาย…