วันนี้เป็นพิธีปักปิ่นของมั่วเชียนเสวี่ย หลันรั่วเมิ่งและเฟิงอวี้เฉินอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการทาบทามสู่ขอ มั่วเชียนเสวี่ยไม่เพียงเป็นคนสำคัญของนาง ทั้งยังเป็นญาติผู้น้องของเฟิงอวี้เฉิน นางจะไม่มาร่วมงานได้อย่างไร
อีกทั้ง…วันสำคัญเช่นวันนี้ เฟิงอวี้เฉินย่อมมาแน่นอน
แต่ว่า แม้นางจะมาถึงแล้ว หลังจากให้ของขวัญ ให้มั่วเชียนเสวี่ยเห็นหน้าเล็กน้อยก็พาสาวใช้เข้าไปในสวนดอกไม้
ในโถงหลักเต็มไปด้วยผู้คน นางกับมั่วเชียนเสวี่ยสนิทสนมกัน แน่นอนว่าย่อมไม่เสียเวลาให้มั่วเชียนเสวี่ยคอยดูแลนาง นางมาช่วยจย่าฮูหยินดูแลแขกเหรื่อในสวนดอกไม้
จย่าฮูหยินพูดคุยและดื่มน้ำชากับบรรดาฮูหยินชนชั้นสูงที่อายุมากอยู่ในเรือนอีกหลังหนึ่ง
ส่วนนางพาเหล่าสตรีชั้นสูงที่อายุน้อย เดินชมสวนดอกไม้ ไม่ต้องรอมั่วเชียนเสวี่ยไหว้วาน นางก็คอยดูแลความเรียบร้อยของบรรดาแขกแล้ว
บรรดาสะใภ้ตระกูลมั่ว ต่างไม่สนใจ เอาแต่เดินตามอยู่ด้านหลังคอยประจบจย่าฮูหยิน
จย่าฮูหยินมีฐานันดรศักดิ์สูงส่ง แน่นอนว่าคนที่จย่าฮูหยินต้อนรับย่อมมีฐานันดรศักดิ์ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะทำเพื่อเป็นที่คุ้นหน้า หรือว่าประจบจนถึงขั้นสานสัมพันธ์ ล้วนเป็นเรื่องที่ดี
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยพาองค์หญิงอวี้เหอและบรรดาสตรีชั้นสูงเดินมา หลังจากเหล่าสตรีในสวนดอกไม้ทำความเคารพองค์หญิงอวี้เหอ คนที่ฐานันดรศักดิ์ใกล้เคียงกันต่างฝ่ายทำความเคารพกันและกัน เดินเล่นในสวนดอกไม้ระยะหนึ่งแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่าใกล้ถึงเวลา นางเหลียวซ้ายแลขวา เห็นสืออู่กำลังใช้ภาษามือสื่อสารกับนาง ซึ่งมีเพียงพวกนางเท่านั้นที่เข้าใจ
ราบรื่นอย่างมาก!
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มบางๆ “วันนี้เดินที่นี่เพียงเท่านี้เถอะ พวกเราไปเดินที่อื่นกัน คุณหนูทั้งหลายจะได้ไม่ต้องตากแดดจนผิวคล้ำ แล้วมาตำหนิเชียนเสวี่ย!”
“จริงด้วย! ได้ยินว่า ในจวนกั๋วกงมีป่าไผ่ขนาดใหญ่ไม่ใช่หรือ ได้ยินว่าในอดีต ท่านกั๋วกงปลูกเอาไว้ให้กั๋วกงฮูหยินโดยเฉพาะ พวกเรารีบไปดูกันเถอะ!”
คนที่พูดคือบุตรีสายตรงของตระกูลขุนนาง หลังจากพูดจบ นางพยักหน้าแล้วยิ้มบางๆ ให้มั่วเชียนเสวี่ย ท่าทีของนางเป็นมิตรอย่างมาก
มั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ้มเช่นเดียวกัน เดิมทีนางอยากจะพาทุกคนเข้าไปอย่างเนียบแนียน เวลานี้มีคนนำทางแล้ว นางจะไม่มีความสุขได้อย่างไร
“ในเมื่อคุณหนูท่านนี้พูดเช่นนี้แล้ว พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ภายในใจของนางกลับรู้สึกเสียใจยิ่งนัก นางไม่รู้จริงๆ ว่าป่าไผ่จะมีเรื่องราวเช่นนี้ มิเช่นนั้น นางจะปล่อยให้สตรีสองคนนั้นทำให้สถานที่ของท่านพ่อและท่านแม่แปดเปื้อนได้อย่างไร
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม้ภายในใจจะไม่ยินยอมก็หมดหนทาง ดังนั้นนางจึงเดินนำ พาทุกคนเข้าไปในป่าไผ่!
ส่วนลึกในป่าไผ่ เวลานี้เป็นภาพที่เผ็ดร้อนยิ่งนัก เสียงครางดังขึ้นด้านใน เสียงนั้นเคล้าไปด้วยความรักใคร่
ต้นไผ่สีเขียว พอจะมองเห็นเหตุการณ์ด้านใน เสื้อผ้าปลิวว่อน คล้ายว่า…มีคน…เปลือยกายกำลังเคลื่อนไหวเรือนร่าง…
ผู้คนมากมายในงาน ล้วนหูดียิ่งนัก หลังจากได้ยินเสียง ต่างรู้สึกว่ามีเรื่องบัดสีเกิดขึ้น
หญิงชั้นสูงบางคนที่อายุยังน้อย ยังไม่ประสีประสา แต่บรรดาสตรีชั้นสูงที่แต่งงานออกเรือนแล้วมีหรือที่จะไม่รู้
ตอนกลางวันแสกๆ ในวันเช่นนี้ ท่ามกลางผู้คนมากมาย
เกรงว่าจะมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ไม่ต้องพูดแต่อย่างใด บรรดาสตรีชั้นสูงต่างรู้ดี มีคนตกหลุมพรางแล้ว
มิเช่นนั้น เหตุใดต้องลักลอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันในวันนี้ เหตุใดต้องเลือกสถานที่เช่นนี้…
แค่ไม่รู้ว่า คนที่ตกหลุมพรางเป็นคนตระกูลใด
ชั่วขณะหนึ่ง มีคนหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงแก้มและใบหูแดงก่ำ ทั้งยังมีคนก้าวเท้าช้าลง มองด้วยความสงสัยใคร่รู้ นอกจากนี้ยังมีคนรอดูเรื่องสนุก
“นี่…นี่คือเสียงอะไรกัน”
“คุณหนูใหญ่มั่ว ข้าว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ พวกเราไปกันเถอะ!”
“ตามผอจื่อไม่ก็สาวใช้ไปดูซิว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นด้านในกันแน่”
นี่คือคำพูดของคนสามประเภท ประโยคแรกย่อมเป็นคำพูดของคนไม่ประสีประสา ประโยคที่สองย่อมเป็นคนที่รู้และเข้าใจเป็นอย่างดี ส่วนประโยคสุดท้ายย่อมเป็นคำพูดของคนที่รอดูเรื่องสนุก
แน่นอว่ามั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนประเภทสุดท้าย แต่เวลานี้นางกลับแกล้งทำเป็นไม่ประสีประสา กะพริบตาปริบๆ ถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว “ทำไมหรือ ทุกท่านจะมาชมต้นไผ่มิใช่หรือ” เห็นสีหน้าไม่ประสีประสาของมั่วเชียนเสวี่ย ชั่วขณะหนึ่งบรรดาสตรีชั้นสูงที่รักในเกียรติและมีคุณธรรมต่างไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว
พูดตรงจนเกินไป พวกนางก็ไม่มีหน้าที่จะพูด แต่หากไม่พูดให้ชัดเจน เกรงว่าประเดี๋ยวสถานการณ์จะแย่ยิ่งกว่าเดิม!
พวกคนที่รอดูเรื่องสนุก แน่นอนว่าย่อมไม่ส่งเสียง หากส่งเสียง แล้วเกิดเรื่องขึ้น นำภัยมาสู่ตนคงไม่ใช่เรื่องดี
โจวฮูหยินที่ก่อนหน้านี้พยายามแก้ไขสถานการณ์หน้าแดงก่ำ แล้วพูดเกลี้ยกล่อม “คุณหนูใหญ่มั่ว พวกเราอย่าเข้าไปเลย ด้านในป่าไผ่…ไม่แน่ว่าด้านในอาจจะมีบางอย่างที่ทำให้เสียสายตา เมื่อได้เห็นแล้วไม่ใช่เรื่องดี พวกเราอย่าเข้าไปเลย!”
เพราะถึงอย่างไรที่นี่มีสตรีชั้นสูงมากมายยืนอยู่ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่ามีสตรีชั้นสูงบางคนที่รับรู้เป็นอย่างดี แต่ก็มีบางคนที่ไม่รับรู้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าไม่ไปเป็นการดีที่สุด
คนที่รอดูเรื่องสนุก ไม่กล้าเสี่ยง ด้วยเหตุนี้จึงแสร้งพูดเห็นด้วย “จริงด้วย”
แม้เรื่องสกปรกเช่นนี้จะเกิดขึ้นในตระกูลมั่ว แต่ถึงอย่างไรพวกที่รับรู้เรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดีเยี่ยงพวกนางก็อยู่ที่นี่ หากไม่พูดห้ามปราม วันข้างหน้าเมื่อเกิดเรื่องขึ้น จะตำหนิพวกนางเอาได้!
มั่วเชียนเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ พยักหน้า…
“เช่นนี้หรือ…”
มั่วเชียนเสวี่ยรู้ดีว่าสตรีชั้นสูงคนนี้คิดเผื่อพวกนางที่ยังไม่ได้ออกเรือน ดังนั้นจึงไม่ทำให้นางลำบากใจ! แต่มั่วเชียนเสวี่ยก็ยังคงรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เห็นการถ่ายทอดสดของหนังรัก เสียใจที่ไม่ได้สะใจกับการจับได้คาหนังคาเขา
ดูเหมือนว่า ไม่มีโอกาสดูแล้ว ทว่า นางจะปล่อยให้ละครที่อวี้เหอจัดเตรียมไว้พลาดได้อย่างไร นางจึงร้องเรียกสืออู่ที่อยู่ข้างๆ มา
พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “สืออู่ เจ้าไปดูซิว่า ด้านในมีคนทะเลาะกันหรือไม่! หากมีคนทะเลาะตบตีกัน ต้องห้ามปรามให้ได้ เข้าใจหรือไม่”
สืออู่ยืนอยู่ข้างๆ แม้นางจะเป็นหญิงสาวที่ไม่ประสีประสา แต่ตอนที่ได้ยินคุณหนูของตนพูดคำว่า ‘ทะเลาะตบตี’ มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย…
คุณหนู เหตุใดท่านจึงกลั่นแกล้งกันเช่นนี้! นางไม่เชื่อว่าคุณหนูไม่รู้ว่าคนด้านในกำลังทำอะไรกันอยู่!
มั่วเชียนเสวี่ยพูดถึงขั้นนี้แล้ว บรรดาสตรีชั้นสูงไม่ห้ามปรามอีก ความสงสัยใคร่รู้ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์
“เจ้าค่ะ! สืออู่เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หลังจากสืออู่ขานรับ นางก็เดินเข้าไปด้านในป่าไผ่
มั่วเชียนเสวี่ยมองแผ่นหลังของสืออู่ ยังคงมีความกังวลเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายนางก็ยิ้มบางๆ หันกลับมา พูดกับสตรีชั้นสูงที่อยู่ด้านหลัง ด้วยความมั่นใจ “ในเมื่อทางด้านนั้นมีสืออู่แล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนอย่ามองว่าสืออู่เป็นสตรี ความเป็นจริงนางฝีมือดียิ่งนัก คนทั่วไปไม่อาจเข้าใกล้นางได้ พวกเราวางใจได้”