เถาเฉิงมาเยี่ยมมารดาที่เยี่ยนจิง พอกลับไปในตอนกลางคืนรถม้าก็พลิกคว่ำแล้วตกลงไปในคูน้ำ ตอนนี้ก็ยังคงหมดสติอยู่ ป้าเถาจึงรีบต้องกลับไปที่หมู่บ้าน แม้แต่หีบใส่ของกับของที่ไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงและคนอื่นๆ มอบให้ ก็เป็นหลูหย่งกุ้ยที่ช่วยป้าเถานำเอาไปส่งที่หมู่บ้านทีหลัง
ป้าเถาไม่ได้ทำหน้าที่ดูแลมาหลายปีแล้ว การจากไปของนางก็เพียงแค่ทำให้บรรดาสาวใช้ในเรือนเดิมของหยวนเหนียงรู้สึกปวดหัวก็เท่านั้น สืออีเหนียงส่งจู๋เซียงไปรับช่วงดูแลข้าวของเก่าๆ ของหยวนเหนียง พวกนางนำของในเรือนไปเก็บไว้ที่คลังตามรายการในสมุดบัญชี ยุ่งวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง หลังจากที่ได้หยุดพัก ป้าวังผู้ดูแลระดับสองที่เดิมเคยดูแลคลังเก็บของภายใต้คำสั่งป้าอวี๋ได้มาดูแลเรื่องนี้ ทุกคนต่างก็พากันเข้าไปตีสนิทเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ เพราะกลัวตัวเองจะเสียงานไป ทำให้วุ่นวายอยู่อีกพักหนึ่ง พอเริ่มมั่นคงแล้ว ก็มีข่าวมาจากเรือนนอกว่าคุณชายน้อยสองสวีซื่ออวี้ได้ผ่านการสอบระดับมณฑลแล้ว บรรดาคนที่ไปมาหาสู่กับฉินอี๋เหนียงจึงไปแสดงความยินดีกับนาง
ฉินอี๋เหนียงต้อนรับอย่างไม่เต็มใจ กว่าจะส่งกลุ่มคนพวกนี้ออกไปนั้นไม่ง่ายเลย พูดกับอี้อี๋เหนียงที่อยู่ต่อว่า “ป้าเถาไปแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่ได้เย่อหยิ่งเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป ซ้ำยังมาหาข้าถึงที่นี่เพื่อขอของรางวัล หากเป็นเมื่อก่อน มีหรือจะชายตามองพวกเราสองแม่ลูก นี่ก็เหมือนกับประโยคที่ว่า ‘ชะตาของโลกหรือคนย่อมเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มีขึ้นมีลง มียศเสื่อมยศ ทุกสิ่งล้วนไม่แน่แท้’”
อี้อี๋เหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาพลางยิ้มแล้วพูดว่า “บนโลกใบนี้เมื่อมีอำนาจและเงินทองก็จะมีคนเข้ามาประจบมากมาย แต่ในยามยากไร้กลับมีผู้ที่มาช่วยเหลือน้อยนิดเหลือเกิน ผ่านมาหลายปีแล้วเจ้ายังมองไม่ออกอีกหรือ!” จากนั้นก็พูดถึงสวีซื่ออวี้ “ได้ยินมาว่าอีกสองวันก็ต้องกลับเล่ออานแล้ว เหตุใดถึงไม่สอบระดับราชสำนักไปเลยทีเดียว คุณชายน้อยสองก็อายุไม่น้อยแล้ว ถ้าหากมีชื่อเสียงระดับบัญฑิตซิ่วไฉ่ การหมั้นหมายก็จะราบรื่นยิ่งขึ้น”
“ใต้หล้านี้มีบัญฑิตซิ่วไฉ่เยอะแยะมากมาย มีอะไรน่าภูมิใจกัน” นึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่ที่บุตรชายไปเรียนหนังสือที่เล่ออาน ก็ยิ่งหากไกลจากตัวเองออกไปเรื่อยๆ ฉินอี๋เหนียงจึงไม่ชอบหัวข้อสนทนานี้เป็นอย่างมาก
อี้อี๋เหนียงก็ล่วงรู้ความคิดของนาง ยิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดถึงวันเกิดของไท่ฮูหยินแทน “…คราวนี้คงจะจัดงานใหญ่โตกระมัง แต่ฮูหยินสี่กำลังตั้งครรภ์อยู่ไม่ใช่หรือ!”
“เห็นบอกว่าเมื่อถึงวันงานจะเชิญเพียงแค่คนที่สนิทสนมเท่านั้น” ฉินอี๋เหนียงส่ายหน้า “ตั้งแต่มีครรภ์ ฮูหยินก็ไม่สบายอยู่ตลอด เดิมทีไท่ฮูหยินก็ไม่ได้เตรียมจะจัดงานวันเกิด เป็นท่านโหวที่เรียกคุณชายห้าไปตกลงเรื่องการจัดงาน”
อี้อี๋เหนียงเผลอตัวส่งเสียงอุทาน “หา?” อย่างงุนงง พูดขึ้นมาว่า “ลองนับวันดูแล้วก็เหลืออีกแค่สี่เดือน เพราะเหตุใดถึงยังรู้สึกไม่สบายอยู่ ไม่สบายจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่สบายกันแน่ ข้าเห็นว่าตอนที่ป้าเถาจากไปท่านโหวไม่ได้พูดอะไรสักคำ หรือว่านางจะตั้งครรภ์เด็กผู้ชาย!”
“ใครจะไปรู้ว่าไม่สบายจริงๆ หรือว่าแกล้งไม่สบายเล่า” ฉินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ตราบใดที่นางไม่สบายหนึ่งวัน ไม่ว่าจะเป็นท่านโหวหรือไท่ฮูหยินต่างก็ประเคนทุกอย่างให้นางราวกับว่านางเป็นพระโพธิสัตว์ หากข้าเป็นนางก็คงหวังว่าวันเวลาเช่นนี้จะผ่านไปช้าๆ” เมื่อพูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็แฝงความเย้ยหยันเล็กน้อย “ถ้าหากคลอดออกมาเป็นบุตรสาว เกรงว่าสีหน้าของไท่ฮูหยินกับท่านโหวคงจะไม่เบิกบานเช่นนี้แล้วกระมัง”
ฉินอี๋เหนียงได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ “สงสารก็แต่หยางอี๋เหนียงของพวกเรา อยากจะทำเสื้อผ้าเด็กให้ฮูหยิน นั่งปักทั้งวันทั้งคืนจนตาจะบอดอยู่แล้ว”
******
ป้าหยางกำลังพูดเกลี้ยกล่อมหยางอี๋เหนียง “ท่านพักผ่อนสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ!”
หยางอี๋เหนียงมองเด็กน้อยที่ยังปักไม่เป็นรูปเป็นร่างก็รู้สึกผิดหวัง “คิดไม่ถึงว่าจะใช้เวลามากขนาดนี้” รับน้ำดอกเบญจมาศใส่มะขามแขกจากในมือป้าหยางมา ขมวดคิ้วพลางดื่มไปสองสามอึก
“พวกเราเปลี่ยนมาปักลายอื่นดีหรือไม่เจ้าคะ!” ป้าหยางช่วยหยางอี๋เหนียงจัดเรียงเส้นด้ายที่ยุ่งเหยิงพลางกระซิบบอก “เพิ่มหญ้ารุ่ยกับพู่กันแล้วก็จานหมึก ทำเป็นผ้าห่มให้เด็กน้อยก็ดีนะเจ้าคะ!”
หยางอี๋เหนียงใจเต้นเล็กน้อย
“ฮูหยินสี่ตั้งครรภ์มาสี่เดือนกว่าแล้ว อย่างมากก็คงจะถึงเดือนหก ร่างกายของนางคงจะดีขึ้นมากแล้ว” ป้าหยางยังคงเกลี้ยกล่อมหยางอี๋เหนียงต่อ “เมื่อถึงเวลานั้นท่านโหวก็คงจะวางใจ ตอนนี้ท่านไม่ไปพูดคุยกับฮูหยิน รอเมื่อเด็กคลอดออกมา หากเป็นบุตรชายก็ดีไป แต่หากเป็นบุตรสาว เกรงว่าฮูหยินสี่คงจะจัดเตรียมสาวใช้ห้องข้างโดยไม่ให้อนุภรรยามาปรนนิบัติ อีกอย่างพวกเราเพียงแค่บอกคนอื่นไปว่ากำลังทำสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้ฮูหยิน ไม่ได้บอกว่ากำลังปักเสื้อลายเด็กน้อยกำลังวิ่งเล่นกัน เช่นนี้ก็ไม่นับว่าเป็นการผิดคำพูดหรอกเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้ตัดสินใจ “เป็นอย่างที่ป้าหยางว่า ตอนนี้สิ่งที่สำคัญก็คือต้องไปพูดคุยกับฮูหยิน”
ป้าหยางรีบไปหยิบกระดาษมา หยางอี๋เหนียงเริ่มวาดลวดลายใหม่อีกครั้ง
เหวินอี๋เหนียงถือเสื้อซับในเด็กที่ปักคำว่า ‘เหลือกินเหลือใช้ทุกปี’ ด้วยความดีอกดีใจ นางพูดกับชิวหงว่า “เจ้าว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พอถึงอีกสองปีหน้าคุณหนูใหญ่แต่งออกไป ข้าก็คงจะปักชุดเด็กได้สองชุดใช่หรือไม่!”
ชิวหงปิดปากหัวเราะ
เหวินอี๋เหนียงไม่สนใจนาง เรียกตงหงเข้ามาเอาของไปเก็บอย่างมีความสุข หยิบแบบชุดซับในเด็กลาย‘ดอกบัวแฝด’ ที่ขอให้ปินจวี๋วาดให้เมื่อไม่กี่วันก่อนออกมา ให้ชิวหงช่วยเริ่มให้ นางจะได้ปักตาม
บุตรชายคนโตกับบุตรสาวคนเล็กของว่านอี้จงทำงานอยู่ในจวน สะใภ้ว่านอี้จงจึงอยากให้มีคนคอยดูแลอยู่ข้างกายบุตรชายกับบุตรสาว จึงให้ปินจวี๋พาหลานชายไปเช่าห้องอาศัยอยู่ข้างจวนหย่งผิงโหว เพราะว่าปินจวี๋มีทั้งพ่อสามีและแม่สามี แล้วยังมีน้องชายและน้องสาวของสามี ท้องแรกก็ยังได้บุตรชาย ทุกคนต่างก็บอกว่านางเป็นคนมีวาสนา เรือนไหนมีงานแต่งก็มักจะชอบให้นางไปช่วยงาน นางเป็นคนร่าเริงสดใส อีกทั้งยังทำอะไรคล่องแคล่ว ไปๆ มาๆ บรรดาสาวใช้ใหญ่และหญิงเฒ่าทั้งหลายต่างก็ชอบให้นางวาดลวดลายให้ ขอคำแนะนำเรื่องงานเย็บปัก นางจึงอาศัยโอกาสนี้นำงานเย็บปักจากร้านมงคลสมรสมาแบ่งให้บรรดาสาวใช้น้อยทำ ให้บรรดาสาวใช้น้อยได้หาเงินค่าขนม ไปๆ มาๆ นางก็กลายเป็นที่ชื่นชมในหมู่สตรีของจวนหย่งผิงโหว
พอเหวินอี๋เหนียงต้องการจะเรียนเย็บปัก คนแรกที่ชิวหงนึกถึงก็คือปินจวี๋ จึงขอให้นางช่วยวาดลวดลายแบบปักให้
ดังนั้นเมื่อเวินอี๋เหนิงขอให้ชิวหงเริ่มปักให้ นางจึงยิ้มพลางตอบตกลง นั่งลงบนเก้าอี้ไม้เล็กๆ ข้างๆ เหวินอี๋เหนียง เริ่มลงเข็มตามลวดลายบนกระดาษพลางพูดเสียงเบาว่า “อี๋เหนียง ตอนที่ข้าไปหาพี่ปินจวี๋ ข้าเห็นพี่หู่พั่วกับพี่จู๋เซียงด้วย ทั้งสามคนปิดประตูห้องซุบซิบกันอยู่ด้านในเจ้าค่ะ!”
ชิวหงจะไม่พูดเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผล
เหวินอี๋เหนียงโน้มตัวลงไป “ได้ยินหรือไม่ว่าพูดอะไรกัน”
ชิวหงขยับเข้าไปใกล้อีก “ฟังดูเหมือนว่าป้าตู้อยากจะหมั้นหมายให้หู่พั่ว ฮูหยินจึงให้ว่านต้าเสี่ยนไปสืบดู แต่ว่าหู่พั่วไม่เห็นด้วย ปินจวี๋กับจู๋เซียงกำลังเกลี้ยกล่อมพี่หู่พั่วอยู่เจ้าค่ะ”
“นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน” เหวินอี๋เหนียงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าพูดให้มันชัดเจนหน่อย ป้าตู้จะให้หู่พั่วหมั้นหมายกับเด็กเรือนไหน แล้วเหตุใดหู่พั่วถึงไม่เห็นด้วย”
“บ่าวก็ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นด้วยเจ้าค่ะ” ชิวหงทำปากยู่ “ได้ยินเบาๆ ว่าพูดถึงพ่อบ้านไป๋ เหมือนว่าจะเป็นใครสักคนที่เกี่ยวข้องกับพ่อบ้านไป๋เจ้าค่ะ”
สมองของเหวินอี๋เหนียงแล่นอย่างรวดเร็ว
จะว่าไปแล้วชิวหงก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่เพียงเพราะว่านางเห็นชิวหงมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงมักจะรู้สึกว่าคนนี้ก็ไม่ดี คนนั้นก็ไม่พอใจ กลัวจะทำให้ชิวหงน้อยเนื้อต่ำใจ จึงให้นางอยู่ต่อจนล่วงเลยมาถึงวันนี้
ป้าตู้ช่วยออกหน้าให้ ซ้ำยังเกี่ยวข้องกับพ่อบ้านไป๋ อีกอย่างนางก็เป็นสาวใช้ข้างกายของสืออีเหนียง แม้ว่าจะไม่ดี แต่คาดว่าก็คงจะดีกว่าบ่าวรับใช้ทั่วไปเป็นร้อยเท่า ทั้งปินจวี๋และจู๋เซียงต่างก็พากันพูดโน้มน้าวหู่พั่ว คาดว่าคงจะไม่เกี่ยวกับนิสัยใจคอ คงกลัวว่าจะทำให้มีสายสัมพันธ์กับพ่อบ้านไป๋จึงทำให้นางหวาดกลัว
นางไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ลงจากเตียงนั่งแล้วสวมรองเท้า “ให้ตงหงมากับข้า ข้าจะไปนั่งเล่นที่เรือนฮูหยินสักหน่อย”
ชิวหงรีบนั่งลงสวมรองเท้าให้เหวินอี๋เหนียงแล้วพูดขึ้นมาว่า “นี่พึ่งจะผ่านมาสามเค่อเองนะเจ้าคะ!”
เหวินอี๋เหนียงไม่ได้พูดอะไรต่อ พาตงหงไปหาสืออีเหนียง
สืออีเหนียงพึ่งตื่นจากนอนกลางวัน สีหน้าท่าทางดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยกำลังพูดคุยกันอยู่ข้างๆ นาง
“…พี่สองสอบผ่านระดับเมืองหลวงแล้ว พี่ใหญ่บอกว่าจะไปปีนเขาฉลอง คาดว่าท่านพ่อคงไม่อนุญาตให้ข้ากับน้องห้าไป ต่อให้พวกเราตามไป แต่ว่าพวกเขาขายาวกว่า คงจะเล่นกันอย่างสนุกสนาน ส่วนพวกเราก็ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังอีกเช่นเคย” สวีซื่อจุนดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง พูดออดอ้อนพลางอ้อนวอนว่า “ท่านแม่ ท่านช่วยไปบอกท่านพ่อว่าไปปีนเขานั้นอันตรายเกินไป พวกเราแค่ย่างเนื้อกินกันอยู่ที่หลังเรือนก็พอแล้วเถิดขอรับ!”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
“สรุปแล้วพวกเจ้าอยากจะออกไปเที่ยวเล่นหรือว่าเพียงแค่อยากจะเล่นกับพี่ใหญ่และคนอื่นๆ กันแน่”
สวีซื่อจุนหน้าแดง “พวกเราก็อยากออกไปเล่นข้างนอกเหมือนกัน”
“เช่นนั้นก็ไปเรือนนอกที่อยู่ซีซาน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “พวกพี่ใหญ่ไปปีนเขา ส่วนพวกเจ้าก็อยู่กินเนื้อย่างที่เรือน”
สวีซื่อจุนได้ฟังดังนั้นก็โห่ร้องด้วยความดีใจ
สืออีเหนียงอดยิ้มไม่ได้ “รีบไปเรียนได้แล้ว หากไปสายระวังอาจารย์จ้าวจะให้พวกเจ้ายืนเป็นการทำโทษเอาได้”
เด็กน้อยทั้งสองคนกล่าวทักทายเหวินอี๋เหนียง จากนั้นก็ไปเรือนซวงฝูกับสะใภ้หนานหย่งพลางหัวเราะร่าอย่างมีความสุข
สืออีเหนียงให้สาวใช้น้อยไปยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้เหวินอี๋เหนียงนั่ง
เหวินอี๋เหนียงทำตัวตามปกติ พูดเรื่องตลกเล็กน้อยเพื่อให้สืออีเหนียงอารมณ์ดี จากนั้นก็พูดความคิดของตัวเอง “…ท่านได้โปรดช่วยหาครอบครัวดีๆ ให้ข้าทีเถิด ข้าไม่สนว่ารากฐานของเขาจะเป็นอย่างไร ขอเพียงแค่ซื่อสัตย์และสามารถทำมาหากินเลี้ยงชีพได้ก็พอแล้ว”
สืออีเหนียงค่อนข้างประหลาดใจ นึกถึงเรื่องที่ป้าตู้พูดกับนางเมื่อไม่กี่วันก่อน “…มีผู้ดูแลคนหนึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพ่อบ้านไป๋ ปีนี้อายุยี่สิบปีพอดี หน้าตาดูดีและเฉลียวฉลาด พ่อบ้านไป๋ชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก ขอให้บ่าวไปพูดเรื่องการหมั้นหมายให้ ท่านก็รู้ว่าไท่ฮูหยินไม่ได้ดูแลเรื่องเหล่านี้มานานแล้ว บ่าวเองก็อายุมากแล้ว ไม่รู้จักบรรดาสาวใช้น้อยเหล่านั้นในจวนเลยสักคน คิดไปคิดมาจึงได้มาขอร้องฮูหยินเจ้าค่ะ” ขณะที่พูดสายตากลับจับจ้องไปยังหู่พั่ว
นางค่อนข้างเข้าใจความหมายของป้าตู้ แต่ก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแก่ป้าตู้ กลับมาถามความคิดเห็นของหู่พั่วเป็นการส่วนตัวก่อน
หู่พั่วหน้าแดง อดทนต่อความเขินอายแล้วพูดว่า “สามีภรรยาไม่สามารถดูแลในจวนกับนอกจวนในเวลาเดียวกันได้ บ่าวอยากจะอยู่ข้างกายฮูหยินเจ้าค่ะ”
แต่สืออีเหนียงกลับลังเลเล็กน้อย “ข้าจะให้ว่านต้าเสี่ยนไปช่วยสืบมา หากเป็นคนดีจริงๆ เจ้าก็อย่าได้ปฏิเสธเลย”
คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้ยังไม่ทันได้มีการตัดสินใจ เหวินอี๋เหนียงก็มาขอร้องถึงหน้าประตูแล้ว
นางมองเหวินอี๋เหนียงพลางยิ้มเล็กน้อย
เหวินอี๋เหนียงก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเช่นกัน พูดด้วยความลำบากใจว่า “ข้าพอได้ยินมาบ้าง หากฮูหยินคิดว่าหู่พั่วไม่เหมาะสมอย่างที่ชิวหงพูดมา ไม่ว่าจะเป็นป้าตู้หรือพ่อบ้านไป๋ พวกเขาก็เพียงแค่อยากจะเข้าใกล้ฮูหยินให้มากขึ้นก็เท่านั้น”
ที่นางพูดก็มีเหตุผล
แต่ปัญหาก็คือหากจะให้ชิวหงแต่งเข้าไป ก็ต้องได้รับความยินยอมจากป้าตู้และพ่อบ้านไป๋จึงจะเหมาะสม
“เจ้าอย่าได้รีบร้อน” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อว่า “จะว่าไปแล้ว ในเรือนเรานอกจากหู่พั่วกับหงซิ่วที่อยู่ข้างกายข้าแล้ว ก็ยังมีชิวหงที่อยู่ข้างกายเจ้า แล้วก็ซิ่วหยวนที่อยู่ข้างกายเฉียวอี๋เหนียงที่อายุไล่เลี่ยกัน”