บรรยากาศในห้องโถงหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
อวิ๋นปี้ลั่วก้มหน้าลง ไม่มีใครสังเกตเห็นเส้นโค้งที่อยู่บนริมฝีปากของนาง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ”เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่านางไปจากที่นี่แล้ว”
“กระหม่อมหาตัวพระชายาไม่พบมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เงาเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ ”คุณชายรองเฮยก็หายตัวไปเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็กำแน่นเข้าหากัน ข้อนิ้วที่ซ่อนอยู่ภายในแขนเสื้อของเขากลายเป็นสีขาว
พวกเขาได้ยินเสียงฮือฮาดังขึ้นจากฝูงชน ”แม้แต่คุณชายรองเฮยก็หายตัวไปด้วยหรือ”
“หึ! ในความคิดของข้า คุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนคงกลัวสถานการณ์ข้างนอกนั่นจนหัวหด แต่นางก็ยังไม่ลืมที่จะพาถ่านไฟเก่าของตัวเองหนีไปด้วย!”
เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบนินทาที่เกิดขึ้นรอบตัว อวิ๋นปี้ลั่วก็เผลอชำเลืองมองไปทางไป๋หลี่เจียเจวี๋ยราวกับนางต้องการปลอบโยนเขา หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย นางจึงกล่าวว่า ”ฝ่าบาทเพคะ การที่เวยเวยเลือกทำเช่นนั้นย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อย่างไรหากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เป็นใครก็คงล้วนแต่รู้สึกอยากจะหนีไปทั้งนั้นเพคะ ท่าน…”
อวิ๋นปี้ลั่วเงยหน้าขึ้น คิดว่านางจะได้เห็นสีหน้าเดือดดาลของเขา แต่คาดไม่ถึงเลยว่านางจะอ่านอารมณ์ที่อยู่บนใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ออก เขาเล่นกับแหวนหยกสีดำที่นิ้วโป้งโดยไม่คิดที่จะเหลือบตาขึ้นเลยด้วยซ้ำ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แม้แต่เงาทมิฬก็ยังทำอะไรไม่ถูก และไม่สามารถทำความเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายได้เช่นกัน ในแวบแรกนั้น เขาคิดว่าแม่นางอวิ๋นกำลังช่วยพูดแทนพระชายาอยู่
พระชายาไปจากที่นี่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่จะด้วยเพราะมีเหตุผลที่แท้จริงอันใดนั้นก็ยังไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากด่วนสรุปไปเสียก่อน
แต่ทำไมพระชายาถึงได้คิดที่จะไปจากที่นี่ล่ะ
ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เอ่ยปากขึ้นหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฮ่อเหลียนเวยเวยแต่อย่างใด น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนไม่แยแสและเย็นชา แต่ในความเป็นจริงนั้นทุกคนต่างก็เห็นว่าในดวงตาเรียวยาวของเขามีคำว่าตายปรากฏอยู่ ”พาคนที่ต้องการออกไปจากที่นี่ออกไปก่อน แล้วก็อีกอย่าง ใครบอกเจ้าหรือว่านางหนีไปแล้ว”
ทุกคนเสียวสันหลังวาบกับน้ำเสียงที่เขาใช้
พวกเขานึกไม่ออกว่าทำไมพวกเขาถึงได้รู้สึกเสียวสันหลังเช่นนี้ ทั้งที่พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่จะได้ออกไปจากที่นี่ในไม่ช้า
ในเวลาเดียวกัน เงาทมิฬที่รู้ทุกอย่างเป็นอย่างดีก็ผงกศีรษะรับคำสั่ง ในตอนแรกนั้นคำพูดของฝ่าบาทเป็นคำพูดที่เกิดขึ้นจากความโมโหเท่านั้น
แต่ในเวลานี้ ฝ่าบาทกำลังโกรธจนควันออกหู
เหตุผลอาจจะมาจากการที่คนเหล่านั้นพูดจาว่าร้ายพระชายาเมื่อครู่กระมัง
“ฝ่าบาท!” เมื่อเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ยอมทำตามคำแนะนำ ดวงตาของอวิ๋นปี้ลั่วก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นางก้าวยาวๆ เดินตามหลังเขาเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว ”หม่อมฉันรู้ว่าท่านคงรู้สึกลำบากใจที่แม่นางเวยเวยหนีไป แต่อย่างไรมันก็เกิดขึ้นแล้ว เงาทมิฬก็รายงานท่านไปแล้วเมื่อครู่นี่เพคะ เมื่อตอนที่ท่านยังเด็ก ท่านเคยบอกกับหม่อมฉันว่าสิ่งที่ท่านเกลียดที่สุดคือการถูกทรยศ หม่อมฉันรู้สึกเสียใจกับเรื่องนั้นมาตลอดหลายปี หากตอนนั้นหม่อมฉันอยู่เคียงข้างฝ่าบาท ฝ่าบาทจะปฏิบัติกับหม่อมฉันดีขึ้นกว่าในเวลานี้หรือไม่เพคะ”
“ใครทำให้เจ้าเข้าใจผิดๆ เช่นนี้ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มราวกับเย้ยหยัน เขาหยิบถ้วยชาขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน แล้วเล่นกับเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือ อาจเป็นเพราะเอกลักษณ์ประจำตัวของเขานี่เองที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาถืออยู่ในมือคือตัวหมากสำหรับศึกชี้ชะตา ไม่ได้เป็นเพียงถ้วยชาธรรมดา ยิ่งกว่านั้นการที่เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง และทอดสายตามองออกไปนั้นก็ยังดูเหมือนกับผู้ปกครองที่กำลังรอเวลาอันเหมาะสมในการลงมือ และเปิดศึกอันงดงาม
อวิ๋นปี้ลั่วตกใจกับคำพูดของเขา นางหน้าซีด แต่ก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ ”หม่อมฉันเข้าใจว่ามันคงยากที่หม่อมฉันจะได้รับการให้อภัยจากฝ่าบาท แต่เป็นใครก็คงต้องกลัวกันทั้งนั้นหากพวกเขาเห็นแสงสีทองออกมาจากตาของเด็กเช่นนั้น ในเวลานั้นท่านโหดเหี้ยมมากเสียจนน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าฝูงหมาป่าเสียอีก หม่อมฉันไม่ได้ทอดทิ้งท่านนะเพคะ หม่อมฉัน… หม่อมฉันเพียงแค่จะไปขอความช่วยเหลือเท่านั้น”
ในเวลานั้นฝ่าบาทเลือดอาบไปทั้งตัว และดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก เขาอายุเพียงแค่สิบขวบ แต่เขากลับหัวเราะออกมาได้ทั้งที่ยืนอยู่ท่ามกลางแอ่งเลือด มันดูเหมือนกับว่าเขารู้สึกอภิรมย์ไปกับการสังหารหมู่นั้นยิ่งนัก
ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมาได้ จะมีก็แต่เพียงปีศาจเท่านั้น… มีแค่ปีศาจเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ได้
แต่ต่อมาเด็กคนนั้นก็มียศสูงขึ้นเรื่อยๆ และตอนนั้นนั่นเองที่นางรู้ว่านางทำผิดพลาดไป
แต่นางก็ขอโทษแล้วไม่ใช่หรือ
ทำไมฝ่าบาทถึงไม่ยอมให้โอกาสข้าอีกครั้งล่ะ!
อวิ๋นปี้ลั่วกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น พลางกัดริมฝีปากบางของตน แล้วกล่าวว่า ”แล้วเฮ่อเหลียนเวยเวยล่ะเพคะ ตอนนี้นางกลัวท่านมากกว่าหม่อมฉันเสียอีก มิหนำซ้ำยังหลบหน้าท่านทุกครั้งที่เห็นอีกด้วย ท่านลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วหรือเพคะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดเล่นกับถ้วยชาในมือไปครู่หนึ่งทันทีที่ได้ยินเรื่องนั้น
ปัง!
เสียงอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับประตูของสำนัก เกิดเป็นเสียงดังสนั่นจนน่าตกใจ
ทหารราบจำนวนมากพังประตูเข้ามา และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่แม้แต่จะเสียเวลาปรายตามองอวิ๋นปี้ลั่ว ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่จือฝู่ที่บุกเข้ามา เขายังคงดูสูงศักดิ์เย็นชาเช่นเคย รอยยิ้มในดวงตาของเขายิ่งแผ่กว้างขึ้นไปอีก แต่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้นกลับมีอารมณ์อันลึกล้ำซ่อนอยู่
“ดูเหมือนข้าจะไม่ได้โกรธมานานแล้ว แต่น่าเสียดายนักที่วันนี้ข้าอารมณ์ไม่ดี…”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็พลิกมือข้างซ้ายของตนอย่างช้าๆ พลังปราณอันรุนแรงและรวดเร็วปรากฏขึ้นจากอากาศอันบางเบา
ทหารที่บุกเข้ามามองเห็นการเคลื่อนไหวของเขาได้ไม่ชัดเจนนัก
แต่เพียงพริบตาเดียว ร่างของคนเหล่านั้นก็ระเบิดออกพร้อมกัน เลือดอุ่นๆ สาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทาง
“อ๊าก!!” เสียงร้องอันน่าเวทนาดังก้องไปทั่วบริเวณ มีทหารหลายสิบคนที่ร่างกายระเบิดออกมาพร้อมกัน เลือดและเนื้อของพวกเขาสาดท่วมตัวจือฝู่ที่ยืนอยู่ไกลๆ
แขนขาของจือฝู่คนนั้นสั่นเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนกับจะหายใจไม่ออก ใบหน้าของเขาซีดเซียว ฟันของเขากระทบกัน เขาแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นตรงนั้นเลยทีเดียว!
นอกจากนั้นเขาก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขาไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียว สิ่งเดียวที่เขาทำได้นั้นคือการจ้องมองชายที่เป็นราวกับปีศาจร้ายซึ่งกำลังย่างสามขุมเข้ามาหาเขาอย่างตกตะลึงเท่านั้น
“จือฝู่ ท่านมาหาข้าไม่ใช่หรือ ทำไมไม่พูดอะไรสักคำเลยล่ะ” ชายคนนั้นกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง
แต่สำหรับจือฝู่แล้ว รอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้ดีไปกว่าอาคมปลิดชีพเลยแม้แต่น้อย!
ใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นดูหล่อเหลา แต่สิ่งที่โดดเด่นยิ่งกว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นคือความกดดันที่เขาแผ่ออกมาต่างหาก
ความรู้สึกนั้นยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเย็นชาและคมคาย เหมือนกับดาบที่กำลังจะถูกชักออกจากฝัก…
ทันใดนั้นนั่นเอง!
เสียงควบม้าดังสนั่นก็ลอยเข้ามาจากด้านนอกของประตู เสียงที่ว่านั้นจัดว่าดังเอาการทีเดียว ข้างนอกนั่นจะต้องมีม้าหลายพันตัวจึงจะสามารถก่อให้เกิดเสียงเช่นนั้นขึ้นได้
ทหารม้าพร้อมหอกที่ส่องแสงเป็นประกายมาถึงที่นี่แล้ว!
กองทัพศัตรูเข้าล้อมรอบสถานที่แห่งนี้เอาไว้เป็นที่เรียบร้อย การสังหารหมู่ครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!
มู่หรงอ๋องไม่ใช่คนโง่ ขณะที่จือฝู่อยู่ห่างจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในระยะห่างเพียงน้อยนิด เขากลับนั่งอยู่บนหลังม้าที่อยู่ห่างออกไปอีก
เขาสบตากับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจากระยะไกล
เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายจำเขาได้ ดังนั้นเขาจึงใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าของตน ที่ด้านหน้าของเขามีพลธนูยืนอยู่แถวหนึ่ง ทหารเหล่านั้นจะคอยป้องกันเขาจากการโจมตีอย่างกะทันหันของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมองเขาและเยาะยิ้มออกมา เหมือนกับเทพยดาผู้สูงศักดิ์หรือไม่ก็ปีศาจที่กำลังมองมนุษย์ตัวจ้อยไม่ต่างจากมดปลวก ทหารที่อยู่รอบๆ รู้สึกหวาดกลัวกับท่าทางเย็นชาและทรงอำนาจนั้น ”มู่หรงอ๋อง เจ้าช่างกล้าดีเสียจริง เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าล้างโคตรตระกูลของเจ้าหรือ”