ฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักใหญ่คนเดียว มีเพียงขันทีสองคนที่มาทูลรายงาน และขันทีตัวน้อยที่ติดตามก่อนเสด็จออกมา ส่วนคนอื่นต่างอยู่ในตำหนักใหญ่
องค์รัชทายาททรงรับรองแขกแทนฮ่องเต้ แต่บรรดาแขกเหรื่อหมดอารมณ์วิจารณ์บทกลอนกันแล้ว พวกเขาต่างคาดเดาว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เฉินตันจูที่อยู่ท่ามกลางแขกหญิงในสวนดอกไม้เป็นอันใด
เฉินตันจูไม่พอใจที่นางไม่ได้รับเลือกเป็นพระชายาจึงลงมือตีคนหรือ
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะซักถามองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทตรัสอย่างระอาว่าเขาก็ไม่รู้ เพราะเขาติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้ตลอด ไม่ว่าทางนั้นจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับเขา
แต่องค์รัชทายาทก็ทรงเป็นกังวลเล็กน้อย เรื่องจะเป็นเหมือนกับที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ ท่านอ๋องฉีจะป่วนงานเลี้ยงเพื่อเฉินตันจูหรือไม่
“เจ้ามั่นใจว่าท่านมหาราชครูทำตามที่รับสั่งแล้ว?” เขาถามขันทีผู้นั้นเสียงเบา
ขันทีพยักหน้า “กระหม่อมบอกกล่าวถึงเจตนา ท่านมหาราชครูไม่ลังเลที่จะปิดประตูสักการะแม้แต่น้อย ไม่นานนักก็เรียกกระหม่อมเข้าไป ชี้ถุงแห่งโชคสามใบให้กระหม่อมดู บอกว่าอีกใบเป็นน้ำใจของเขา”
อีกใบคือใบที่ให้องค์ชายหก องค์รัชทายาทพยักหน้า
“พุทธธรรมสามใบล้วนเหมือนกัน” ขันทีพูดเสียงเบา “กระหม่อมตรวจดูเองจึงใส่เข้าไป จากนั้นท่านมหาราชครูยังเรียกให้ศิษย์ของเขานำถุงแห่งโชคมาเอง”
ถุงแห่งโชคไม่ได้ผ่านมือเขาแม้แต่น้อย หากเกิดเรื่องขึ้นมาก็ไม่อาจสงสัยมาถึงตัวเขาได้
“กระหม่อมถือถุงแห่งโชคสามใบไว้ตลอด เมื่อเดินทางเข้าตำหนักใหญ่ในพระราชวัง กระหม่อมถึงได้มอบให้อาจารย์เสวียนคง”
จากนั้นอาจารย์เสวียนคงท่านนั้นจึงใช้โอกาสที่กำลังถอยออกไปทูลต่อองค์รัชทายาท จากนั้นจึงเกิดภาพลวงถวายสิ่งของให้องค์รัชทายาทขึ้น
ต่อมาถุงแห่งโชคขององค์ชายห้ากับองค์ชายหกมอบให้ฮ่องเต้ ส่วนของเฉินตันจูนั้นถูกขันทีส่งไปให้นางในที่เตรียมไว้ทางพระสนมเสียน ไม่เกิดปัญหาใดทั้งสิ้น คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ล้วนเป็นคนสนิทที่ไว้ใจได้ขององค์รัชทายาท
“ท่านอ๋องฉีอาจอาละวาดขึ้นมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้นี้ทูลตอบเสียงเบา
คงจะเป็นอย่างนี้…ใช่หรือไม่ แต่ลางสังหรณ์ของเขายังคงทำให้เขาไม่สบายใจ ทุกครั้งที่พบเจอเรื่องที่เกี่ยวกับเฉินตันจูล้วนไม่สำเร็จ แต่ว่าก่อนหน้านี้เพราะมีฉู่ซิวหยง โจวเสวียนและแม่ทัพหน้ากากเหล็กคอยแทรกแซง เวลานี้ฉู่ซิวหยงอยู่ในแผนการ โจวเสวียนถูกกันไว้นอกพระราชวัง แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายแล้ว เวลานี้ทั้งพระราชวังไม่มีผู้ใดจะให้ความช่วยเหลือเฉินตันจู ไม่มีผู้ใดชื่นชอบนาง มีแต่จะหลบหลีกนาง…
เฉินตันจูมีเพียงตัวคนเดียว
องค์รัชทายาทเดินออกจากขันทีผู้นั้นมายังท่ามกลางผู้คน ในขณะที่เขากำลังจะเรียกให้ทุกคนดื่มสุราต่อนั้น ด้านนอกมีเสียงโหวกเหวกดังขึ้น ขันทีกลุ่มหนึ่งนำบรรดาแขกสตรีทั้งหลายเดินเข้ามา
กลับมากันทั้งหมดเลยหรือ ผู้คนในตำหนักต่างหมดความสนใจที่จะดื่มสุรา พวกเขาต่างลุกขึ้นซักถาม “เกิดเรื่องใดขึ้น”
“เหตุใดจึงกลับมาแล้ว”
ก่อนจะเห็นว่าท่ามกลางผู้คนนั้นไม่มีฮ่องเต้ พระสนม ท่านอ๋องทั้งสาม รวมทั้งเฉินตันจู
“ฝ่าบาททรงให้พวกเรากลับมาก่อน”
สีหน้าของบรรดาแขกสตรีล้วนซับซ้อนอย่างมาก พวกนางหาสามีของตนเองโดยไม่ทันได้สนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิง
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่” บรรดาบุรุษต่างถามขึ้นอย่างไม่ทันได้สนใจว่าองค์รัชทายาทอยู่ในเหตุการณ์
ในเมื่อฝ่าบาททรงให้คนเหล่านี้กลับมา แสดงว่าไม่คิดจะปิดบัง แต่บรรดาแขกสตรีก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น พวกนางรู้เพียงเรื่องเดียว
“เฉินตันจูจับได้ถุงแห่งโชคที่มีพุทธธรรมห้าใบ”
พุทธธรรมห้าใบ! บรรดาบุรุษต่างตะลึง พุทธธรรมห้าใบคงไม่ได้เหมือนกับของท่านอ๋องทั้งสาม องค์ชายทั้งสองใช่หรือไม่ ความตกตะลึงทั้งหมดหลอมรวมเป็นประโยคเดียว
“หมายความว่า เฉินตันจูมีวาสนากับท่านอ๋องทั้งสาม องค์ชายทั้งสองอย่างนั้นหรือ”
องค์รัชทายาทอยากจะได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับเฉินตันจู แต่เวลานี้องค์ชายที่อยู่ในการถกเถียงนั้นมีมากขึ้นสี่คน
องค์ชายห้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่สำคัญแล้ว
ท่านอ๋องฉีก็ไม่สนใจแล้ว เพราะว่าเขาก็อยู่ในนั้น
เกิดปัญหาขึ้นจริงด้วย
หัวใจขององค์รัชทายาทหนักอึ้ง เขามองไปยังขันทีคนสนิท ความโหดเหี้ยมในดวงตาที่ไม่ปิดบังแม้แต่น้อยทำให้ขันทีผู้นั้นมีสีหน้าซีดเผือด ขาของเขาอ่อนระทวยจนเกือบจะคุกเข่าลง เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
เมื่อเทียบกับความคึกคักในตำหนักด้านหน้า ทางตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ยังคงสงบ แต่ก็มีเสียงดังขึ้น เหล่าขันทีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกต่างเงี่ยหูฟัง เหมือนว่าองค์ชายหกจะทรงตื่นแล้ว
พวกเขาผลักประตูเข้าไป พบว่าม่านถูกเปิดขึ้น องค์ชายอายุน้อยเอนพิงอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าซีดเผือด เส้นผมสีดำขลับแผ่สยาย…
เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา องค์ชายอายุน้อยเผยรอยยิ้มอ่อนแรง พูดเสียงเบา “ลำบากกงกงทั้งหลาย ข้าอยากกินไก่ต้ม ใช้สาลี่ห้าแผ่น เก๋ากี่เจ็ดเม็ด เหล้าหวานสามช้อนต้มให้ข้าเถิด”
ช่างอ่อนแอน่าสงสาร แม้แต่การกินอาหารยังน่าเอ็นดูเพียงนี้ หัวใจของขันทีทั้งหลายเกือบหลอมละลาย พวกเขารีบตอบรับ “องค์ชายรีบนอนต่ออีกหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“กระหม่อมจะไปบอกพวกเขาบัดนี้”
“องค์ชายวางใจ กระหม่อมจะทำตามรับสั่งขององค์ชาย ไม่ให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย” พวกเขาถอยออกไปพร้อมกับปิดประตูอย่างใส่ใจ เหลือคนคอยฟังรับสั่งเพียงผู้เดียว ส่วนคนอื่นต่างไปยังห้องเครื่อง
ฉู่อวี๋หยงนั่งตัวตรงอยู่บนเตียง มัดผมขึ้นมา พยักหน้ากับหวังเจียน “ที่แท้เป็นฝีมือของท่านมหาราชครู ข้าก็ว่า เฟิงหลินคนเดียวคงไม่ราบรื่นเพียงนี้”
ฮ่องเต้พาเขาเข้ามาจากในจวนองค์ชาย อนุญาตให้นำหวังเจียนกับอาหนิวมาด้วยเท่านั้น เหล่าองครักษ์ของเขาล้วนไม่ได้ติดตามมา แต่ว่ามันก็ไม่อาจกีดขวางการส่งข่าวของเขา อย่างไรพระราชวังแห่งนี้ เขาเข้ามาเป็นคนแรก อีกทั้งเขาทำความคุ้นเคยกับพระราชวังแห่งนี้คนแรก เหล่าคนในวังที่เชื่อถือได้ที่สุดล้วนได้รับการคัดเลือกจากเขา…ถึงแม้ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กจะตายไปแล้ว แต่คนของท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กยังมีชีวิตอยู่
หวังเจียนลูบเครา “พระชราผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ เฟิงหลินบอกว่าเขาไม่ได้ออกแรงเกลี้ยกล่อมแม้แต่น้อย พระชราผู้นี้ก็กระโดดเข้ามาเอง ถึงแม้องค์ชายจะให้คำมั่นว่าจะรับผิดชอบเรื่องในวันนี้แต่เพียงผู้เดียว แต่เขาก็กล้าเชื่อคนที่ไม่รู้จักไร้ชื่อไร้นามไร้หลักไร้ฐานอย่างเฟิงหลินอย่างนั้นหรือ”
หากเป็นเมื่อก่อนเขาอาจคิดว่าพระชราเสียสติไปแล้ว แต่เวลานี้ ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “ไม่ได้เสียสติ อีกทั้งเขาไม่ได้เชื่อข้า แต่เขาเชื่อคุณหนูตันจู”
เฉินตันจู? หวังเจียนหัวเราะสองที “ก็จริง คุณหนูตันจูมีความสามารถเสียจริง ทำให้องค์ชายหกบ้าคลั่งได้”
ฉู่อวี๋หยงยิ้มแต่ไม่พูด
หวังเจียนฟังอาหนิวที่กินขนมเสียงดังอยู่ด้านข้าง ตำหนิด้วยความขุ่นเคือง “เจ้ากินนานแค่ไหนแล้วยังไม่พออีกหรือ”
อาหนิวเหลือบมองเขา ยัดขนมเข้าปากมากยิ่งขึ้น
ไม่เคยทำให้สบายใจทั้งตัวเล็กทั้งตัวใหญ่ หวังเจียนยังคงมองฉู่อวี๋หยง “ถึงแม้ท่านจะเคยตรัสไปแล้ว แต่เวลานี้ข้ายังคงอยากทูลถาม ท่านรู้ผลในการทำเช่นนี้จริงหรือ”
ฉู่อวี๋หยงพูด “รู้สิ”
หวังเจียนกัดฟัน “ท่าน ท่านกำลังเปิดเผยสิ่งปิดบังทุกอย่าง ท่าน ท่าน…”
ฉู่อวี๋หยงตรัสต่อ “ข้าเปิดสิ่งปิดบังทุกอย่างออก ฝ่าบาทก็ไม่ต้องทรงปิดบังต่อข้าแล้ว ไม่ดีหรือ”
เขาเรียกว่าฝ่าบาท ไม่ใช่เสด็จพ่อ มันย่อมมีความแตกต่าง หวังเจียนผงะ ฉู่อวี๋หยงลุกขึ้นยืนแล้ว
“อาหนิว” เขาเรียก “ไปเรียกคนเถิด ควรพาข้าไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อแล้ว”
…
ริมทะเลสาบในสวนดอกไม้ไร้ซึ่งความคึกคักก่อนหน้านี้ บรรดาแขกสตรีต่างจากไป พระสนมเสียนและพระสนมสวีต่างยืนอยู่ ภายในศาลามีเพียงฮ่องเต้ทรงประทับอยู่คนเดียว
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นจริงๆ เพคะ” พระสนมเสียนก้มหน้าพูด น้ำเสียงสั่นเครือ
ฮ่องเต้กวาดตามองนางอย่างเย็นชา จากนั้นมองไปทางพระสนมสวี
พระสนมสวีรีบทูล “ฝ่าบาท หม่อมฉันยิ่งไม่รู้เพคะ หม่อมฉันไม่ได้จับถุงแห่งโชคของคุณหนูตันจูเพคะ”
พวกนางสองคนต่างมีนางในของตนเองดูแลถุงแห่งโชค พวกนางต่างถือถุงแห่งโชคของพระชายาบุตรชายตนเอง จากนั้นดำเนินการตามแผนการอย่างไม่รบกวนซึ่งกันและกัน
“ฝ่าบาท” เฉินตันจูอดพูดขึ้นไม่ได้ “เหตุใดจึงไม่อาจเป็นเพราะบุญบารมีของหม่อมฉัน…”
สายตาของฮ่องเต้จับจ้องนาง “เฉินตันจู ต่อหน้าข้า ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเรื่องบุญบารมี อีกทั้งไม่มีบุพเพสันนิวาสใดๆ ทั้งนั้น”
เขาเป็นฮ่องเต้ เขาคือโอรสแห่งสวรรค์ เขาบอกว่าผู้ใดมีบุญบารมี ผู้นั้นย่อมมีบุญบารมี ผู้ใดกล้ากระโดดออกจากเงื้อมมือของเขา