“อี๋เหนียงเจ้าคะ สืบอะไรไม่ได้เลยเจ้าค่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์พูดอย่างเอือมระอา “ชิวหงกำลังจะแต่งงาน นางขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ไปไหนเลย” พูดจบนางก็เบะปาก “เดิมทีเหวินอี๋เหนียงก็ร่ำรวยอยู่แล้ว ตอนนี้งานแต่งของชิวหงก็ยังได้รับความโปรดปรานจากฮูหยิน นางเงยหน้าจนจะติดฟ้าอยู่แล้ว ทุกวันล้วนแต่ปรึกษาว่าจะจัดงานแต่งของชิวหงเช่นไร ไม่สนใจเรื่องอื่นเลยเจ้าค่ะ เหวินอี๋เหนียงและฮูหยินพูดอะไรกันบ้าง ก็ไม่ยอมบอกบ่าว” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
ฉินอี๋เหนียงพูดอย่างเดือดดาล “ถุ้ย เจ้านี่! ไม่ถามเรื่องราวให้ชัดเจน ข้าจะรู้ได้เช่นไรว่าเหวินอี๋เหนียงทำอย่างไรถึงทำให้ฮูหยินให้ความสำคัญกับนางเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าอิจฉาชิวหงก็ต้องพยายามสิ อย่ามัวแต่ทำหูทวนลม”
ชุ่ยเอ๋อร์หน้าแดง ตอบกลับเบาๆ แล้วกำลังจะออกไป แต่กลับถูกฉินอี๋เหนียงเรียกไว้แล้วบ่นด่าเหมือนเดิม “ไม่มีสมอง มารู้ตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร รอให้ชิวหง ตงหงล้วนแต่แต่งงานกับชายในฝันให้หมด แล้วเจ้าจะเสียใจ” พูดจบก็กวักมือเรียกชุ่ยเอ๋อร์ “มานี่ ข้ามีอะไรจะบอกเจ้า” จากนั้นก็กระซิบกับชุ่ยเอ๋อร์ “เจ้าทำตัวเหมือนไม่มีอะไรทำ ไปสืบที่โรงครัวเล็กของฮูหยิน ดูว่าตอนนี้ฮูหยินสุขภาพแข็งแรงขึ้นแล้วหรือยัง ปกติทานอะไรบ้าง…”
นางยังพูดไม่จบ สีหน้าของชุ่ยเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไป “อี๋เหนียง เช่นนี้ ไม่ค่อยดีกระมังเจ้าคะ!”
ฉินอี๋เหนียงพูดด้วยความโมโห “เจ้าถามอะไรจากตงหงไม่ได้ โรงครัวเล็กก็ไม่กล้าไป สรุปแล้วเจ้าทำอะไรได้บ้าง ตอนนี้ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์ ไม่ประจบประแจงนางตอนนี้ แล้วจะประจบประแจงนางเมื่อไร!”
ชุ่ยเอ๋อร์เข้าใจขึ้นมาทันที รีบตอบรับแล้วออกไป
ออกไปก็เจอกับเฉียวเหลียนฝังและซิ่วหยวนพอดี
นางกำลังลังเลว่าจะเดินเข้าไปคำนับดีหรือไม่ ซิ่วหยวนก็ประคองเฉียวเหลียนฝังเดินผ่านห้องโถงเข้าไปที่เรือนหลักแล้ว
ชุ่ยเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ไปที่โรงครัวเล็ก
ซิ่วหยวนไม่ได้สังเกตเห็นชุ่ยเอ๋อร์ นางพูดกับเฉียวเหลียนฝังเบาๆ “อี๋เหนียงเจ้าคะ ฮูหยินเรียกท่านไปหา มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบายใจ
“ไปแล้วประเดี๋ยวก็รู้!” เฉียวเหลียนฝังพูดอย่างเรียบเฉย
“อี๋เหนียงเจ้าค่ะ” ซิ่วหยวนขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยเกลี้ยกล่อมเฉียวเหลียนฝัง ก็มีสาวใช้เข้ามาคำนับพวกนางพอดี จึงกลืนคำพูดลงไป
เฉียวเหลียนฝังเปิดม่านขึ้นเดินเข้าไปข้างใน
สืออีเหนียงมาเจอนางที่ห้องโถง
“ซิ่วหยวนไม่เด็กแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องปล่อยนางออกไปแล้ว ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ไม่ค่อยได้ดูแลเรื่องบางเรื่อง ดังนั้นจึงเรียกเจ้ามาปรึกษา ซิ่วหยวนคือคนที่เจ้าพามาด้วยจากสกุลเฉียว เรื่องแต่งงานของนาง เจ้าจะตัดสินใจให้นางเอง หรือว่าปล่อยนางกลับบ้านให้บิดามารดาของนางตัดสินใจให้นาง?”
ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนว่านางไม่อยากยุ่งเรื่องของซิ่วหยวน
เฉียวเหลียนฝังได้ฟังแล้วก็ตกใจ แต่ก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล
นางครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เรื่องพวกนี้ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่หากฮูหยินเห็นด้วย ข้าอยากจะปรึกษากับท่านแม่ของข้าเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงไม่ว่าอะไร เพียงบอกคนให้ไปเชิญนายหญิงเฉียวมาที่จวน จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมา
ทันทีที่นายหญิงเฉียวได้ข่าว ก็รีบมาที่จวนสกุลสวี
มีสาวใช้มารายงานสืออีเหนียง ผ่านไปไม่นาน ลี่ว์อวิ๋นก็เปิดม่านออกมา ยืนยิ้มอยู่บนบันไดแล้วพูดว่า “ฮูหยินของเรากำลังยุ่งเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็เรียกสาวใช้เข้ามาแล้วบอกว่า “พานายหญิงเฉียวไปที่เรือนของเฉียวอี๋เหนียง” จากนั้นก็หันหลังเข้าไปในห้องโถง
นายหญิงเฉียวมองดูม่านที่แกว่งไปมาสองสามครั้ง นางรู้สึกโมโหแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ผ่านไปครู่หนึ่งก็เดินตามสาวใช้ไปที่เรือนของเฉียวเหลียนฝัง
สืออีเหนียงกำลังพูดเรื่องก่วนชิงกับเหวินอี๋เหนียง “…เช่นนี้ แสดงว่าเป็นคนซื่อสัตย์”
เหวินอี๋เหนียงพยักหน้า “เป็นคนฉลาด แต่ว่าครอบครัวค่อนข้างยากจน ทำอะไรก็หวาดกลัว จึงทำให้เขากลายเป็นคนระมัดระวังตัวอย่างมาก”
สืออีเหนียงรู้สึกพึงพอใจ
พ่อบ้านไป๋ให้ก่วนชิงทำงานกับผู้ดูแลที่รับผิดชอบซ่อมแซมเรือนที่ตรอกจินอวี๋ สืออีเหนียงจึงมอบงานให้เขาสองสามงาน ถึงแม้ว่าเขายังมีประสบการณ์ไม่พอ แต่ก็เป็นคนประพฤติตัวตามกฎระเบียบ ไม่ก่อเรื่องอะไร แล้วยังหาโอกาสให้หู่พั่วไปลอบดูก่วนชิง
หู่พั่วนึกขึ้นได้ว่าตอนที่สืออีเหนียงเเต่งงานเข้ามาในจวนสกุลสวีนางก็มีอุปสรรคมากมาย แต่ตอนนี้ก็มีชีวิตที่ดีได้ นางจึงแค่ถามว่าก่วนชิงกตัญญูต่อบิดามารดาหรือไม่ ส่วนเรื่องอื่นนั้นนางไม่อยากได้อะไร
สืออีเหนียงจึงให้ป้าซ่งส่งข่าวไปให้ป้าตู้ อยากกำหนดเรื่องนี้เสีย
ครอบครัวสกุลก่วนราวกับได้รับพรจากสวรรค์ก็ไม่ปาน พวกเขายิ้มหน้าบาน บ่าวรับใช้ในจวนล้วนแต่รู้ว่าหู่พั่วจะแต่งเข้าสกุลก่วน บรรดาสะใภ้และป้ารับใช้ที่ปกติไม่เดินไปไหนมาไหน ก็ต่างพากันมาแสดงความยินดีกับสกุลก่วน ทำเอาไท่ฮูหยินสงสัยจึงเรียกหู่พั่วมาพูดคุย
“หน้าตาเรียบร้อยจริงๆ” ไท่ฮูหยินจับมือนาง สำรวจมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็บอกป้าตู้ “นำชุดสีแดงที่จัดออกมาเมื่อสองวันก่อนให้เจ้าหนูนี่”
ป้าตู้ยิ้มพลางตอบรับแล้วเดินออกไป
หู่พั่วหน้าแดง นางย่อเข่าคำนับเอ่ยขอบพระคุณซ้ำๆ ถือชุดที่ไท่ฮูหยินมอบให้กลับไปที่เรือนของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเห็นว่าชุดพวกนั้นยังเป็นชุดใหม่ ล้วนแต่เป็นผ้าไหมชั้นดีทั้งหมด จึงยิ้มแล้วพูดว่า “สองสามวันนี้เจ้าก็จัดการเสียเถิด ฤดูใบไม้ร่วงจะได้ทันใส่”
วันแต่งงานของหู่พั่วถูกกำหนดไว้เดือนเก้า
ลี่ว์อวิ๋นและคนอื่นๆ ล้วนยิ้มแย้ม แต่หู่พั่วกลับหน้าแดง
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเลิกเรียนแล้ว เมื่อมาเห็นเสื้อผ้าสีสันสดใสกระจัดกระจายอยู่บนเตียงเตาของสืออีเหนียง ก็เอ่ยถาม “ท่านแม่ตัดเสื้อใหม่หรือขอรับ”
กำหนดวันแต่งงานกับก่วนชิงแล้ว แต่หู่พั่วก็ยังคงคอยรับใช้สืออีเหนียงอยู่ข้างๆ ราวกับคนไม่มีเรื่องอันใด แต่สายตาที่คนอื่นมองนางกลับไม่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าสีหน้าของหู่พั่วจะเรียบเฉย แต่ในใจของนางก็ยังเขินอาย เมื่อได้ยินสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยถามเช่นนี้ ก็กลัวว่าลี่ว์อวิ๋นและคนอื่นจะพูดอะไรที่ทำให้นางยิ่งรู้สึกขวยเขิน จึงพาสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยออกไปล้างมือ “…ฮูหยินบอกให้โรงครัวทำก๋วยเตี๋ยวเย็นเส้นใสเจ้าค่ะ”
เด็กสองคนนั้นก็ตามหู่พั่วไปด้วยความชอบอกชอบใจ
มีเสียงหัวเราดังขึ้นมาจากข้างหลัง
ฉาเซียงและซิ่วเอ๋อร์จะกล้ารบกวนหู่พั่วได้เช่นไร นางรีบพูด “พี่หญิงมีธุระอะไรก็รีบไปจัดการเถิด! พวกเราดูแลคุณชายน้อยเองเจ้าค่ะ!”
หู่พั่วรู้สึกผิด ได้ยินฉาเซียงและซิ่วเอ๋อร์พูดเช่นนี้ จึงโยนสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยให้พวกนางแล้วพูดว่า “พวกเจ้ารับใช้คุณชายน้อย ข้าไปดูที่โรงครัว” จากนั้นก็รีบกลับไปที่ห้องโถง
เป็นเรื่องยากที่จะได้เห็นท่าทีเขินอายของหู่พั่ว ฉาเซียงและซิ่วเอ๋อร์หันมามองหน้ากัน จากนั้นก็ตักน้ำให้สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยล้างมือ
สวีซื่อจุนถามฉาเซียง “พี่หู่พั่วเป็นอะไรไป ทำไมนางดูเขินอายขนาดนั้น!” เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นสาวใช้แปลกหน้าคนหนึ่งเปิดม่านที่ห้องโถงแล้วมองเข้ามา
ช่วงนี้ในจวนปล่อยสาวใช้ออกไปตั้งหลายคน ป้าซ่งกำลังฝึกสาวใช้ใหม่
สวีซื่อจุนไม่สนใจ ล้างมือเสร็จเขาก็ไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
แต่กลับเห็นสาวใช้คนนนั้นกวักมือเรียกพลางขยิบตาให้เขาด้วยสีหน้ารีบร้อน
สวีซื่อจุนตกใจ ค่อยๆ เดินช้าลงเพื่อรั้งท้ายอยู่ข้างหลังแล้วพูดว่า “ฉาเซียง ข้าจะไปห้องน้ำ” พูดจบ ก็ไม่สนใจว่าฉาเซียงได้ยินหรือไม่ รีบรุดออกไปจากห้องโถง แล้วเดินไปที่เรือนปีกของสวีซื่อเจี้ย
ยามที่ฉาเซียงและคนอื่นๆ ได้สติขึ้นมา ก็ไม่เห็นเงาของสวีซื่อจุนแล้ว
พวกนางรีบเดินออกไป ก็เห็นสาวใช้แปลกหน้าสองสามคนรับใช้สวีซื่อจุนไปที่เรือนปีกของสวีซื่อเจี้ย คิดว่าเป็นสาวใช้ที่เข้ามาใหม่ พวงนางจึงรีบเดินตามไป สาวใช้คนนั้นยืนเปิดม่านให้พวกนางหน้าประตู ฉาเซียงหยุดเดิน เหลือบมองสาวใช้คนนั้น สาวใช้คนนั้นก็รีบยิ้มเหมือนสาวใช้ทั่วไป ทำสีหน้าประจบประแจง
ฉาเซียงทำท่าทีอกผายไหล่ผึ่งแล้วเดินเข้าไปในเรือนปีก
สวีซื่อจุนนั่งอยู่บนโถชำระ นึกถึงคำพูดของสาวใช้คนนั้น
“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดฮูหยินสี่คนก่อนแล้วเจ้าค่ะ ถึงเดือนหกก็เป็นวันเกิดของซื่อจื่อ ป้าเถาบอกว่า ปีนี้นางไม่ได้อยู่ที่จวน มาแสดงความยินดีด้วยตัวเองไม่ได้ ซื่อจื่ออย่าได้ถือสา หากซื่อจื่อว่าง โปรดไปจุดธูปให้ฮูหยินสี่คนก่อนที่ศาลบรรพชนในวันเกิดของนางด้วยเถิด ฮูหยินสี่คนก่อนที่อยู่บนสวรรค์จะได้ปกป้องซื่อจื่อให้ปลอดภัย ไม่ถูกคนชั่วร้ายรังควานเจ้าค่ะ”
ความทรงจำอันยาวนานก็ผุดขึ้นมา
เขาจำได้เสมอว่า วันเกิดของท่านแม่คือวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนห้า ทุกครั้งที่ถึงวันนี้ ป้าเถาก็จะมาเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวใหม่ให้เขาแต่เช้า อุ้มเขาไปที่เรือนของท่านแม่ ตอนที่เดินผ่านชายคา บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ รวมทั้งผู้ดูแลหญิงที่ยืนอยู่ใต้ชายคาในลานล้วนแต่ก้มหน้าก้มตา
ท่านแม่จะนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างห้องข้างใน แล้วบนโต๊ะเตียงเตาก็จะเต็มไปด้วยอาหารที่เขาโปรดปรานทุกอย่าง
ทันทีที่เขาเข้าไป ท่านแม่ก็จะกางแขนออก
เมื่อป้าเถาอุ้มเขาไปไว้ในอ้อมแขนของท่านแม่ นางก็จะกอดเขาเอาไว้แน่น จมูกของเขาก็จะได้กลิ่นหอมของยาอ่อนๆ ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
ท่านแม่จะชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะเตียงเตาแล้วถามเขาว่า ‘เจ้าอยากทานอะไร’
ป้าเถาก็จะเดินเข้ามาบ่น ‘ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายน้อยสี่ทานข้าวต้มมาครึ่งชามแล้ว หากทานอีก ประเดี๋ยวจะท้องอืดเอาได้’
ท่านแม่ก็ไม่โกรธอะไร นางแค่ยิ้ม
ในขณะนั้นเอง ของขวัญของท่านพ่อก็มาถึงพอดี
มักจะเป็นกระดาษบางๆ
ท่านแม่ไม่แม้แต่จะชายตาดู เพียงบอกให้ป้าเถานำไปเก็บ
จากนั้นก็หอมแก้มเขาอย่างอ่อนโยน ‘เก็บของพวกนี้ไว้ เอาไว้ให้จุนเกอของเราในภายภาคหน้า’
นานมากแล้ว ที่ตนไม่ได้กลิ่นหอมของยาอ่อนๆ ที่อบอวลไปด้วยความอ่อนโยนจากอ้อมแขนของท่านแม่…
เขาก้มหน้าลง น้ำตาคลอเบ้า
*****
สวีซื่อจุนออกมาจากห้องชำระ เขาถือสมุนไพรอาบน้ำแล้วถามฉาเซียง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันเกิดมารดาของข้าคือเมื่อไร”
ฉาเซียงตกใจ
ตอนที่หยวนเหนียงเป็นคนดูแลจวนนางพึ่งจะเข้ามาในจวน พึ่งจะถูกส่งไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน หยวนเหนียงก็เสียชีวิตไปแล้ว นางจะจำได้เช่นไร
“คุณชายน้อยสี่ ทำไมจู่ๆ ถึงถามเช่นนี้เจ้าคะ” นางยิ้ม “หรือว่า เราจะไปถามป้าตู้ดี?”
เช่นนั้นก็หมายความว่า นางไม่รู้!
สวีซื่อจุนพูดอย่างเรียบเฉย “ช่างมันเถิด ข้าก็แค่ถาม”
ฉาเซียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กลับมาที่เรือนปีกทางทิศตะวันออก ก๋วยเตี๋ยวเย็นเส้นใสก็เสร็จพอดี
ก๋วยเตี๋ยวเย็นเส้นใสที่ขาวราวกับหิมะ น้ำแกงสีน้ำตาล ทำเอาคนที่เห็นรู้สึกหิวขึ้นมา
สืออีเหนียงถามสวีซื่อจุน “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
สวีซื่อจุนมองดูสายตาที่เป็นห่วงเป็นใยของสืออีเหนียง ในหัวของเขาพลันสับสนอลหม่าน ภาพที่แขวนอยู่บนผนังกับคนที่อยู่ตรงหน้า ราวกับคนๆ เดียวกัน…
“เป็นอะไรไป” น้ำเสียงเป็นกังวลของสืออีเหนียงดึงเขาออกมาจากภวังค์
สวีซื่อจุนมองดูสืออีเหนียง
ท่านแม่คนนี้กับท่านแม่คนนั้นไม่เหมือนกัน
บนภาพที่แขวนอยู่ ท่านแม่หน้าตางดงามแต่สายตาว่างเปล่า มีรอยยิ้มอันแผ่วเบาแต่กลับแฝงไว้ด้วยความโศกเศร้า ท่านแม่คนนี้ก็ชอบยิ้มอย่างแผ่วเบาแต่สายตาของนางนั้นสดใสดูมีชีวิตชีวา
“ไม่…ไม่เป็นไรขอรับ!” สวีซื่อจุนส่ายหน้าเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าท่านแม่ทั้งสองคนนี้ไม่เหมือนกันเลย “ข้าสบายดี!”