บทที่ 411 รสชาติถูกต้องหมด ท่านเซียนมิได้เอ่ยส่งเดชจริงด้วย!
ไม่มีจรรยาบรรณเอาเสียเลย!
เซี่ยเหยียนขัดใจนัก นางรู้ว่าพี่หญิงหลิงอินกำลังหยอกนางเล่น
ทว่าคิดดูแล้ว นางในครานั้น ‘บ้องแบ๊ว’ ใช้ได้ ริอ่านคิดข่มพี่หญิงหลิงอิน…
นั่นเป็นถึงจ้าวสูงสุดแห่งโบราณกาลมาเกิดใหม่เชียวนะ เด็กน้อยอย่างนางไฉนเลยจะเป็นคู่มือของพี่หญิงหลิงอิน
หลี่จิ่วเต้านึกถึงเรื่องในคราวนั้นขึ้นมาได้เช่นกัน ครานั้น เซี่ยเหยียนกับหลิงอินดูเป็น ‘ปรปักษ์’ ต่อกันอยู่นิดหน่อย
เขาเอ่ยหยอกขำขัน “ใช่แล้ว ว่าไปแล้ว เซี่ยเหยียนรู้จักกับข้ามานานที่สุด ข้าสอนสั่งไว้มากที่สุด”
แม้นเป็นวาจาหยอกเย้า ทว่าก็เป็นความจริงเช่นกัน
เขาสอนหลิงอินกับเสี่ยวหยาไปไม่น้อยเช่นกัน แต่ไม่มากเท่าที่สอนเซี่ยเหยียนจริง ๆ ช่วยไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้หลิงอินกับเสี่ยวหยามีพรสวรรค์ด้านฉินสูงส่ง เขาบอกนิดหน่อยก็ถึงคราวแตกฉาน
ส่วนเซี่ยเหยียน…
อืม พรสวรรค์สำคัญกว่า เขาแทบจะถอดใจในการสอนนางบรรเลงฉินแล้ว
ชายหนุ่มคิดว่าตนสอนได้ละเอียดมากแล้ว สอนตั้งแต่ศูนย์ อนิจจา เซี่ยเหยียนไร้ซึ่งพรสวรรค์ในด้านฉินจริง ๆ ไม่อาจทำความเข้าใจได้สักครั้ง เสียงฉินที่บรรเลงออกมานั้น เฮ้อ อย่าให้พูดเลยว่าเลวร้ายเพียงใด…
ท่านเซียนก็หักหน้าข้าด้วยหรือ?
เซี่ยเหยียนยิ่งเซ็งเข้าไปใหญ่
ทว่าช่วยไม่ได้ ด้านฉินเป็นด้านที่นางเถียงไม่ได้จริง ๆ…
ไม่ต้องเทียบกับผู้ที่บำเพ็ญวิถีแห่งฉินอย่างหลิงอิน ลำพังปุถุชนที่พอเล่นฉินเป็นบ้างนางยังเทียบไม่ได้
นางยังไม่แตะเท้าเข้าวงการสักนิด คนนอกยิ่งกว่าคนนอกเสียอีก
“คุณชายยังพูดขนาดนี้ พี่หญิงเซี่ยเหยียนคงบรรเลงได้เยี่ยมยอดมากแน่ ๆ หลังจากนี้หากมีเวลา ข้าหวังจากใจจริงว่าพี่หญิงเซี่ยเหยียนจะช่วยชี้แนะข้าบ้าง!”
เสี่ยวหยาไม่รู้ว่าหลิงอินและท่านเซียนแกล้งหยอกเซี่ยเหยียน นางเข้าใจว่าอีกฝ่ายบรรเลงฉินได้ไพเราะจริง ๆ จึงเอ่ยท่าทางจริงจัง
ข้าจะชี้แนะได้อย่างไรเล่า!
เซี่ยเหยียนหงอยจนมิกล้าพูดจา กล้าที่ไหนกัน นางไร้ฝีมือจริง ๆ
หลี่จิ่วเต้ารู้ว่าเซี่ยเหยียนไม่มีฝีมือด้านฉินจริง ๆ จึงหัวเราะแล้วเบนหัวข้อสนทนาออกไป
“เห็นเจ้ามาหน้าระรื่น มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นหรือ”
เขาถามเซี่ยเหยียน
“มีสิ ๆ”
เซี่ยเหยียนรีบต่อความ นางกำลังตอบเสี่ยวหยาไม่ถูก ท่านเซียนช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้นาง
“สองวันนี้ที่ข้าออกไป ได้เจอต้นผลไม้ไม่เลวอยู่หลายต้น ข้าคิดว่าลานเล็กของคุณชายมีทุกอย่าง เพียงแต่ขาดต้นผลไม้ไป จึงนำมาให้”
หญิงสาวกล่าวต่อ “ต้นผลไม้สามต้น ต้นองุ่นต้นหนึ่ง ต้นผิงกั่วต้นหนึ่ง ต้นสาลี่ต้นหนึ่ง เจริญงอกงามกันทั้งนั้น ผลที่งอกเงยก็เยี่ยมยอด จากนี้หากคุณชายอยากกินผลไม้ เอื้อมมือก็เด็ดผลไม้สดใหม่มากินได้แล้ว”
พูดจบ นางก็หยิบต้นผลไม้สามต้นออกมา
ต้นผลไม้สามต้น กิ่งก้านใบไม้ดกกันทั้งนั้น เติบโตได้ดีเยี่ยม ผลที่งอกออกมาล้วนมนกลมสุกสกาว ยวนตายวนใจเป็นอย่างยิ่ง
อสูรฟ้าชิงหนิวสี่ตัวที่อีกด้านหนึ่งเห็นต้นผลไม้สามต้นนี้แล้ว
พวกมันตกใจเหลือแสน
คนข้างกายท่านเซียนล้วนไม่ธรรมดา ออกโรงครั้งหนึ่งก็ให้ต้นผลไม้ระดับโอสถมหาจักรพรรดิ น่ากลัวเกินไปแล้ว
แต่ลองคิดดูแล้ว วัชพืชที่อยู่ในไร่ท่านเซียนเมื่อเทียบกับโอสถมหาจักรพรรดิยังมีแต่จะเหนือกว่า พวกมันก็ปลงตก
ต้นองุ่น ต้นผิงกั่ว ต้นสาลี่?
หลิงอินค่อนข้างละเอียดอ่อน นางนึกถึงนมเปรี้ยวหลากรสที่ท่านเซียนกล่าวว่าจะทำให้พวกนางดื่ม ก็เป็นรสชาติองุ่น ผิงกั่ว และรสสาลี่…
คิดไม่ผิดเลย จิตของท่านเซียนหยั่งรู้ทุกสิ่ง รู้อยู่แล้วว่าเซี่ยเหยียนจะนำต้นผลไม้มาให้สามต้น
“ดีเลย ดีเลย!”
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะ ท่าทางดีอกดีใจ
เซี่ยเหยียนพูดไม่ผิด ลานของเขาขาดต้นผลไม้ไปจริง ๆ และเขาเคยมีความคิดว่าจะปลูกต้นผลไม้ที่นี่
บัดนี้พอดี
ต้นผลไม้ที่เซี่ยเหยียนนำมาดูท่าไม่เลว องุ่นเอย ผิงกั่วเอย สาลี่เอย ดีกว่าที่ขายตามข้างนอกมากนัก
“ไปเถิด เราลงมือปลูกพวกมันกันเดี๋ยวนี้”
หลี่จิ่วเต้าพูดจบก็นำต้นผลไม้สามต้นนี้ไปปลูกในอีกลานหนึ่ง อีกทั้งรดน้ำให้ต้นไม้ผลไม้ทั้งสามต้นนี้ด้วย
สุดยอด สุดยอด!
อสูรฟ้าชิงหนิวทั้งสี่ตัวเห็นแล้วตาโตอ้าปากค้าง มิน่าแม้แต่หญ้าในไร่ท่านเซียนยังสูงส่งปานนี้ น้ำที่ท่านเซียนรดไม่ธรรมดา!
ที่นี่มีบ่อน้ำแห่งหนึ่ง น้ำภายในบ่อนั้นธรรมดา เป็นน้ำทั่ว ๆ ไป
แต่หลังจากถูกตักขึ้นมาผ่านถังไม้ที่ใช้ตักแล้ว น้ำข้างในก็ยกระดับขึ้นฉับพลัน ขุมปราณชีวิตที่เจืออยู่ท่วมท้นเกินจินตนาการ เรียกได้ว่าเป็นของเหลววิเศษชั้นยอด!
น้ำเช่นนี้ ต่อให้รดลงบนพืชธรรมดาที่สุด ก็ช่วยให้พืชเหล่านั้นวิวัฒนายกระดับได้อย่างแน่นอน!
พวกมันเห็นอย่างชัดเจนว่าหลังจากรดน้ำให้ต้นผลไม้ทั้งสามต้นแล้ว พลังชีวิตในนั้นทวีคูณขึ้นมาทันที
จากนี้ไป ต้นผลไม้สามต้นนี้ย่อมต้องมีระดับเหนือกว่าโอสถมหาจักรพรรดิแน่!
“คืนนี้อยู่กินข้าวด้วยกันที่นี่ทั้งหมดเลยนะ”
วันนี้หลี่จิ่วเต้ามีความสุขมาก หลิงอินกับเสี่ยวหยานำวัวมาให้เขา ส่วนเซี่ยเหยียนนำต้นผลไม้มาให้เขา แต่ละคนล้วนเอาใจใส่เป็นอย่างดี
“ได้!”
พวกหลิงอินตอบยิ้ม ๆ วันนี้พวกนางมีลาภปากอีกแล้ว
…
อีกด้าน ผู้นำตระกูลไป๋มาถึงสำนักไท่หัว
“ขอถามว่าเซี่ยเหยียนอยู่หรือไม่”
เขามีมารยาทมาก วางตัวนอบน้อม คนที่ไม่รู้จักเขาไม่มีทางนึกถึงว่าเขาคือผู้นำตระกูลอันมาจากยอดนิกาย!
ยอดนิกายเชียวนะ ทั้งลึกลับทั้งทรงพลัง เคยชนะสงครามในยุคโบราณจนสิ่งมีชีวิตอาณาจักรเทียนหยวนต้องล่าถอย รากฐานตระกูลลึกล้ำเกินหยั่ง
และผู้นำตระกูลระดับยอดนิกายผู้นี้ กลับวางทีท่านอบน้อม เล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ
สำนักไท่หัวสร้างใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว สิ่งปลูกสร้างใหม่ตั้งตระหง่าน ไม่เหลือร่องรอยหลังศึก
“ท่านมีธุระใดหรือ”
ลูกศิษย์ซึ่งรับหน้าที่เฝ้าประตูเขาของสำนักไท่หัวมีมารยาทมากเช่นกันขณะเอ่ยถามผู้นำตระกูล
“ข้ามากล่าวขอโทษ”
ผู้นำตระกูลมิได้ปิดบังจุดประสงค์ของตน เอ่ยอย่างจริงใจ
หลังมาถึงเหยียนโจว เขาก็ไปที่สถานศึกษาเทียนตี้ทันทีเพื่อตามตัวไป๋อวี่เฟย
หลังไป๋อวี่เฟยได้พบเขา ยังกล้าปิดบังความจริงที่ไหน ไม่เหลือท่าทางขวัญหนีดีฝ่อดั่งเก่า รีบเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดโดยละเอียด
เขาโมโหมาก คิดไม่ถึงว่าไป๋อวี่เฟยจะยโสโอหัง ยกตนข่มท่านถึงเพียงนี้ หลังมาถึงสำนักไท่หัว ไม่เพียงแต่วางมาดใหญ่โต ทว่ายังเหยียดหยามดูหมิ่นเซี่ยเหยียน
มิหนำซ้ำ สุดท้ายยังขอให้นางยอมมอบคันศรวิเศษให้แต่โดยดี
ความอัปยศเยี่ยงนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ทนไม่ไหว เซี่ยเหยียนยังดีมีเมตตา หากเป็นคนฉุนเฉียวง่ายไป๋อวี่เฟยน่ะหรือจะยังมีชีวิตอยู่?
ทั้งตระกูลไป๋มีหรือจะไม่เห็นเลือด?
เขาอยากตบไป๋อวี่เฟยให้ตายในฝ่ามือเดียวนัก ทว่าสงครามใหญ่ใกล้ปะทุ กำลังรบระดับต่าง ๆ กำลังขาดแคลน ท้ายที่สุดเขาก็ไว้ชีวิตไป๋อวี่เฟย
ทว่าไป๋อวี่เฟยจะอยู่ข้างนอกอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เขาสั่งให้คนมาพาตัวไป๋อวี่เฟยกลับไป ลงโทษสถานหนัก ทำให้ไป๋อวี่เฟยเข็ดกับบทเรียนครั้งนี้ให้ได้
หลังล่วงรู้ความจริงทุกอย่าง เขายิ่งแน่วแน่ว่าต้องขอโทษเซี่ยเหยียน ขอโทษสำนักไท่หัว
ตระกูลไป๋ทำผิด คำขอโทษนี้จำต้องกล่าวออกไป
“ขอโทษหรือ”
ลูกศิษย์เฝ้าสำนักชะงัก
“ก่อนหน้านี้คนในตระกูลของข้ามาก่อเรื่องที่สำนัก จนสำนักของพวกเจ้าได้รับความอัปยศ เซี่ยเหยียนได้รับความอัปยศ แม้ว่าพวกเขาได้รับบทเรียนแล้ว ทว่าข้าในฐานะผู้นำตระกูล จำต้องมาขอโทษด้วยตัวเอง”
ผู้นำตระกูลไป๋กล่าวด้วยท่าทางจริงใจ
ลูกศิษย์เฝ้าสำนักพลันนึกถึงไป๋อวี่เฟยและผู้อาวุโสสิบเจ็ด เขาอึ้งมาก คิดไม่ถึงเลยว่าผู้นำของตระกูลจะมีมารยาทเพียงนี้
“ขอท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงาน”
ลูกศิษย์เฝ้าสำนักกล่าว กลับเข้าไปรายงานในสำนัก