“เป็นเช่นไรบ้าง” ไท่ฮูหยินรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “ถามอะไรได้บ้างหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองสืออีเหนียง “ท่านป้าที่เฝ้ายามบอกว่า นางเห็นเงาดำนั้นเข้าไปที่เรือนหลัก”
สืออีเหนียงตกใจ
เรือนหลักของจวนสกุลสวี ก็คือลานของตัวเอง
“ข้าส่งคนไปเรียกน้องห้ามาแล้วขอรับ” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยท่าทีเยือกเย็น “ให้เขาช่วยค้นหาเรื่องนี้อย่างละเอียด” เขามองไปยังไท่ฮูหยิน แต่คำพูดที่พูดออกมากลับบอกสืออีเหนียง “เจ้าบอกให้หู่พั่วไปบอกป้าซ่งล็อกประตูทุกบานของเรือนหลัก รอให้น้องห้าไปที่นั่น”
เขากำลังหลบหน้าตัวเองเช่นนั้นหรือ
สายตาของสืออีเหนียงเป็นประกาย
แต่นางก็อธิบายให้ตัวเองฟังทันทีว่า หากเป็นตัวเอง ก็คงจะทำเช่นนี้!
นางยืดตัวตรงแล้วพูดกับหู่พั่วเบาๆ “เจ้าไปบอกป้าซ่ง ให้นางล็อกประตูทุกบาน บอกให้ทุกคนในลาน ไม่ว่าจะมาเยี่ยมหรือมาเล่นที่ลาน อยู่ที่เดิมห้ามขยับไปไหน หากใครกล้าขยับ เฆี่ยนสิบทีแล้วค่อยว่ากัน”
สวีลิ่งอี๋มองนางด้วยความตกใจ
สืออีเหนียงก้มหน้าลง
ในใจของนางเจ็บปวดราวกับโดนเข็มทิ่มแทง
หู่พั่วสีหน้ามืดมนลง รีบตอบรับแล้วเดินออกไป
ในห้องพลันเงียบสงัด บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัดจนทำให้คนหายใจไม่ออก
ไท่ฮูหยินมองไปที่สืออีเหนียงที่สีหน้าเรียบเฉยแต่ตัวกลับแข็งทื่อ แล้วก็มองไปที่สวีลิ่งอี๋ที่ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดอย่างอึดอัด นางพูดเบาๆ “เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้านั่งลงเถิด!” นางทำลายความเงียบในห้อง ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น
สืออีเหนียงตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็นั่งลงอีกครั้ง สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างสืออีเหนียง
บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
จู่ๆ สวีซื่อจุนก็พึมพำเบาๆ “ท่านแม่ขอรับ ท่านแม่… “ เขายื่นมือออกมากลางอากาศ
สืออีเหนียงรีบวิ่งเข้าไปหาเขา
แต่ไท่ฮูหยินกลับจับมือสวีซื่อจุนแล้วกระซิบข้างหูเขาเบาๆ “จุนเกอ จุนเกอ ข้าคือท่านย่า…”
สวีซื่อจุนราวกับอยู่ในฝันร้าย คำพูดของไท่ฮูหยินไม่เพียงแต่ปลอบเขาไม่ได้ แต่เขากลับร้องออกมาแล้วพยายามสะบัดมือไท่ฮูหยินออก
ไท่ฮูหยินรีบโอบตัวสวีซื่อจุนเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ขยับหน้าเข้าไปแนบหน้าเขาแล้วเอ่ยปลอบ “จุนเกอ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว ท่านย่าอยู่นี่ ไม่มีใครกล้าทำอะไรเจ้าแน่นอน…”
สวีลิ่งอี๋ก็รีบเดินเข้ามา เขายืนอยู่หลังสืออีเหนียง มองดูบุตรชายของตัวเองด้วยสายตาที่เป็นกังวล
สวีซื่อจุนอยู่ในอ้อมแขนของไท่ฮูหยิน กำลังหลับตาสนิท เหงื่อผุดท่วมเต็มหัวจนผมสีดำเปียกโชก ใบหน้าขาวซีด บางครั้งก็ยังตะโกนเรียกท่านแม่ด้วยท่าทีหวาดกลัว
สืออีเหนียงน้ำตาคลอเบ้า นางเรียกไท่ฮูหยินแล้วโน้มตัวลงไปมองสวีซื่อจุน “จุดเครื่องหอมกล่อมนอนดีหรือไม่เจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินขยับปาก กำลังจะพูด แต่สวีซื่อจุนกลับร้องออกมา เขาตัวแข็งทื่อ ยื่นขาออกมาเตะไปทั่ว ขาข้างหนึ่งเตะมาโดนท้องของสืออีเหนียงเต็มๆ
“สืออีเหนียง!”
ไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋ตกใจจนหน้าซีด
สืออีเหนียงขยับออกมาข้างหลังตามสัญชาตญาณ นางเหยียบเท้าของสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย เขาประคองสืออีเหนียงแล้วจับท้องของนาง “เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” เห็นสีหน้าของสืออีเหนียงซีดเซียว เขาเม้มปากแต่ก็ไม่พูดอะไรอยู่นาน หัวใจพลันเต้นแรง เขาไม่สนใจอะไร อุ้มนางขึ้นมา “สืออีเหนียง สืออีเหนียง!” เขาเรียกสืออีเหนียงเบาๆ ด้วยน้ำเสียงตกใจที่แม้แต่ตัวเองก็สังเกตไม่เห็น “เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” ถามนางพร้อมกับอุ้มนางไปที่เตียงของไท่ฮูหยินอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นั่งจับหน้าผากของนางเบาๆ ข้างเตียง “ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ไท่ฮูหยินเห็นสืออีเหนียงไม่พูดไม่จา สวีลิ่งอี๋ก็แสดงท่าทีตกใจและเป็นกังวลเช่นนั้น นางอยากไปดูสืออีเหนียง แต่ตัวเองกำลังอุ้มสวีซื่อจุนอยู่ ทำอะไรไม่ได้ นางร้องไห้แล้วตำหนิสาวใช้ที่กำลังตกใจ “ยืนอึ้งอะไรอยู่ตรงนั้น ยังไม่ไปดูอีก!”
สาวใช้สองคนนั้นได้สติกลับมา พวกนางรีบเดินเข้าไปดู
มือที่อบอุ่นของสวีลิ่งอี๋ บวกกับท่าทีที่รักและเอ็นดูของเขา ทำให้สืออีเหนียงค่อยๆ สงบสติอารมณ์ได้ นางหายใจเข้าลึกๆ สำรวจร่างกายของตัวเองเงียบๆ นางลองขยับขาดู รู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงพูดว่า “ข้าไม่รู้สึกอะไร ประเดี๋ยวท่านหมอมาก็ให้ท่านหมอช่วยจับชีพจรให้ข้าก็ได้เจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็สบายใจขึ้น
เขาช่วยสืออีเหนียงถอดรองเท้า “เช่นนั้นเจ้าหลับตาพักผ่อนสักประเดี๋ยวเถิด”
เพราะสืออีเหนียงตั้งครรภ์ทำให้การรับกลิ่นของนางอ่อนไหวมากขึ้น ผ้าปูที่นอนของไท่ฮูหยินอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกไป่เหอ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ นางคิดว่าต้องมีมือสองข้างที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ในที่ที่ตัวเองไม่รู้ กำลังเล่นกับสายธารแห่งโชคชะตา ทำให้นางป้องกันไม่ได้…นางกังวลว่ากลิ่นดอกไป่เหอจะกระทบต่อลูกในท้อง แต่อยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยินนางไม่กล้าพูดอะไร จึงพูดกับสวีลิ่งอี๋เบาๆ “ข้าได้กลิ่นดอกไป่เหอรู้สึกไม่สบายตัว ให้ข้าลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็ตกใจ
สืออีเหนียงคิดว่าเขาไม่พอใจที่นางไม่ชอบกลิ่นเครื่องหอมของไท่ฮูหยิน นางกำลังจะพูดอธิบาย สวีลิ่งอี๋ก็ชี้ไปที่สาวใช้คนหนึ่ง “เจ้าไปบอกหู่พั่วสาวใช้ของฮูหยินสี่ บอกให้นางนำผ้าห่มที่ฮูหยินสี่ใช้มา”
ในเหตุการณ์เช่นนี้ สาวใช้คนนั้นแทบอยากจะกางปีกบินออกไป นางรีบย่อเข่าคำนับแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็วิ่งเหยาะๆ ออกไปจากห้องของไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งอี๋พูดกับไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ขอรับ สืออีเหนียงได้กลิ่นดอกไป่เหอไม่ได้…” เขาพูดพร้อมกับมองไปรอบๆ อยากหาที่อยู่ใหม่ให้สืออีเหนียง
ไท่ฮูหยินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ย้ายตั่งนั่งเหม่ยเหรินที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกเข้ามา” ทันทีที่นางพูดจบ สวีลิ่งควนก็เปิดม่านเข้ามา
“ท่านแม่ พี่สี่ พี่สะใภ้สี่ขอรับ” เขาพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ข้ารู้เรื่องแล้ว ตันหยางกำลังค้นตัวบรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ที่เรือน ค้นเสร็จแล้วก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่และพี่สะใภ้สี่” เขาเดินเข้ามาหาสวีซื่อจุนที่เตียงเตา “ตอนนี้จุนเกอเป็นเช่นไรแล้ว”
เห็นสวีลิ่งควนจัดการอะไรเรียบร้อยเช่นนี้ ไท่ฮูหยินและสวีลิ่งอี๋ก็มีสีน่าพอใจ
“ไปเชิญท่านหมอมาแล้ว!” สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นยืน “เจ้าตามข้ามาที่ห้องหลัก”
สวีลิ่งควนตอบรับ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เชิญพี่สะใภ้สองมาช่วยดีหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ ก็มองไปที่สืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ลังเล
เรื่องนี้รู้กันทั้งจวนแล้ว เขายังจะสนใจอะไรอีก
สืออีเหนียงครุ่นคิด
“ข้าไปพักผ่อนที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกสักประเดี๋ยวดีกว่า!” นางพูดเบาๆ “ที่นั่นเงียบสงบ ส่งสาวใช้ไปเฝ้าสักคนก็พอเจ้าค่ะ หากมีเรื่องอันใดจะได้เรียกข้าได้ตลอด”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าอย่างครุ่นคิด เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ ว่า “ก็ดีเหมือนกัน ประเดี๋ยวหู่พั่วมาแล้ว จะได้มีคนคอยรับใช้เจ้า”
สืออีเหนียงพยักหน้าให้เขา ทักทายไท่ฮูหยินและสวีลิ่งควน จากนั้นก็เดินออกไปห้องปีกทางทิศตะวันออก
มีสายตาคู่หนึ่งมองมาที่ไหล่ของนาง ทำเอานางรู้สึกร้อนวาบขึ้นมาที่ไหล่
*****
ห้องปีกทางทิศตะวันออกของไท่ฮูหยินเป็นห้องรับแขกเล็กๆ ปกติเมื่อหวงฮูหยินของหย่งชังโหว ถังฮูหยินของจงซานโหวและคนอื่นๆ มาเยี่ยมที่จวน ไท่ฮูหยินก็มักจะเล่นไพ่กับพวกนาง หรือเชิญคนมาร้องเพลงที่นี่ ของตกแต่งภายในห้องจึงเน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก
ข้าวของในห้องทำมาจากไม้พยุงเนื้อแดง ม่านสีฟ้า ตั่งนั่งเหม่ยเหริน เก้าอี้จุ้ยเวิง บนโต๊ะยังมีดอกไม้ที่เลี้ยงด้วยทราย แค่มองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ
เพราะว่าเป็นช่วงต้นฤดูร้อน ที่นอนสีแดงบนตั่งนั่งเหม่ยเหรินเปลี่ยนเป็นดอกพุดตานสีชมพู ปลอกหมอนก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง
ตอนที่หู่พั่วเข้ามา สืออีเหนียงกำลังนอนเหม่อลอยอยู่บนตั่งนั่งเหม่ยเหริน
“ฮูหยินเจ้าคะ” นางขมวดคิ้วแล้วรีบเดินเข้าไป “พึ่งจะเข้าฤดูร้อน ระวังจะเป็นหวัดเอานะเจ้าคะ”
“อืม!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้น
หู่พั่วเรียกเรียกสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าประตูเข้ามาช่วยสืออีเหนียงปูที่นอน จากนั้นก็รับใช้สืออีเหนียงเอนตัวลงบนตั่งนั่งเหม่ยเหริน
สาวใช้รินชาร้อนเข้ามาแล้วเดินออกไปอย่างรู้ความ
“ฮูหยินเจ้าคะ ตามที่ท่านสั่งให้ทุกคนอยู่ที่เดิมห้ามขยับไปไหนเจ้าค่ะ” หู่พั่วพูด “บ่าวให้เยี่ยนหรงดูในลานของเราแล้ว นอกจากสองคนที่ลาหยุดกลับบ้านไป คนหนึ่งเล่นไพ่อยู่ที่เรือนยามดึก ส่วนคนอื่นก็อยู่ครบเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงไม่พูดอะไร นางยกถ้วยชาขึ้นมา ใช้ฝาถ้วยชาแตะใบชาที่ลอยอยู่ข้างบนเบาๆ
หู่พั่วเห็นท่าทีไม่สนใจของนาง แล้วก็นึกถึงตอนที่ออกมาเห็นสวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควนเดินไปที่ห้องหลัก นางจึงเอ่ยเรียกฮูหยิน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ
สืออีเหนียงยื่นถ้วยชาให้หู่พั่วแล้วเอนตัวพิงตั่งนั่งเหม่ยเหริน
“ก่อนที่เจ้าจะมา ข้ากำลังคิดเรื่องนี้อยู่พอดี” นางมองขึ้นไปบนเพดานที่มีลวดลายสีฟ้าเขียว “ในเมื่อกล้าทำเช่นนี้ คงจะต้องมีการเคลื่อนไหวอีกแน่นอน ไม่ต้องบอกว่าเงาดำเข้าไปที่เรือนหลัก ถึงแม้ว่าจะหาหน้ากากผีเจอในห้องของข้าก็ไม่ยาก…”
“ฮูหยินเจ้าคะ” หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็เป็นกังวล “ไม่มีทางเจ้าค่ะ เรือนของเราไม่มีทางมีเกลือเป็นหนอน!”
“เกลือเป็นหนอนอะไรกัน!” สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ “เราไม่ได้เป็นคนทำเสียหน่อย!”
หู่พั่วตกใจที่ตัวเองพูดผิด นางจึงรีบพูด “ไม่ใช้เจ้าค่ะ ไม่ใช่…”
สืออีเหนียงตบมือนางเบาๆ “เอาล่ะ เอาล่ะ ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า” พูดจบ สีหน้าของนางก็ค่อยๆ เคร่งขรึม “ข้าเชื่อใจพวกเจ้าอยู่แล้ว แต่เจ้าอย่าลืมว่า ลานของเราไม่ได้มีแค่พวกเรา”
*****
“ใช่นั้นก็หมายความว่า เกิดเรื่องขึ้นกับคุณชายน้อยสี่จริงๆ!” เหวินอี๋เหนียงตกใจ
“เจ้าค่ะ” ตงหงพูดเบาๆ “ไม่เพียงแค่นั้น นอกจากพี่หู่พั่วที่อยู่กับฮูหยินสี่ที่เรือนของไท่ฮูหยิน คนอื่นล้วนแต่รออยู่ที่ลานเจ้าค่ะ” ทันทีที่นางพูดจบ อวี้เอ๋อร์ก็เดินเข้ามา “อี๋เหนียงเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ คนแรกที่ท่านโหวและคุณชายห้าถามคือป้าซ่งเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไป นางลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปที่ตงหงอย่างสั่นเทา “เร็วเข้า เร็วเข้า…รีบไปสืบมา!”
ตงหงวิ่งออกไปข้างนอกทันที
เหวินอี๋เหนียงเดินวนรอบห้องด้วยความไม่สบายใจ เดินวนไปวนมาพร้อมกับพูดกับตัวเอง “ใครเป็นคนทำ ใครเป็นคนทำกันแน่…”
แต่พึ่งจะเดินวนได้สองรอบ ตงหงก็วิ่งกลับมา
“อี๋เหนียงเจ้าคะอี๋เหนียง ประตูถูกล็อก เราออกไปไม่ได้เจ้าค่ะ!”