เฉินตันจูวิ่งออกจากพระราชวังตลอดทาง อาเถียนและจู๋หลินเฝ้ารออยู่ก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นนางก็โบกมือด้วยความดีใจ
“คุณหนู ข้าได้ยินว่าท่านจับได้ถุงแห่งโชคที่ใหญ่ที่สุดหรือเจ้าคะ!” อาเถียนรีบถาม
เฉินตันจูพูด “ใหญ่มากเสียจริง…จู๋หลิน พวกเจ้าเห็นรถขององค์ชายหกผ่านไปหรือไม่”
จู๋หลินพูด “เห็นรถคันหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ ล้วนเป็นคนที่ไม่รู้จัก”
ไม่สำคัญว่าจะเห็นหรือไม่ เฉินตันจูปีนขึ้นรถไปโดยไม่รออาเถียนวางเก้าอี้เตี้ย “จู๋หลิน เร็ว ไปจวนองค์ชายหก”
จู๋หลินผงะ เหตุใดจึงไปจวนองค์ชายหก อาเถียนผลักเขาพลันเร่งเร้า “เร็วเข้าๆ” ก่อนจะตามขึ้นรถอย่างรีบร้อน
เสียงแส้ดังขึ้น ม้าวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้กลุ่มคนที่เป็นระเบียบบริเวณหน้าประตูวังกระเจิดกระเจิง แต่องครักษ์หลวงที่ทำหน้าที่รับผิดชอบด้านระเบียบไม่ได้พูดสิ่งใด คนอื่นก็ยิ่งไม่พูดสิ่งใด ทำได้เพียงมองรถม้าของเฉินตันจูวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
“จะเป็นพระชายาขององค์ชายแล้ว นางต้องเหิมเกริมมากขึ้นอย่างแน่นอน”
“เหิมเกริมก็เหิมเกริม นางจะเหิมเกริมได้อีกกี่ปี รอองค์ชายหกไม่อยู่…”
เสียงถกเถียงบริเวณหน้าประตูวังถูกรถม้าทิ้งไว้ด้านหลัง เฉินตันจูนั่งอย่างวิตกกังวลอยู่ในรถ นางไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน อาเถียนก็กระวนกระวายตาม ถาม “คุณหนู ถุงแห่งโชคใบนั้นมีปัญหามากหรือเจ้าคะ”
เฮ้อ ก็ใช่ คุณหนูจับได้ถุงแห่งโชคที่คนอื่นจับไม่ได้ ไม่มีเรื่องใดให้น่าดีใจ คุณหนูเคยประสบเรื่องดีที่ไหน เรื่องที่นางประสบล้วนเป็นปัญหา
เมื่อได้ยินอาเถียนถามเช่นนี้ เฉินตันจูไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
“เริ่มแรกมีปัญหาจริง แต่ถุงแห่งโชคใบนี้ถือว่าแก้ไขปัญหาได้มากแล้ว แต่…” นางพูด เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง
อาเถียนรีบถาม “แต่อันใดเจ้าคะ”
แต่… เฉินตันจูมองไปยังนาง “ราวกับว่าข้าต้องสมรสกับองค์ชายหกเสียแล้ว”
อาเถียนกะพริบตา รู้สึกเหมือนตนเองฟังไม่เข้าใจ สมรสกับองค์ชายหกหมายความว่าอย่างไร
เฉินตันจูมองท่าทางสับสนเพราะความตกตะลึงของอาเถียน อย่าว่าแต่อาเถียนสับสน เวลานี้นางเองก็สับสนเช่นเดียวกัน
“เพราะ เพราะเหตุใดเจ้าคะ” อาเถียนถามอย่างตะกุกตะกัก
เฉินตันจูขมวดคิ้วครุ่นคิด “เพราะเป็นการลงโทษ?”
คงจะเป็นเช่นนั้น
อาเถียนกะพริบตาอีกครั้ง หา?
“ช่างเถิด อย่าคิดเลย” เฉินตันจูโบกมือ “ไปเข้าเฝ้าองค์ชายหกก่อนค่อยว่ากันเถิด” เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็มีสีหน้ากังวล องค์ชายหกถูกโบยหนึ่งร้อยไม้ หนึ่งร้อยไม้เชียวนะ!
ฮ่องเต้เสียสติไปแล้วหรือ!
ตอนนั้นโจวเสวียนที่ถูกโบยไปหนึ่งร้อยไม้ยังกลายเป็นสภาพนั้น อย่างน้อยโจวเสวียนยังร่างกายแข็งแรง แต่คนร่างกายอ่อนแออย่างองค์ชายหก…เอาเถิด บางทีอาจไม่ได้ป่วย แต่องค์ชายหกผู้อ่อนแอไม่อาจเทียบกับโจวเสวียนได้
เฉินตันจูเปิดม่านขึ้น เร่งเร้าจู๋หลิน ก่อนจะส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ “น่าจะพกกล่องยามาด้วย” แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจวนองค์ชายหกมีหวังเจียน โรคอย่างอื่นอาจรักษาไม่ได้ แต่เขาติดตามท่านแม่ทัพมานานเพียงนี้ แผลฟกช้ำย่อมไม่มีปัญหา
อาเถียนมองท่าทางที่ไม่เคยมีมาก่อนของคุณหนู นางไม่กล้าพูดสิ่งใด ทำได้เพียงคอยปลอบอยู่ด้านข้างอย่างระวัง “ไม่รีบ ข้างทางมีร้านยามากมาย พวกเราปล้น ไม่ใช่ ซื้อก็ย่อมได้”
จู๋หลินที่นั่งอยู่หน้ารถอดกลอกตาไม่ได้ แต่ภายในใจของเขาก็มีความกังวล เกิดเรื่องใดขึ้น เฉินตันจูวิตกกังวลเช่นนี้เป็นครั้งแรก
รถม้าเคลื่อนตัวมาถึงหน้าจวนองค์ชายหกอย่างรวดเร็ว ทางนี้ยังคงมีองครักษ์ล้อมรอบ อีกทั้งยังดูเหมือนเยอะขึ้นกว่าแต่ก่อน
เฉินตันจูเปิดม่านรถขึ้น “ข้าคือเฉินตันจู…ข้ามาเข้าเฝ้าองค์ชายหกตามพระราชโองการ”
ส่วนพระราชโองการอยู่ที่ใดก็คงมีเพียงให้พวกเขาไปทูลถามฝ่าบาทเองแล้ว
ไม่รู้ว่าตกใจกับประโยคนี้หรือไม่ คราวนี้องครักษ์ด้านหน้าประตูหลีกทางให้ เฉินตันจูกระโดดลงจากรถม้าวิ่งเข้าไป จู๋หลินกับอาเถียนถูกรั้งไว้ด้านนอกอีกครั้ง อาเถียนกังวลอย่างมาก จู๋หลินเหลือบมองกำแพงสูง ผิวปากเป็นเสียงนกขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเฟิงหลินอยู่หรือไม่
แต่เฟิงหลินไม่ออกมา จู๋หลินก้มหน้าลงอย่างสลด ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงนกร้องดังออกมาจากกำแพงสูง เขาเงยหน้าขึ้น สีหน้าประหลาดไปเล็กน้อย
“เกิดอันใดขึ้นหรือ” อาเถียนจ้องมองสีหน้าของเขา ถามเสียงเบาด้วยความร้อนใจ “นกของจวนองค์ชายหกบอกอันใด”
ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจภาษานก แต่จู๋หลินกับบรรดาองครักษ์ในจวนต่างส่งเสียงแบบนี้ซึ่งกันและกัน คุยกันอย่างสนุกสนาน
จวนองค์ชายหกก็มีองครักษ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ใช่หรือไม่ พวกเขาก็พูดภาษานกใช่หรือไม่
“ไม่ได้พูดอันใด” จู๋หลินพูด เขาไม่ได้โกหก เสียงนกร้องไม่ได้พูดสิ่งใด อีกทั้งไม่ใช่การตอบรับ หากแต่กำลังพูดว่า ห้องครัวต้มน้ำแกงกระดูก…
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นบทสนทนาขององครักษ์ลับในจวนองค์ชายหก
เหล่าองครักษ์พูดคุยกันก็ไม่มีอะไรสำคัญ เพียงแต่เหตุใดเขาจึงฟังรู้เรื่อง
รหัสลับของเหล่าองครักษ์ไม่ใช่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เจ้านายที่แตกต่างกัน เวลาที่แตกต่างกัน ล้วนมีการเปลี่ยนแปลง
เหตุใดเขาในฐานะองครักษ์ของเฉินตันจูจึงฟังรหัสลับขององครักษ์ในจวนองค์ชายหกรู้เรื่อง
จวนองค์ชายหกว่างเปล่า แม้แต่นางในหรือขันทีสำหรับต้อนรับแขกยังไม่เห็นแม้แต่คนเดียว สิ่งนี้ทำให้เฉินตันจูยิ่งปวดใจ โชคดีที่ครั้งก่อนนางเคยมา ยังจำทางได้ นางวิ่งไปยังห้องบรรทมขององค์ชายหก
ด้านนอกห้องมีหวังเจียนยืนอยู่ เขากำลังพึมพำบางอย่างกับเด็กน้อยด้วยสีหน้าจริงจัง เด็กน้อยก็ราวกับกำลังซับน้ำตา…
คงเป็นเพราะว่าเห็นสภาพที่องค์ชายหกถูกตี!
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง” เฉินตันจูตะโกนถามเสียงดัง
หวังเจียนมองมา พลันขมวดคิ้ว “เจ้ามาได้อย่างไร” เฉินตันจูตะโกน “องค์ชายหกเล่า? ท่านล้างแผลให้องค์ชายแล้วหรือไม่”
หวังเจียนขมวดคิ้ว “ล้างแผลอันใด…”
“ท่านทำไม่ได้ ข้าทำเอง” เฉินตันจูรีบพูด ยื่นมือผลักประตูตำหนักบุกเข้าไป “ท่านเอายามาให้ข้า”
หวังเจียนเหมือนต้องการพูดบางอย่าง เสียงของฉู่อวี๋หยงดังขึ้นจากภายในตำหนักตามการเปิดออกของประตู
“คุณหนูตันจู ท่านอย่าเข้ามา” เสียงทุ้มนั้นฟังเหมือนไร้เรี่ยวแรง “ไม่สะดวก”
ไม่สะดวก?
เฉินตันจูยังจำภาพบาดแผลตอนที่โจวเสวียนถูกโบยหนึ่งร้อยไม้ได้ ตอนเริ่มรักษา เขาต้องเปลือยทั้งร่างกาย ไม่อาจสวมใส่เสื้อผ้าได้
นางมองไปยังห้องบรรทม เห็นม่านเตียงถูกดึงลงมา ด้านหลังมีร่างหนึ่งนอนคว่ำตัวสั่นเทา
เฉินตันจูอยากร้องไห้ “องค์ชายหก อันที่จริงฝีมือการรักษาของหม่อมฉันไม่เลว ให้หม่อมฉันดูเถิด”
เสียงของฉู่อวี๋หยงดังขึ้นจากหลังม่าน “ไม่ต้องหรอก หวังไต้ฟูดูแล้ว”
หวังเจียนชะเง้อหน้ามองมาทางนี้อยู่ด้านหลังของเฉินตันจู เมื่อได้ยินประโยคนี้ดวงตาเล็กเบิกโพลงในเดิมทีผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ลง มุมปากฉีกยิ้ม…
“ใช่ ข้าดูแล้ว” เขาลากเสียงยาว “หากคุณหนูตันจูไม่วางใจ ดูเองอีกครั้งย่อมได้”
หวังเจียนมักมีท่าทีประหลาดเช่นนี้เสมอมา เฉินตันจูไม่แปลกใจ แต่คราวนี้นางไม่ได้โต้แย้งเขา เฮ้อ นางช่วยสิ่งใดไม่ได้ แผลขององค์ชายหกมีเพียงพึ่งพาหวังเจียนแล้ว
“ในเมื่อหวังไต้ฟูดูแล้ว ข้าคงไม่อวดเก่งต่อหน้าท่าน” นางพูด เท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปด้านในห้องหยุดลง “องค์ชาย ท่านพักผ่อนเถิด”
ถึงแม้นางมีคำพูดมากมายต้องการพูด แต่ก็ทำได้เพียงรอก่อน
“ไม่ ไม่ต้อง คุณหนูตันจูเชิญเข้ามาเถิด” เสียงของฉู่อวี๋หยงดังขึ้น “เข้ามาเถิด ต่อมาเกิดเรื่องใดขึ้น คุณหนูตันจูไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
เขาเป็นแบบนี้แล้วยังเป็นห่วงนางอีกหรือ
ดวงตาของเฉินตันจูร้อนผ่าว น้ำตาไหลรินลงมา
นางสามารถมั่นใจได้ว่านางไม่ได้ร้องไห้เพราะตื้นตันกับคำพูดขององค์ชายหก แต่อาจเป็นเพราะอารมณ์ที่ค้างคา นางสับสนเกินไป ทันใดนั้น อารมณ์ทุกอย่างตีขึ้นมา นางจึง…
เฉินตันจูเช็ดน้ำตาด้วยความตระหนก อยากจะหยุดร้องไห้ แต่น้ำตากลับไหลออกมามากกว่าเดิม
เสียงของฉู่อวี๋หยงแผ่วเบา “คุณหนูตันจู มาหาข้า นั่งลงเถิด หวังไต้ฟู นำชาร้อนมา”
หวังเจียนมองหญิงสาวที่ห่อไหล่ลงทำให้นางดูผอมแห้งเป็นพิเศษ จากนั้นนางเดินเข้าไปอย่างช้าๆ นั่งลงบนเก้าอี้กลมนอกม่าน มือปิดตาและใบหน้าที่เปรอะเปื้อนเอาไว้
หวังเจียนเบ้ปาก หันหลังเดินออกไป
“หวังไต้ฟู” อาหนิววางมือลง เงยหน้าให้เขาดู “หนอนในตาข้าออกมาแล้ว”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ “เดินระวังหน่อย อย่าเอาแต่ถลึงตา ตาโตมีประโยชน์อันใด”
อาหนิวเบ้ปาก ก่อนจะสังเกตภายในห้อง มองด้วยความสงสัย “คุณหนูตันจูมาหรือ เหตุใดจึงร้องไห้”
หวังเจียนส่งเสียงหัวเราะ “ถูกห่านจิกตา”