หวังเจียนออกไปแล้ว ฉู่อวี๋หยงที่อยู่ด้านหลังม่านไม่ได้กล่อมหญิงสาวที่กำลังร้องไห้
เขาเพียงแค่พูดเสียงเบา “คุณหนูตันจูตั้งใจร้องไห้เถิด”
เฉินตันจูที่ปิดหน้าอยากหัวเราะเล็กน้อย ร้องไห้ยังต้องตั้งใจอีกหรือ ฉู่อวี๋หยงไม่พูดสิ่งใดอีก ชาร้อนก็ไม่ได้ถูกส่งเข้ามา ภายในห้องเงียบสงบ เฉินตันจูสามารถร้องไห้อย่างตั้งใจได้เสียจริง
ไม่อาจพูดว่าตั้งใจได้ นางครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อย เรื่องมากมายแล่นอยู่ในหัว อารมณ์มากมายแล่นอยู่ภายในใจ ความโกรธ ความเศร้า ความไม่เป็นธรรม ร้องไห้ไปร้องไห้มา น้ำตาแทบจะไม่พอใช้แล้ว ไม่นานนักก็ไหลไม่ออก
เฉินตันจูค่อยๆ หยุดลง ก่อนจะรู้สึกประหลาดใจ ที่แท้เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ นางก็สามารถคิดเรื่องมากมายได้เช่นนี้ นางไม่ได้คิดเรื่อยเปื่อยเช่นนี้มานานมากแล้ว แต่ก่อนนางพยายามไม่ไปคิด ต่อมานางชินชาจนไม่ไปคิด
แต่ก่อนกับต่อมาที่ว่า นางใช้แม่ทัพหน้ากากเหล็กในการแบ่ง แม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่คือแต่ก่อน แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่อยู่คือต่อมา
เฉินตันจูยิ้มเยาะเย้ยตนเอง ก่อนจะเช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายที่มาจากการหัวเราะ
ดวงตาของฉู่อวี๋หยงราวกับสามารถมองทะลุม่าน เขาที่เงียบมาตลอดพูดขึ้นในเวลานี้ “หวังไต้ฟูคงไม่ส่งชาเข้ามาแล้ว บนโต๊ะมีน้ำชา แต่ว่าไม่ร้อน เป็นชาเย็นที่ข้าชอบดื่ม คุณหนูตันจูดื่มให้ชุ่มคอเสียก่อน กะละมังทองแดงทางนั้นมีน้ำ บนโต๊ะมีกระจก”
สามารถทำความสะอาดใบหน้าที่ผ่านการร้องไห้ได้
เฉินตันจูไม่เกรงใจ ตอบว่าได้ ก่อนจะเดินไปหยิบเหยือกชาสีดำเทชาแก้วหนึ่ง
“เหยือกชาใบนี้หาได้ยากนัก” นางพินิจเหยือกชา
เสียงของฉู่อวี๋หยงดังขึ้นจากหลังม่านด้วยความได้ใจเล็กน้อย “ข้าทำเอง มีเพียงใบเดียว”
ทันทีที่สิ้นเสียง เฉินตันจูที่เพิ่งดื่มชาเข้าไปคำหนึ่งก็พ่นออกมา ทั้งหัวเราะทั้งไอ
“เป็นอันใดหรือ” ฉู่อวี๋หยงถามอย่างร้อนใจ ม่านเตียงไหวไปมา มือหนึ่งยื่นออกมาจับม่านเอาไว้
เฉินตันจูรีบพูด “ไม่เป็นอันใด ไม่เป็นอันใด ท่านอย่าขยับ นอนคว่ำเอาไว้”
นางรู้ดีว่าแผลจากการโบยน่ากลัวเพียงใด โจวเสวียนเคยพักรักษาตัวอยู่ในอารามของนาง ตอนที่มาแผลนั้นราวสี่ห้าวันแล้ว ยังขยับไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งถูกโบยจะน่ากลัวเพียงใด
ฉู่อวี๋หยงไม่ได้ยืนกรานที่จะลุกขึ้น “ไม่เป็นอันใดก็ดี” เขาชักมือกลับเข้าไป “เจ้าไม่ชอบดื่มชานี้หรือ หวังไต้ฟูเป็นคนทำชานี้ รสชาติประหลาดไปบ้าง”
เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ หม่อมฉันเหม่อไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดขององค์ชาย หม่อมฉันก็นึกถึงคำพูดอีกประโยค จึงเสียมารยาท”
ฉู่อวี๋หยงถามด้วยความสงสัย “คำพูดใดหรือ”
เฉินตันจูถือแก้วชาพลันหัวเราะขึ้นมา “แมงป่องถ่ายท้องเป็นพิษ”
ฉู่อวี๋หยงก็หัวเราะตามขึ้นมา หัวเราะจนม่านเตียงไหวตาม
เฉินตันจูรีบตะโกนบอกให้เขาหยุดหัวเราะ “ระวังแผล” เสียงหัวเราะของฉู่อวี๋หยงเบาลงจากการพยายามข่มเอาไว้
“หม่อมฉันก็เป็นไต้ฟูนะ” เฉินตันจูวางแก้วชาลง เดินไปด้านหน้ากะละมังทองแดง หยิบผ้าของตนเองออกมา จุ่มน้ำให้เปียกเพื่อเช็ดหน้า พลางพูดกับฉู่อวี๋หยง “แมงป่องนำมาทำยา มันเป็นคำพูดน่าขันตอนที่อาจารย์ของหม่อมฉันสอน…”
อาจารย์? ฉู่อวี๋หยงสังเกตคำพูดของนาง ก็จริง ไม่มีผู้ใดเป็นสิ่งใดแต่กำเนิด เพียงแต่บุตรสาวของเฉินเลี่ยหู่ไม่ได้อยู่เป็นคุณหนูชนชั้นสูงเฉยๆ หากแต่ศึกษาวิชายา หากพูดให้ถูกคือยาพิษ
เฉินตันจูเช็ดหน้าแล้วบิดผ้าให้แห้ง หากยังเปียกอยู่คงไม่อาจเอากลับได้ นางจึงตากผ้าบนชั้นวาง ก่อนจะเดินไปด้านหน้าโต๊ะ ส่องกระจกดูใบหน้าของตนเอง ถึงแม้ดวงตาจะบวมหลังจากร้องไห้ แต่ผู้ใดให้นางเป็นหญิงสาวที่งดงาม เฉินตันจูขมวดคิ้วหลิ่วตากับกระจกอยู่สักพัก อย่างไรฉู่อวี๋หยงก็มองไม่เห็นเพราะมีม่านบังอยู่
หลังจากร้องไห้ ดื่มชา ล้างหน้าแล้ว อารมณ์ต่างๆ ก็ล้วนสลายไป เฉินตันจูเดินกลับมานั่งอยู่หน้าม่าน ถามต่อ “องค์ชายหก ท่านตรัสกับฝ่าบาทอย่างไร เหตุใดจึงถูกลงโทษเช่นนี้”
ฉู่อวี๋หยงพูด “พูดความจริง” น้ำเสียงเจือปนความรู้สึกผิด “หลังจากข้าแยกกับคุณหนูตันจูแล้ว ข้าก็ไปสลับถุงแห่งโชคที่องค์รัชทายาทเตรียมการไว้ ก่อนหน้านี้ยังเตรียมการไม่เสร็จ จึงไม่ได้บอกกับคุณหนูตันจูก่อน ทำให้เจ้าตกใจแล้ว”
เฉินตันจูรีบพูด “ไม่ต้องขอโทษหม่อมฉัน หม่อมฉันหมายถึงองค์ชายเพียงแค่ตรัสเรื่องที่องค์ชายทรงเปลี่ยนถุงแห่งโชค ไม่ได้ตรัสถึงองค์รัชทายาทหรือ”
ฮ่องเต้ทรงอาละวาดในตำหนักเช่นนี้ แต่เขากลับไม่เอ่ยถึงองค์รัชทายาทแม้แต่น้อย องค์รัชทายาทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องนี้เหมือนกับบรรดาแขกเหรื่อ
แต่อย่างไรเรื่องในครั้งนี้ก็เป็นแผนการขององค์รัชทายาท
เหตุใดสุดท้ายจึงกลายเป็นองค์ชายหกที่รับโทษ
องค์ชายหกสร้างเรื่องขึ้นมา ถือว่ายกหินทุบเท้าของตนเองหรือไม่
ฉู่อวี๋หยงหัวเราะเสียงเบา ไม่ได้ตอบหากแต่ถามกลับ “คุณหนูตันจู จุดประสงค์ขององค์รัชทายาทคือสิ่งใด”
เฉินตันจูพูด “ใช้หม่อมฉันเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นให้ท่านอ๋องฉีปั่นป่วนการคัดเลือกพระชายาในครั้งนี้ ทำให้ฝ่าบาททรงโกรธ” พูดไปแล้วไม่ใช่หรือ
ฉู่อวี๋หยงถามอีกครั้ง “จุดประสงค์ของคุณหนูตันจูล่ะ?”
เฉินตันจูพูด “หยุดยั้งการเกิดของเรื่องนี้ ไม่ให้ท่านอ๋องฉีมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาในครั้งนี้ ทำให้องค์รัชทายาทไม่สมหวัง”
“ดังนั้น เวลานี้จุดประสงค์ของคุณหนูตันจูบรรลุแล้ว” ฉู่อวี๋หยงพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินตันจูขมวดคิ้ว “แต่องค์รัชทายาทเล่า เขาไม่ถูกเปิดโปง เหตุใดองค์ชายจึงไม่ทูลฝ่าบาท”
เสียงหัวเราะดังขึ้นจากภายในม่านเบาๆ
“เพราะเรื่องที่องค์รัชทายาททำไม่ถือเป็นแผนการ” ฉู่อวี๋หยงพูด “เขาเพียงแต่ขอถุงแห่งโชคกับท่านมหาราชครูให้องค์ชายห้า ส่วนพระชายาองค์รัชทายาทเพียงแค่เดินไปเดินมาต้อนรับแขกด้วยความกระตือรือร้น ส่วนข่าวลือพวกนั้น ล้วนเป็นการคาดเดาของทุกคน”
เฉินตันจูเข้าใจความหมายของเขา องค์รัชทายาทไม่ปรากฏตัวแม้แต่น้อย ไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น…
นางกุมมือพลันพูดต่อ “ถึงแม้หม่อมฉันจะจับได้ถุงแห่งโชคที่องค์รัชทายาทเตรียมไว้ได้จริงก็ไม่เกี่ยวกับองค์รัชทายาท ถุงแห่งโชคนี้ผ่านมือของท่านมหาราชครู เมื่อถึงเวลาดึงท่านมหาราชครูเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แม้ท่านมหาราชครูจะเป็นพยาน แต่องค์รัชทายาทก็สามารถกล่าวว่าตนเองถูกใส่ร้าย เพราะว่าไม่มีหลักฐาน”
ฉู่อวี๋หยงพูด “ใช่ เรื่องนี้เปิดโปงไม่ง่าย หนึ่งคือหาหลักฐานได้ยาก สองคือ…” เสียงของเขาหยุดลง “ถึงแม้จะเปิดโปงจริง เสด็จพ่อก็ไม่มีทางลงโทษองค์รัชทายาท เรื่องนี้เป้าหมายคือเจ้า คุณหนูตันจู องค์รัชทายาทมีความแค้นกับเจ้า ฝ่าบาททรงรู้ดีแก่ใจ…”
ไม่ต้องให้เขาพูดต่อ เฉินตันจูก็เข้าใจแล้ว นางพยักหน้าพลันยิ้มเย้ยหยันตนเอง “ใช่ องค์รัชทายาทอยากกลั่นแกล้งหม่อมฉันก็ไม่แปลก สำหรับฝ่าบาทแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากเพียงแค่ตำหนิเขาว่าเหลวไหลเท่านั้น”
ฮ่องเต้จะลงโทษองค์รัชทายาทเพื่อนาง เฉินตันจูได้อย่างไร
เสียงของฉู่อวี๋หยงลอยออกมาจากหลังม่าน “ไม่เพียงไม่ลงโทษ ฝ่าบาทยังจะทรงช่วยปิดบัง ถึงแม้ข้าจะบอกว่านางในผู้นั้นเป็นพวกเดียวกับข้า แต่ข้ามั่นใจได้ว่านางไม่อาจมีชีวิตรอด”
“เสด็จพ่อทรงเป็นคนฉลาด ว่องไว และขี้ระแวง ถึงแม้ข้าจะไม่พูดถึงองค์รัชทายาทแม้แต่น้อย แต่เขาย่อมสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของข้าเพียงคนเดียว”
เฉินตันจูมองม่านที่คล้อยลง สีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่มากกว่านั้นคือโศกเศร้า
“แต่ ฝ่าบาทยังทรงลงโทษท่าน” นางพึมพำ
ชายหนุ่มภายหลังม่านไม่พูด ความเจ็บปวดในใจมากกว่าบนตัวเสียอีก
เฉินตันจูลุกขึ้นยืน “องค์ชายหก ท่านอย่าทรงเสียใจไป”
พูดจบประโยคนี้ นางก็เหม่อลอยเล็กน้อย ฉากนี้คุ้นเคยยิ่งนัก เวลานั้นองค์ชายสามถูกองค์ชายห้าลอบสังหารตอนที่กลับจากเมืองฉี ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อ ในที่สุดเขาก็สามารถเปิดโปงเรื่องที่องค์ชายห้ากับฮองเฮาลอบทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่าได้…ลอบทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ในฐานะเจ้านายของพระราชวัง ฮ่องเต้ไม่ใช่ไม่รู้ เพียงแค่เพื่อให้องค์รัชทายาทไม่ถูกผลกระทบ เขาไม่ได้ลงโทษฮองเฮา หากแต่รักใคร่องค์ชายสามมากขึ้นเพราะความรู้สึกผิด
แต่คนที่ถูกทำร้ายไม่ได้ต้องการความรัก หากแต่ต้องการความเป็นธรรม
หลังจากได้ยินเรื่องในวังแล้ว ท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินทางมาถึงภูเขาดอกท้อด้วยอารมณ์เศร้าโศก เวลานั้นนางก็พูดประโยคนี้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นคนนอก สามารถพูดปลอบได้ แต่เวลานี้คนที่ประสบกับความไม่เป็นธรรมคือองค์ชายหก การพูดว่าอย่าเสียใจกับคนที่ไม่เป็นธรรมช่างไร้ประโยชน์
เฉินตันจูพูดเสียงเบา “องค์ชาย ทรงร้องไห้บ้างเถิด”
ภายหลังม่านมีเสียงหัวเราะดังขึ้น ฉู่อวี๋หยงพูด “ไม่ต้องหรอก ไม่มีสิ่งใดให้ร้องไห้ ไม่ต้องเสียใจ การทำสิ่งใดไม่ต้องคิดมาก เพียงแค่จ้องมองไปที่เป้าหมาย เพียงแค่บรรลุเป้าหมายนี้ก็ถือว่าสำเร็จ เจ้าดู เป้าหมายของเจ้าคือไม่ให้ท่านอ๋องฉีพัวพันเข้ามา เวลานี้สำเร็จแล้ว”
ช่างเป็นชายหนุ่มที่รักษาตัวเองได้ดีเสียจริง ห่างกันเพียงม่านผืนเดียว เฉินตันจูราวกับสามารถมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่อวี๋หยง นางยิ้มตามพลันพยักหน้า
“ใช่ เป้าหมายขององค์รัชทายาทไม่บรรลุ” นางพูด “แต่เป้าหมายของหม่อมฉันบรรลุแล้ว ครั้งนี้ถือว่าน่าเฉลิมฉลอง”
พูดถึงตรงนี้ นางก็ชะงักลง
“แต่ว่า” นางมององค์ชายหก “เป้าหมายขององค์ชายเล่า”
เรื่องนี้พลิกได้เพราะฝีมือขององค์ชายหกเพียงผู้เดียว
เหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้ เป้าหมายของเขาคือสิ่งใด
โดนโบยหรือ
สำหรับองค์ชายหก เริ่มแรกเฉินตันจูไม่มีความรู้สึกพิเศษอะไร นอกจากงดงามเป็นพิเศษและความซาบซึ้ง แต่นางไม่ถือว่าสนิทกับองค์ชายหก อีกทั้งไม่คิดจะสนิท
แต่ไม่รู้เหตุใด นางจึงสนิทกับองค์ชายหก วันนี้ถึงขั้นร่วมมือกันถีบท่านอ๋องหลูตกน้ำในพระราชวัง ป่วนแผนการขององค์รัชทายาท
หากเวลานั้นไม่ได้พบกับองค์ชายหก ผลสุดท้ายอาจไม่ใช่แบบนี้ อย่างน้อยคนที่ถูกคงโบยไม่ใช่เขา
ถึงแม้จะพบหน้ากัน เดิมทีเขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ
แต่เขาช่วยเหลือนางอย่างไม่ลังเล
ดังนั้น…
เฉินตันจูมองผ่านม่าน “องค์ชายทำเพื่อหม่อมฉันใช่หรือไม่”
คนด้านหลังม่านราวกับไม่รู้จะพูดอย่างไร เพียงแค่เอ่ยออกมาอย่างลังเล “เรื่องนี้…”
เฉินตันจูพูดต่อ “อีกทั้งยังเพื่อท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กใช่หรือไม่ ก่อนหน้านี้หม่อมฉันขอให้เขาไหว้วานองค์ชายหกดูแลคนในตระกูล เวลานี้ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว ท่านไม่เพียงต้องดูแลคนในตระกูลของหม่อมฉัน ยังต้องดูแลหม่อมฉัน”
ด้านหลังเปลี่ยนจากคำว่า “เรื่องนี้…” เป็น “อ๋า…”
เฉินตันจูย่อเข่า “ขอบพระทัยองค์ชาย อันที่จริง…” พูดถึงตรงนี้นางก็ยิ้มขึ้นมา “ความจริงแล้ว หม่อมฉันพูดเรื่องจริงน้อยครั้งนัก แต่ตอนนั้นได้พบกับองค์ชายในพระราชวัง หม่อมฉันดีใจอย่างมาก อีกทั้งสบายใจอย่างมาก พูดไปองค์ชายอาจไม่เชื่อ ถึงแม้อันที่จริงคำพูดนี้หม่อมฉันไม่เคยบอกกับองค์ชาย หม่อมฉันเฉินตันจูดีใจ และสามารถพูดประโยคนี้กับองค์ชายที่มีอำนาจทุกคน แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน องค์ชาย…”
นางพูดจาคล่องแคล่วเสมอ อยากร้องไห้ก็ร้อง อยากหัวเราะก็หัวเราะ คำพูดอ่อนหวานพูดได้ตามใจ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ไม่ หากพูดตามความจริง เป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ก่อนหน้านี้สองครั้งล้วนอยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพ ถอดเกราะหุ้มที่หนาเตอะออก เผยให้เห็นท่าทีที่สับสน
เดิมทีฉู่อวี๋หยงอยากหัวเราะ แต่เมื่อได้ยินคำพูดตะกุกตะกักของหญิงสาว ก่อนจะมองร่างของหญิงสาวนอกม่าน รอยยิ้มบริเวณมุมปากก็กลายเป็นความขมขื่น
นางไม่เคยเชื่อความดีที่คนอื่นมีให้ ถึงแม้นางจะสัมผัสได้ถึงความดีที่คนอื่นมีให้นาง แต่นางก็จะคิดว่าเป็นเพราะผู้อื่น
อย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับนาง
“คุณหนูตันจู” ฉู่อวี๋หยงพูดขัดนาง “ก่อนหน้านี้ข้าถามเจ้า เรื่องต่อมาเป็นอย่างไร เจ้ายังไม่ได้บอกข้า”
เฉินตันจูผงะไป อ่อ ใช่ ลืมเลย นางสนใจเพียงความสงสัยของตนเอง ลืมไปแล้วว่าฉู่อวี๋หยงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เขาก็กำลังสงสัยอยู่เช่นเดียวกัน….ผลจากการถูกโบยเป็นอย่างไร
“ต่อมาฝ่าบาททรงเรียกพวกเราทั้งหมดเข้าไป จากนั้นทรงโกรธมาก แต่ก็ไม่ได้โกรธมาก หม่อมฉันหมายความว่าไม่ได้โกรธจนถึงขั้นต้องตาย เพียงแค่โกรธในฐานะผู้ใหญ่ที่เห็นเด็กๆ เหลวไหล” เฉินตันจูพูดต่อ “จากนั้นท่านอ๋องหลูทูลเรื่องที่หม่อมฉันคิดจะแย่งถุงแห่งโชค ฝ่าบาทก็ทรงโกรธมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ว่าหม่อมฉันก่อกวน เหมือนที่ท่านพูด ดึงคนลงสนามให้มากขึ้นจนเกิดความวุ่นวาย สุดท้ายก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก”
ฉู่อวี๋หยงส่งเสียงขึ้นจากหลังม่าน “ใช่แล้วล่ะ” ก่อนจะถาม “จากนั้นเล่า”
เฉินตันจูพูดต่อ “จากนั้นฝ่าบาทจะทรงลงโทษหม่อมฉัน เดิมทีหม่อมฉันคิดว่าจะโต้เถียงกับฝ่าบาท ให้ฝ่าบาททรงลงโทษหม่อมฉันอย่างหนัก ถือว่าเป็นการตักเตือนทุกคน แต่คราวนี้ฝ่าบาททรงไม่ยอม”
นางยังคงพูดไม่ตรงประเด็น ฉู่อวี๋หยงพูดเสียงเบา “หลังจากนั้นเล่า”
หลังจากนั้น เฉินตันจูบีบนิ้ว “หลังจากนั้น ฝ่าบาททรงทำเพื่อเกียรติยศ เพื่อปิดปากของทุกคนในแผ่นดิน อีกทั้งเพื่อท่านอ๋องทั้งสาม พระองค์ทรงถือว่าถุงแห่งโชคที่หม่อมฉันจับได้ใบนั้นเหมือนกับของท่านมหาราชครู แต่ว่าฝ่าบาทก็ทรงจะลงโทษหม่อมฉัน ตรัสว่าพุทธธรรมของท่านอ๋องทั้งสามไม่นับ”
“จากนั้นเล่า” เสียงภายในม่านถามอย่างสงสัย
เฉินตันจูถอนหายใจ พูดอย่างระอา “จากนั้น ฝ่าบาททรงให้หม่อมฉันเลือกระหว่างองค์ชายห้ากับองค์ชายหก หากหม่อมฉันเลือกองค์ชายห้า ย่อมติดกับดักขององค์รัชทายาทมิใช่หรือ”
ฉู่อวี๋หยงพยักหน้าอยู่ด้านหลังม่าน “ถูกต้อง เจ้าพูดถูก จากนั้นเล่า”
จากนั้นนางก็ไม่มีทางหนีแล้ว เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น “จากนั้นหม่อมฉันจึงเลือกองค์ชายหก”
คนด้านหลังม่านเงียบไป
อาจเป็นเพราะตกใจ หรืออาจเป็นเพราะไม่รู้ควรพูดสิ่งใด เฉินตันจูกังวลเล็กน้อย รีบพูด “องค์ชาย ใช่ว่าหม่อมฉันจะไม่ปฏิเสธเลย แต่ฝ่าบาททรงโกรธอยู่ พระองค์ไม่แม้แต่จะทรงโต้เถียงกับหม่อมฉัน อันที่จริงทุกคนต่างบอกว่าหม่อมฉันมักจะทำให้ฝ่าบาททรงโกรธ แต่ไม่ใช่เพราะหม่อมฉันใจกล้าหรือเหิมเกริม หากแต่ฝ่าบาททรงมีความต้องการนี้ จากนั้นพระองค์จึงทรงไหลไปตามน้ำเท่านั้น หากฝ่าบาททรงไม่อยากจะไหลตามหม่อมฉันแล้ว หม่อมฉันย่อมไม่อาจทำสิ่งใดได้…แต่ว่าองค์ชายหก องค์ชายไม่ต้องทรงเป็นกังวล หม่อมฉันจะคิดหาทาง รอฝ่าบาททรงหายโกรธ…”
ม่านถูกเปิดขึ้นเบาๆ องค์ชายอายุน้อยสวมชุดเรียบร้อยนั่งหลังตรงอยู่บนเตียง ใบหน้าภายใต้เงาลึกล้ำงดงาม เสียงของเฉินตันจูชะงักไป มองด้วยความผงะ
ฉู่อวี๋หยงยิ้มเบาๆ “คุณหนูตันจูไม่ต้องหาทางหรอก”
เฉินตันจูส่งเสียงออกมา เหมือนต้องการพูดบางสิ่ง แต่ฉู่อวี๋หยงพูดขัดนาง
เขาพูด “สิ่งนี้คือเป้าหมายของข้า”