รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 413 วิธีการเช่นนี้ไม่ดี จำเป็นต้องปรับปรุง!

บทที่ 413 วิธีการเช่นนี้ไม่ดี จำเป็นต้องปรับปรุง!

บทที่ 413 วิธีการเช่นนี้ไม่ดี จำเป็นต้องปรับปรุง!

“คุณชายหลี่จิ่วเต้าผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนอาวุโสใช่หรือไม่?”

ผู้นำตระกูลถามออกมาด้วยความระมัดระวัง

หืม!?

ไม่รู้จักตัวตนของท่านเซียนงั้นหรือ?

หลังจากฟังคำพูดของผู้นำตระกูล ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินต่างก็คิดขึ้นมาในใจ เห็นได้ชัดว่าผู้นำตระกูลไม่ล่วงรู้ถึงตัวตนของท่านเซียน อาจเข้าใจผิดว่าท่านเซียนเป็นเพียงแค่ปุถุชนทั่วไป

แต่เมื่อได้ยินพวกมันเรียกท่านเซียนว่าคุณชาย จึงเกิดความคิดเชื่อมโยงแล้วเอ่ยถามออกมาเช่นนี้

อย่างไรเสียคำเรียกว่าคุณชายก็แสดงให้เห็นถึงความเคารพ

“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว คุณชายหลี่ท่านนี้เป็นเพียงปุถุชนทั่วไป ทว่าเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ เชี่ยวชาญทั้งฉิน หมากล้อม เขียนพู่กัน และวาดภาพ มีเชื่องเสียงไปทั่วทั้งเมืองชิงซาน ชาวบ้านต่างพากันเรียกขานว่าเป็นคุณชาย พวกเราก็เพียงแต่เรียกตาม”

ต้นหลิวกล่าว

มันไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของท่านเซียนให้คนแปลกหน้าตามอำเภอใจ

“เป็นเช่นนั้นเอง?”

ผู้นำตระกูลนึกทบทวน จากข้อมูลที่รับรู้ว่าก่อนหน้า หลี่จิ่วเต้าก็เป็นเช่นนี้จริง ๆ นับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์หน้าทึ่ง ชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองชิงซาน ผู้ใดพบเห็นก็ล้วนเอ่ยเรียกว่าคุณชาย

หรือว่าเขาจะคิดมากเกินไปจริง ๆ?

“เป็นเช่นนั้นแหละ”

ต้นหลิวกล่าว

มันกลัวว่าผู้นำตระกูลจะขบคิดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก จึงรีบพูดต่อ “ช่วงนี้มักจะมีผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าไปสร้างเรื่องก่อภัยพิบัติในเมือง ทำให้ข้าหยุดเจ้าเอาไว้ แล้วถามถึงจุดประสงค์ที่เจ้ามาเยือนยังเมืองแห่งนี้”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”

ผู้นำตระกูลพลันตระหนักขึ้นมาว่าอาจเป็นตัวเขาที่คิดมากเกินไปจริง ๆ

ลองคิดดูอีกที ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นเทียนตี้อยู่ดี ๆ ก็จะปรากฏตัวขึ้นมาได้อย่างไร!

แต่ว่าเหตุใดต้นหลิวกับเจ้าก้อนหินถึงต้องการจะปกป้องเมืองปุถุชนแห่งนี้กัน?

ต้นหลิวพูดขึ้นมาราวกับสามารถล่วงรู้ได้ว่าผู้นำตระกูลคิดสิ่งใดอยู่ “จิตวิญญาณของพวกเราเกิดและเติบโตขึ้นมาที่นี่ ดังนั้นจึงมีความผูกพันกับดินแดนแห่งนี้เป็นอย่างมาก พวกเราจะไม่ยอมให้ผู้ฝึกตนเข้ามาก่อเรื่องในเมืองแห่งนี้เด็ดขาด!”

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว!”

ผู้นำตระกูลพยักหน้ารับหลายครั้ง ความสงสัยภายในใจของเขาถูกคลายออกอย่างสมบูรณ์

เขากล่าวออกมา “ทั้งสองท่านวางใจได้ ข้าจะไม่ก่อเรื่องในเมืองแห่งนี้ ทั้งยังไม่มีเจตนาร้าย เพียงแค่ต้องการจะพบกับคุณชายหลี่”

“เจ้าพูดว่าไม่มีเจตนาร้ายก็หมายความว่าไม่มีเจตนาร้ายจริงอย่างนั้นหรือ?”

ต้นหลิวพูดขึ้นมา มันไม่ยอมปล่อยให้ผู้นำตระกูลเข้าไปในเมืองได้ง่าย ๆ เพียงเพราะคำพูดอีกฝ่าย

“พวกท่านทั้งสองสามารถวางใจได้ ข้าไป๋มู่กระทำทุกอย่างด้วยความซื่อตรง ไม่เอ่ยโป้ปดหรือหลอกลวงผู้ใด ยิ่งต่อหน้าท่านทั้งสองยิ่งไม่กล้า!”

ผู้นำตระกูลกล่าว “ถ้าท่านทั้งสองยังคงไม่วางใจก็สามารถผนึกพลังทั้งหมดของข้าเอาไว้ได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ต่างอะไรไปจากปุถุชนผู้หนึ่ง”

เขาไม่มีเจตนาร้าย จึงไม่กังวลว่าจะต้องถูกผนึกพลัง

นอกจากนั้นแล้ว ไม่ว่าตัวของเขาจะถูกผนึกพลังเอาไว้หรือไม่ หากตี้จวินทั้งสองท่านต้องการจะเอาชีวิตของเขา ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย

อีกทั้งที่เขากล่าวออกมาเช่นนี้ก็เพื่อทำให้ต้นหลิวและก้อนหินไว้วางใจ

ทางด้านต้นหลิวกับเจ้าก้อนหินไม่ได้พูดอะไรออกมา

พวกมันกำลังขบคิดไปมาว่าควรจะปล่อยให้ผู้นำตระกูลเข้าเมืองไปดีหรือไม่

ถ้าหากปล่อยไป พวกมันก็เกรงว่าผู้นำตระกูลจะไปรบกวนท่านเซียน ทั้งยังเกรงว่าผู้นำตระกูลจะเป็นพวกเดียวกับเหล่าคนพวกนั้น แม้ว่าผู้นำตระกูลจะดูแตกต่างและเต็มไปด้วยความชอบธรรมก็ตาม

แต่ก็ไม่ใช่ข้อยืนยันว่าพวกเขาไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกัน?

ถ้าหากพวกเขาไม่ปล่อยอีกฝ่ายไป ก็กลัวจะคิดผิดไปว่าผู้นำตระกูลไม่ใช่พวกเดียวกับเหล่าคนที่มาก่อนหน้านี้จริง แต่เป็นคนที่ท่านเซียนต้องการจะพบล่ะ?

ในท้ายที่สุด พวกมันก็ตัดสินใจจะปล่อยให้ผู้นำตระกูลเข้าเมืองไป

หลังจากผนึกพลังของผู้นำตระกูลแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่คิดจะลงมือทำอะไร หากผู้นำตระกูลเป็นพวกเดียวกันกับคนเหล่านั้นจริงก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ นอกจากสืบสาวข้อมูลของท่านเซียน ไม่มีสิ่งใดจำเป็นต้องกังวลใจ

หากท่านเซียนไม่ต้องการ ผู้ใดจะสามารถสืบข้อมูลของท่านเซียนได้กัน?

ว่ากันตามจริงแล้ว พวกมันจะปิดผนึกหรือไม่ปิดผนึกพลังของผู้นำตระกูลย่อมไม่ต่าง ผู้ใดจะสามารถต่อกรหรือหลุดรอดพ้นไปจากสายตาของท่านเซียนได้กัน?

ทว่าพวกมันยังคงตัดสินใจจะผนึกพลังของผู้นำตระกูลเอาไว้ อย่างไรเสีย พวกมันก็ยังเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายจะสร้างความเสียหายให้กับตัวเมืองตามที่ได้พูดไปก่อนหน้า จึงไม่มีเหตุผลใดไม่ให้ผนึกพลังของผู้นำตระกูลเอาไว้

อีกอย่างหนึ่งคือ พวกมันพึ่งเริ่มรู้สึกว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของตนไม่ถูกต้อง

พวกมันไม่ควรสกัดผู้ฝึกตนทุกคนที่พบ จากนั้นก็ไม่ยอมให้พวกเขาได้เข้าไปในเมือง

หากทำเช่นนี้ต่อไปย่อมเป็นที่สงสัยเป็นแน่ว่า เหตุใดถึงไม่ยอมให้เข้าเมือง ทั้งยังต้องซักถามเรื่องราวต่าง ๆ

หนึ่งคนหรือสองคนย่อมไม่เป็นอะไร แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปจำนวนผู้ฝึกตนที่พวกมันหยุดเอาไว้แล้วซักถามเรื่องราวจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อถึงตอนนั้นเมืองชิงซานจะต้องกลายเป็นเป้าจับตามองของคนทั่วไปอย่างแน่นอน เหล่าผู้ฝึกตนต่างก็จะคิดว่ามีบางอย่างซุกซ่อนในเมืองชิงซาน ทำให้ดึงดูดผู้ฝึกตนเข้ามามากยิ่งขึ้น

ท่านเซียนชื่นชอบความเงียบสงบ พวกมันไม่อาจทำให้เมืองชิงซานกลายเป็นจุดสนใจดึงดูดผู้ฝึกตนจำนวนมากให้เข้ามาได้

พวกมันเหมือนจะทำไม่ถูกจริง ๆ พวกมันไม่ควรหยุดผู้ฝึกตนทุกคนไม่ให้เข้าเมือง

นอกจากนั้นแล้ว ในหมู่ผู้ฝึกตนอาจมีคนที่ท่านเซียนต้องการจะพบหน้าก็เป็นได้?

การกระทำของพวกมันไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง

เดิมทีต้นหลิวยังต้องการให้ผู้นำตระกูลแสดงความทรงจำวิญญาณของสาเหตุที่จะเข้าเมือง เพื่อตัดสินว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายหรือไม่

ทว่าหลังจากครุ่นคิดแล้ว ต้นหลิวก็เปลี่ยนใจ

วิธีการดังกล่าวดูแข็งกร้าวและน่าสงสัยเกินไป

“เจ้าเข้าไปได้ แต่จงอย่าก่อเรื่อง ไม่เช่นนั้นพวกเราจะไม่ไว้ชีวิตเจ้า!”

ต้นหลิวผนึกพลังของผู้นำตระกูลก่อนพูดต่อ “หลังจากที่เจ้าออกมา เมื่อพวกเราแน่ใจแล้วว่าเจ้าไม่ได้ลงมือก่อเรื่องอะไร พวกเราจะปลดผนึกพลังให้เจ้า”

“ทราบแล้ว”

ผู้นำตระกูลยิ้มแล้วเอ่ยตอบตกลง

สุดท้ายแล้ว ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินก็ปล่อยผู้นำตระกูลให้ออกจากมิติพิเศษและเข้าเมืองไป

ผู้นำตระกูลไม่ติดใจสงสัยสิ่งใด เขาเดินเข้าเมืองชิงซานด้วยสองขาทีละก้าว

หลังจากที่ผู้นำตระกูลจากไปแล้ว ต้นหลิวก็สนทนากับเจ้าก้อนหิน

“หลังจากนี้พวกเราจะไม่สามารถหยุดผู้ฝึกตนทุกคนที่พบเห็นได้อีก ถ้าเจอพวกที่แปลก ๆ หรือมีอะไรผิดปกติค่อยหยุด!”

เจ้าก้อนหินเองก็คิดเช่นเดียวกันจึงตอบกลับ “ใช่แล้ว! ถ้ายังทำเช่นนี้ต่อไป พวกเราอาจเลินเล่อไปขัดขวางคนที่ท่านเซียนต้องการจะพบ นับว่าเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างร้ายแรง”

หลังจากนั้นทั้งสองก็ปรึกษาหารือกันว่าในอนาคตต้องทำเช่นไรจึงจะดีที่สุด

อีกด้านหนึ่ง ผู้นำตระกูลกำลังเดินเข้าไปในเมืองชิงซาน

พลังทั้งหมดของเขาถูกผนึกเอาไว้ ทำให้เขาไม่ต่างอะไรไปจากปุถุชนทั่วไป จึงไม่อาจใช้ประสาทสัมผัสจักรพรรดิได้

หลี่จิ่วเต้าเป็นที่รู้จักกันดีในเมือง ดังนั้นหลังจากสอบถามก็ได้ตำแหน่งที่ตั้งของร้านหลี่จิ่วเต้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

หลังจากนั้นเขาก็เดินไปยังร้านของอีกฝ่าย

‘หวังว่าเซี่ยเหยียนจะอยู่ที่นั่น!’

เขาคิดขึ้นมาในใจ

เขาหวังว่าเซี่ยเหยียนจะอยู่กับหลี่จิ่วเต้า ซึ่งนั่นจะหมายความว่าเซี่ยเหยียนไม่ได้จงใจไม่พบหน้าเขา

หากนางไม่อยู่ ก็มีโอกาสเป็นไปได้มากที่เซี่ยเหยียนจะจงใจไม่พบหน้าเขา และไม่เต็มใจจะยอมรับคำขอโทษ

ในขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ เขาก็เดินจนมาถึงด้านหน้าร้านของหลี่จิ่วเต้าเสียแล้ว

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท