หวังเจียนถือแก้วชาที่ดื่มจนหมดแล้วเดินเข้ามาในห้อง เขามองพินิจฉู่อวี๋หยงที่ยืนมองเฉินตันจูจากไป
“องค์ชาย ไม่ออกไปส่งหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูดน้ำเสียงประหลาด “คุณหนูตันจูดูเหมือนจะไม่พอใจนัก”
ฉู่อวี๋หยงพูดด้วยรอยยิ้ม “นางไม่ได้โกรธข้า ข้าไม่กลัว”
หวังเจียนกลอกตา “ถึงจะไม่โกรธก็ไม่ได้ชอบใจนัก องค์ชายไม่ทรงทำอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ทำอันใดหรือ ฉู่อวี๋หยงนึกออกแล้ว เขาหันหลังกลับเข้าห้องด้านใน นำผ้าเช็ดหน้าที่เฉินตันจูใช้แล้วตากไว้บนราวลงมา ให้คนส่งน้ำสะอาดเข้ามา ก่อนจะลงมือซักเอง…
หวังเจียนถือแก้วชาเปล่าด้วยความผงะ “องค์ชาย ท่านทรงทำอันใด”
ฉู่อวี๋หยงซักผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดเบาๆ พูดพลันอมยิ้ม “ซักผ้าเช็ดหน้าให้คุณหนูตันจู ตากแห้งแล้วส่งคืนให้นาง นางคงไม่กล้ากลับมาเอาคืนแล้ว”
หวังเจียนถาม “นอกจากซักผ้าเช็ดหน้า พวกเราไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งทำเรื่องที่อันตรายอย่างมาก พวกเขาเปิดเผยตนเองต่อสายตาของผู้คนจำนวนมากในวันเดียว สามารถจินตนาการได้ว่าเวลานี้มีสายตาที่จับจ้องมายังจวนองค์ชายหกมากน้อยเพียงใด แต่ฉู่อวี๋หยงกลับเอาแต่ซักผ้าเช็ดหน้า
ฉู่อวี๋หยงบิดผ้าเช็ดหน้าให้แห้ง พลันพาดไว้บนราว เอ่ยขึ้น “ยังไม่มี” ก่อนจะหันไปยิ้มให้หวังเจียน “สิ่งที่ข้าต้องทำเสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องที่ผู้อื่นต้องทำ เมื่อผู้อื่นทำเรื่องของพวกเขาแล้ว พวกเราถึงจะรู้ว่าควรทำสิ่งใดและควรทำอย่างไร ดังนั้นไม่ต้องรีบร้อน…” เขาหันมองซ้ายขวา พลันครุ่นคิด “ไม่รู้คุณหนูตันจูชอบกลิ่นใด ตอนที่อบผ้าเช็ดหน้าจะทำอย่างไร”
ในขณะที่ฉู่อวี๋หยงกำลังครุ่นคิดปัญหานี้ เฉินตันจูที่นั่งรถม้ากลับไปถึงจวนนิ่งเงียบตลอดทาง เมื่อถึงจวนนางก็ล้างหน้าเปลี่ยนชุด นั่งอบผมอยู่ในห้อง ไม่พูดสิ่งใด
อาเถียนไม่อาจทนได้อีกต่อไป นางถามเสียงเบา “คุณหนู ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านไม่อยากอภิเษกกับองค์ชายหกหรือ องค์ชายหกทรงว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ตอนที่อยู่บนรถก่อนหน้านี้ เฉินตันจูพูดว่าเหมือนจะต้องอภิเษกกับองค์ชายหกแล้ว แต่นางไม่ได้เล่ารายละเอียด หลังจากที่เฉินตันจูเข้าไปในจวนองค์ชาย นางพยายามถามจู๋หลิน จู๋หลินจึงให้คนอื่นไปสืบอย่างหมดหนทาง ไม่นานนักก็รู้เรื่องราวทั้งหมด บรรดาคุณหนูที่จับพุทธธรรมที่เนื้อหาเหมือนกับท่านอ๋องทั้งสามย่อมต้องเป็นพระชายา แต่เฉินตันจูจับพุทธธรรมที่มีเนื้อหาเหมือนกับองค์ชายทั้งหก แต่สุดท้ายฝ่าบาททรงตัดสินใจพระราชทานคุณหนูให้องค์ชายหก…
“คุณหนูตันจูถูกคนวางกับดักอย่างแน่นอน” จู๋หลินพูดอย่างไม่ลังเล “ฝ่าบาทจะทรงเลือกนางเป็นพระชายาขององค์ชายหกได้อย่างไร”
ถึงแม้จะฟังดูเหมือนเป็นการดูหมิ่นคุณหนู อาเถียนอยากจะโต้แย้งแต่ก็ไร้คำพูด นางมองปฏิกิริยาของคุณหนูในเวลานี้ ภายในใจก็เป็นกังวลอย่างมาก
“องค์ชายหกจะตายแล้วหรือเจ้าคะ” นางถามเสียงเบา “จากนั้นให้คุณหนูท่านตายไปพร้อมกันหรือ”
เฉินตันจูขบขันกับความคิดของอาเถียน “ไม่ใช่ๆ” ก่อนจะเบ้ปาก ฉู่อวี๋หยงไม่ได้ตายง่ายเช่นนั้น หากแต่เขาทำให้คนตายได้อย่างง่ายดาย…เมื่อนึกย้อนกลับไป นางรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกองค์ชายหกจูงจมูกเดินอย่างไม่รู้ตัว
นางเหมือนกับจินเหยาเมื่อตอนเด็กอย่างเห็นได้ชัด
แต่ว่าฉู่อวี๋หยงคิดจะทำสิ่งใด หรือจะเป็นเหมือนที่เขาพูด เขาชอบนาง อยากอภิเษกกับนางอย่างนั้นหรือ
เฉินตันจูประคองใบหน้าด้วยสองมือ พึมพำว่าเหตุใดเขาจึงอยากอภิเษกกับนางกัน ไร้เหตุผลสิ้นดี
อาเถียนอดที่จะโต้แย้งไม่ได้ “อันใดกัน คุณหนูดีเช่นนี้ ผู้ใดก็อยากอภิเษกกับคุณหนู”
เฉินตันจูถลึงตาใส่นาง “เหตุใดจึงไม่เห็นผู้อื่นมาสู่ขอข้ากัน”
อาเถียนหัวเราะ “เพราะว่าพวกเขาไม่เห็นความดีของคุณหนูเจ้าค่ะ”
มีเพียงองค์ชายหกที่เห็นหรือ เฉินตันจูหัวเราะ “อย่างนั้นผู้อื่นคงตาบอด หรือไม่เขาก็เป็นคนสติไม่ดี”
หรืออาจเป็นคนใจกล้า?
อันที่จริงนางย่อมรู้ว่าเหตุใดผู้อื่นจึงดูถูกนาง เพราะว่าปัญหามาก ตนเองมีปัญหามากเพียงใด นำปัญหามาได้มากเพียงใด นางรู้ดีอย่างมาก
อาเถียนเหลือบมองเฉินตันจู อันที่จริงนางอยากจะพูดอย่างมาก แต่กลัวพูดไปแล้วจะทำให้คุณหนูหดหู่…อันที่จริงไม่ใช่ไม่มีผู้อื่นมาสู่ขอคุณหนู ทั้งองค์ชายสามทั้งโจวเสวียนต่างเคยมา อีกทั้งยังมีบัณฑิตที่นามว่าอาโฉ่วผู้นั้น พวกเขาต่างเห็นความดีของคุณหนู
แต่สาเหตุที่ไม่สำเร็จก็เพราะคุณหนูไม่ยินยอม
ดังนั้นคุณหนู อันที่จริงปัญหาที่ท่านไม่ต้องครุ่นคิดถึงสาเหตุ หากแต่ต้องครุ่นคิดว่าท่านยินดีหรือไม่
อาเถียนไม่พูด นางหวีผมให้เฉินตันจูเบาๆ เวลาที่เหม่อลอยเช่นนี้มีน้อยมากสำหรับคุณหนู โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ต้องคำนึงถึงความเป็นความตาย หากแต่เป็นปัญหาที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างเหตุใดจึงมีการอภิเษกอย่างกะทันหัน
เมื่อเทียบกับความเบื่อหน่ายของฉู่อวี๋หยงและเฉินตันจู ทางด้านฮ่องเต้นั่งลงอย่างอ่อนล้า งานเลี้ยงเหน็ดเหนื่อยกว่าการประชุมในท้องพระโรงเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นในงานเลี้ยงยังเกิดปัญหาใหญ่เช่นนี้
อาจารย์ฮุ้ยจื้อที่นั่งอยู่บนสันถัตส่งชาแก้วหนึ่งมาให้ “ชานี้อาตมาเป็นคนปรุงเอง ฝ่าบาททรงลองชิมดูว่าแตกต่างจากปกติหรือไม่”
หลังจากได้ยินการเรียกเข้าเฝ้าของฮ่องเต้ ท่านมหาราชครูก็เดินทางมาอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากจัดการฉู่อวี๋หยง ตามมาด้วยจัดการเฉินตันจู ฮ่องเต้ไม่มีเวลาพบเขาจริงๆ …อีกทั้งไม่มีความจำเป็นแล้ว ท่านมหาราชครูจึงรอคอยอยู่ตำหนักด้านข้างมาตลอด อีกทั้งยังใช้เวลานี้ในการต้มชา
ฮ่องเต้รับมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านมหาราชครูยังมีฝีมือนี้ด้วยหรือ” พูดพลางดื่มชา พยักหน้าชื่นชม “เลิศรสเสียจริง”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อยิ้ม ก่อนจะรินชาช้าๆ อีกครั้ง “อาตมาล้ำเส้นทำให้ฝ่าบาททรงกังวลพระทัยแล้ว หากรู้ว่าองค์ชายหกจะทำเช่นนี้ อาตมาย่อมไม่ให้ถุงแห่งโชคแก่เขา”
ฮ่องเต้ส่ายหัวพลันยกแก้วชาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ท่านมหาราชครูเชื่อหรือไม่ ถึงแม้ท่านจะไม่ให้ถุงแห่งโชคแก่เขา เขาก็สามารถหามาได้จากที่อื่น” เขาครุ่นคิดพลันถามขึ้น “เขาให้ผู้ใดไปหาท่าน”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อยิ้มพลันทำท่าทาง “ปิดหน้า อาตมาก็มองไม่เห็นใบหน้าของเขา”
ถึงแม้คนผู้นั้นจะบอกชื่อ แต่ฮ่องเต้ถามว่าคนผู้นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งเขาไม่เห็นลักษณะของคนผู้นั้นจริงๆ
เมื่อได้ยินเขาตอบเช่นนี้ ฮ่องเต้ก็ไร้ความสงสัย หากแต่ส่งเสียงไม่พอใจ “ปิดหน้าก็ไม่รู้ว่าเป็นคนของเขาแล้วหรือ”
ท่านมหาราชครูเอ่ยขึ้น “โลกก็เป็นเช่นนี้ เรื่องของมนุษย์ปั่นป่วนจิตใจ ฝ่าบาททรงวางพระทัย บุตรหลานย่อมมีวาสนาของตนเอง”
ฮ่องเต้ดื่มชาอีกแก้วพลันส่ายหน้า “ไร้หนทาง ไร้หนทาง”
ฮ่องเต้ดื่มชาอย่างเงียบสงบ จากนั้นท่านมหาราชครูขอทูลลา ฮ่องเต้ไม่ได้รั้งเอาไว้ เขาให้ขันทีจิ้นจงส่งอีกฝ่ายออกไป ด้านนอกตำหนักยังมีเสวียนคงผู้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฮุ้ยจื้อรอคอยอยู่…ตอนเกิดเรื่องก่อนหน้านี้ เสวียนคงถูกจับเอาไว้ เพราะว่าถุงแห่งโชคผ่านมือของเขาคนเดียว
เวลานี้มีองค์ชายหกกับนางในยอมรับความผิด เสวียนคงจึงหลุดพ้นจากข้อครหา สามารถติดตามท่านมหาราชครูจากไปได้
สีหน้าของเสวียนคงเรียบเฉย เขาเดินตามท่านมหาราชครูออกจากวังหลังนั่งขึ้นรถ จนกระทั่งม่านรถปล่อยลงมา เสวียนคงจึงอดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ “เกือบไปแล้ว”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อมองเขาอย่างเรียบเฉย “ท่าทางไม่เอาไหน เกือบไปแล้วอันใดกัน”
เกือบไปแล้วสิ ตอนที่ส่งมอบให้องค์รัชทายาท เปลี่ยนถุงแห่งโชคที่องค์รัชทายาทขอในเดิมทีมันเป็นการเสี่ยงอันตรายที่จะทรยศต่อองค์รัชทายาท อีกทั้งถุงแห่งโชคที่เตรียมให้องค์ชายหกทำให้เกิดเรื่องพลิกผันอันใหญ่หลวงในงานเลี้ยง มันเป็นการทรยศต่อฝ่าบาท คนหนึ่งเป็นจักรพรรดิ อีกคนเป็นองค์รัชทายาท การทำเช่นนี้คือการหาที่ตาย!
“หาที่ตายอย่างนั้นหรือ แต่เจ้าก็ยังทำเช่นนี้?” อาจารย์ฮุ้ยจื้อเหลือบมองเขา “เหตุใดจึงไม่ทูลฟ้อง”
ไม่ว่าจะทูลฟ้ององค์รัชทายาทหรือว่าฝ่าบาท เขาย่อมจะได้รับผลประโยชน์
เสวียนคงหัวเราะ “อาจารย์ท่านยังไม่ทูลฟ้ององค์ชายหกเลย เห็นได้ชัดว่าการทูลฟ้องอาจไม่มีผลประโยชน์”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อทำหน้าจริงจัง “ข้าไม่ได้ทำเพื่อองค์ชายหก หากแต่มันคือปัญญาของพุทธธรรม”
เสวียนคงมองอาจารย์ด้วยความเคารพ พลันพยักหน้า ดังนั้นเขาถึงได้ติดตามอาจารย์ แต่ว่า…
“ไม่คิดว่าองค์ชายหกจะทรงรักษาสัจจะ” เขายังคงไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ยังคงมีความคิดในทางโลก พูดเสียงเบาด้วยความโชคดีและความกลัว “พระองค์ทรงยอมรับผิดแต่ผู้เดียวจริงๆ”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อพูดอย่างเรียบเฉย “ข้าไม่เคยกังวลเรื่องนี้”
เสวียนคงโน้มหัวอย่างจริงใจ “ศิษย์ต้องเรียนรู้จากอาจารย์อีกมาก”
ตามการจากไปของท่านมหาราชครู วังหลวงถูกความมืดปกคลุม ความคึกคักเมื่อตอนเช้าสลายไปแล้ว
ฮ่องเต้หลับตาพักผ่อนอยู่บนเตียงหลังจากดื่มชาเสวยพระกระยาหาร ขันทีจิ้นจงเดินเข้ามาเงียบๆ
ฮ่องเต้ถามในขณะที่หลับตาอยู่ “จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
ขันทีจิ้นจงตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ ซู่เอ๋อใช้สายคาดเอวปลิดชีพตนเองในห้องสืบสวน เพราะก่อนหน้านี้พระสนมเสียนให้คนมาบอกว่าไม่ให้นางกลับไปทางนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงตอบรับอย่างเรียบเฉย
ขันทีจิ้นจงพูดเสียงเบา “ต้องสืบข่าวลือเรื่องที่พระชายาองค์รัชทายาทคัดเลือกเหลี้ยงตี้ให้องค์รัชทายาท คัดเลือกพระชายาให้องค์ชายห้าในสวนดอกไม้ด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่ายหน้า “ไม่ต้องสืบแล้ว ล้วนผ่านไปแล้ว”
ขันทีจิ้นจงตอบรับ ในขณะที่กำลังจะก้มหน้าถอยออกไป ฮ่องเต้ก็ลืมตาขึ้นมา
“เรียกองค์รัชทายาทมา” เขาพูด “วันนี้เขาก็เหนื่อยมากแล้ว ข้าอยากกินมื้อดึกกับเขา”