ราวกับกังวลว่านานไปจะเกิดเรื่องขึ้นอีก วันรุ่งขึ้นฮ่องเต้ก็ทรงเชิญตระกูลชนชั้นสูงเหล่านั้นเข้าวังมาเพื่อหารือเรื่องงานอภิเษกระหว่างบุตรสาวของพวกเขากับท่านอ๋องทั้งสาม หลังจากนั้นจึงประกาศต่อทั่วทั้งแผ่นดิน วันที่สี่ก็ทรงให้สำนักซือเทียนเจียน[1]กำหนดวันเวลา
ในเวลาเดียวกันก็ทรงเอ่ยถึงเรื่องงานอภิเษกระหว่างองค์ชายหกกับเฉินตันจู อีกทั้งจะจัดพร้อมกัน แต่เนื่องจากร่างกายขององค์ชายหกไม่ดีนัก ทุกสิ่งล้วนดำเนินไปอย่างเรียบง่าย หลังจากอภิเษกแล้วยังคงต้องกลับเมืองซีจิงไปเพื่อรักษาร่างกาย
ข่าวนี้ทำให้บรรดาผู้คนในเมืองหลวงต่างโล่งอก อีกทั้งยังเกิดความรู้สึกประทับใจต่อองค์ชายหกที่ไม่คุ้นเคยและไม่สนใจท่านนี้ เขาสามารถพาเฉินตันจูจากไปได้ ช่างเป็นดาวนำโชคของคนในเมืองหลวง
ในเมื่อฮ่องเต้ตรัสแล้วว่างานอภิเษกขององค์ชายหกกับเฉินตันจูจะจัดอย่างเรียบง่าย ดังนั้นสายตาของทุกคนต่างเพ่งเล็งไปยังงานอภิเษกของท่านอ๋องทั้งสาม พระชายาที่พวกเขาจะสู่ขอล้วนเป็นตระกูลใหญ่ของต้าเซี่ย สตรีชนชั้นสูงทั้งสามล้วนเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรม อีกทั้งยังมีประวัติมากมายที่สามารถพูดได้ อาทิพระชายาท่านหนึ่งมีลายมือที่สวยงาม พระชายาท่านหนึ่งเชี่ยวชาญในการดีดพิณเป็นต้น อย่างไรก็น่ายินดีมากกว่าเมื่อเทียบการพูดถึงเรื่องของเฉินตันจู
แขกที่มาเยือนจวนท่านอ๋องหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย จวนของว่าที่พระชายาทั้งสามก็คึกคักไม่น้อย ของขวัญแสดงความยินดีถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง
แต่จวนองค์ชายหกกับเฉินตันจูนั้นยังคงเงียบเหงา ไม่มีร่องรอยของการจัดงานมงคลแม้แต่น้อย
จวนองค์ชายหกถูกฮ่องเต้รับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ อีกทั้งยังอารักขาเข้มงวดกว่าแต่ก่อน ราวกับกังวลว่าจะรบกวนองค์ชายหกพักรักษาตัว อยู่ไม่ถึงวันอภิเษก
ส่วนทางด้านเฉินตันจูนั้นเป็นเพราะไม่มีคนอยากเข้าใกล้
แต่ว่าทางเฉินตันจูก็ใช่ว่าจะไม่มีแขกมาเยือนแม้แต่คนเดียว หลิวเวยกับหลี่เหลียนได้เดินทางมาหลังจากที่ได้ข่าว
“ตันจู เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าไปซีจิง พวกเราก็ต้องแยกจากกันแล้ว” หลิวเวยพูดอย่างเศร้าโศก
เฉินตันจูยื่นแตงที่หั่นเสร็จชิ้นหนึ่งให้นาง “อย่ากังวล อาจไม่ได้อภิเษกก็เป็นได้”
ถึงแม้รู้สึกเศร้าที่ต้องแยกจากกัน แต่เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ หลิวเวยก็รีบเอ่ยขึ้น “อย่าพูดเหลวไหล”
ฮ่องเต้พระราชทานงานอภิเษกด้วยพระองค์เอง อีกทั้งประกาศต่อแผ่นดินแล้ว กำหนดงานอภิเษกคือหนึ่งเดือนหลังจากนี้ เวลานี้สำนักเส้าฝู่เจี้ยนกำลังจัดเตรียมงานอภิเษกอย่างสุดความสามารถ
เฉินตันจูกลับบอกว่าอาจไม่ได้อภิเษก
จะไม่อภิเษกได้อย่างไร หากพูดอย่างไม่น่าฟัง ถึงแม้องค์ชายหกจะอยู่ไม่ถึงวันอภิเษก เฉินตันจูก็ต้องอภิเษกกับป้ายอยู่ดี
เมื่อนึกได้เช่นนี้ สีหน้าของหลิวเวยก็แสดงออกถึงความกังวล ผู้คนต่างบอกว่าองค์ชายหกไม่ไหวแล้ว ฮ่องเต้จะทรงใช้เฉินตันจูขจัดความอัปมงคลให้องค์ชายหก
“ตันจู หากเจ้าไม่อยากอภิเษก” นางถามเสียงต่ำ “มีวิธีหรือไม่”
เฉินตันจูพลางกินแตงหวานพลางครุ่นคิด ราวกับสับสนอย่างมาก
“แต่ไม่ว่าอย่างไร” หลี่เหลียนที่อยู่ด้านข้างรีบดึงนางเอาไว้ เอ่ยขึ้น “ตันจู คนต้องมีชีวิตอยู่ถึงจะมีความหวัง เจ้าอย่าได้เหลวไหล”
คนอื่นไม่รู้ แต่หลี่เหลียนรู้ว่าเหยาฝูถูกเฉินตันจูสังหารจากบิดาของนาง อีกทั้งนางยังใช้วิธีที่พร้อมจะตายไปด้วยกัน ดังนั้นหลังจากกลับมา เฉินตันจูจึงป่วยจนเกือบตายไปในคุก
ตายไปพร้อมกันอย่างนั้นหรือ เฉินตันจูครุ่นคิด อย่างนั้นถือว่ามีแค่นางที่หาที่ตาย ฉู่อวี๋หยงไม่ได้สังหารง่ายเหมือนเหยาฝู
“พวกเจ้าไม่ต้องกังวลแล้ว” นางยิ้มให้ทั้งสอง “แม้จะไม่อภิเษก แต่การตัดสินใจนี้ย่อมมาจากการหารือของข้ากับองค์ชายหก หลังจากหารือแล้ว เขาจะหาทาง”
หมายความว่าอย่างไร หลิวเวยกับหลี่เหลียนสบตากัน ฟังดูแล้วทั้งสองคนสนิทกันอย่างมาก น้ำเสียงที่ใช้พูดนี้…หลังจากหารือกันแล้ว เขาจะหาทาง เหตุใดจึงเหมือนการเกี้ยวพาราสี
สายตาของทั้งสองมองไปทางเฉินตันจูอีกครั้ง หญิงสาวกินแตงหวานชิ้นหนึ่งเสร็จก็ยื่นมือออกไปปลอกองุ่นทีละเล็กทีละน้อยอย่างระมัดระวัง มุมปากยกยิ้ม หัวไหล่ส่ายไปส่ายมา จากนั้นเงยหน้ากินลงไปทั้งลูก
“เหตุใดองค์หญิงจึงไม่มาหาข้า” เฉินตันจูเคี้ยวองุ่นพลันถาม “เรื่องใหญ่เพียงนี้”
วันนั้นหลังจากบอกลากันในสวนดอกไม้อย่างเร่งรีบ นางก็ไม่ได้พบกับองค์หญิงจินเหยาอีกเลย ไม่รู้ว่าเมื่อนางได้ยินข่าวนี้จะมีความรู้สึกอย่างไร ตกตะลึงหรือว่าเสียใจ
“องค์หญิงสนิทกับองค์ชายหกอย่างมาก” เฉินตันจูถามอย่างอยากรู้ “แต่องค์หญิงก็สนิทกับข้าอย่างมาก พวกเจ้าว่าหากข้าอภิเษกกับองค์ชายหก นางจะดีใจหรือว่าเสียใจ เสียใจแทนข้าหรือว่าเสียใจแทนองค์ชายหก”
ทางหนึ่งเป็นพี่ชายอีกทางเป็นสหาย หน้ามือหลังมือล้วนเป็นเนื้อ ผู้ใดคู่ควรกับผู้ใด ผู้ใดไม่คู่ควรกับผู้ใด ช่างเลือกยากเสียจริง
ท่าทางของเจ้าเช่นนี้ ช่างดูไม่ออกว่ามีเรื่องใดให้เสียใจแทน หลี่เหลียนอยากหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“องค์หญิงทรงไม่มีเวลาเสียใจแทนพวกเจ้า” หลี่เหลียนพูดเสียงเบา “งานเลี้ยงครานี้ ฝ่าบาทยังทรงเลือกบุรุษผู้มีความสามารถหลายคนให้องค์หญิงเลือก องค์หญิงกำลังอาละวาดอยู่”
อย่างนี้หรือ ช่างทำให้คนกลุ้มใจเสียจริง เฉินตันจูพยักหน้า “อภิเษกกับคนที่ไม่ชอบ ช่างน่าโมโหเสียจริง”
อ่อ หลี่เหลียนกับหลิวเวยสบตากันอีกครั้ง อย่างนั้นดูเหมือนว่าคุณหนูตันจูไม่ได้โกรธมาก
“ตันจู” หลี่เหลียนถามอย่างตรงไปตรงมา “งานอภิเษกจะเตรียมอย่างไร ในจวนเจ้าก็ไม่มีคนดูแล ข้าให้ท่านแม่นำคนมาช่วยดีกว่า”
เฉินตันจูหยิบขนมถั่วเขียวชิ้นหนึ่งขึ้นมาพินิจลวดลาย ก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง “ไม่ต้องๆ อาจไม่ได้อภิเษกก็ได้” พูดพลางบอกพวกนาง “ลองชิมอันนี้ดู”
หลี่เหลียนกลับไม่ได้กิน หากแต่ลากหลิวเวยลุกขึ้นขอตัว “เจ้ากินเองเถิด พวกเรามีเรื่องต้องทำ”
ทำเรื่องใดกัน เฉินตันจูฉงน
หลี่เหลียนยิ้มแต่ไม่ตอบ นางพาหลิวเวยจากมา หลิวเวยนั่งบนรถม้าด้วยความฉงน “พี่อาเหลียน มีเรื่องใดให้ข้าช่วยหรือ”
“ช่วยตันจูเตรียมงานอภิเษก” หลี่เหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้งานอภิเษกจะมีสำนักเส้าฝู่เจี้ยนจัดเตรียม แต่สิ่งของติดตัวของหญิงสาวอย่างชุด รองเท้าหรือถุงเท้ายังคงต้องให้คนในตระกูลจัดเตรียม ครอบครัวของตันจูไม่อยู่ที่นี่ ข้าคิดว่านางคงไม่บอกคนในตระกูล พวกเราจึงทำได้เพียงเป็นผู้เตรียมให้นางแล้ว”
ถึงแม้หลิวเวยจะเชื่อมั่นว่าพระราชโองการของฮ่องเต้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่ฟังจากที่เฉินตันจูพูด บางทีนางอาจไม่ต้องอภิเษกจริงก็ได้…หากเฉินตันจูไม่ชอบ ย่อมมีวิธีจัดการ
หลี่เหลียนหันกลับไปมองจวนตระกูลเฉิน “ท่าทางของตันจูไม่ใช่ไม่ชอบ หากแต่ไม่ทันได้ตั้งตัว อีกทั้งไม่ยอมนึกถึง”
หลิวเวยนึกย้อนไปถึงท่าทางของเฉินตันจูก็อดยิ้มไม่ได้ “ใช่ อย่างน้อยสามารถมองออกว่าตันจูไม่ได้กลัวหรือรังเกียจองค์ชายหก”
ถึงแม้เฉินตันจูไม่สนใจงานอภิเษกในคราวนี้ แต่นางก็ไม่ได้ปฏิเสธคนผู้นี้นัก
เพียงแค่ไม่ปฏิเสธต่อคน ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้
“ดังนั้นให้นางค่อยๆ คิดเองเถิด พวกเราไปเตรียมการ” หลี่เหลียนพูดด้วยรอยยิ้ม “มิฉะนั้นเมื่อนางคิดได้แล้วคงจะไม่ทันการ โกลาหลวุ่นวาย”
หลิวเวยพยักหน้า ไม่มีหญิงสาวคนใดยอมรับงานแต่งที่วุ่นวาย อย่างไรแล้วก็มีเพียงครั้งเดียวในชีวิต
“ข้าจะเขียนจดหมายให้ท่านพี่” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “เพื่อไม่ให้เขาเร่งเดินทางกลับมาจนเจ็บคออีก”
…
หลี่เหลียนกับหลิวเวยจากไป หน้าประตูจวนกลับคืนสู่ความสงบ แต่ภายในจวนนั้นไม่สงบนักเนื่องจากมีเสียงนกร้องดังขึ้น
จู๋หลินกระโดดขึ้นหลังคาทันที มองเฟิงหลินที่ถูกล้อมอยู่กลางลาน
“เฟิงหลิน” สีหน้าของเขาทั้งตกตะลึงทั้งลังเล “เจ้ามาได้อย่างไร”
บรรดาองครักษ์ที่ล้อมรอบเฟิงหลินเอาไว้ก็ลังเล แต่ไม่ได้กระจายตัวออกไป
เฟิงหลินชูสัมภาระขนาดเล็กในมือ “ข้ามาส่งของให้คุณหนูตันจูแทนองค์ชายหก”
ของ?
อาเถียนเดินเข้าใกล้เมื่อเฉินตันจูเปิดสัมภาระออก “ผ้าเช็ดหน้าของคุณหนู” ก่อนจะมองกล่องที่อยู่ใต้ผ้าเช็ดหน้า เมื่อเปิดออกก็พบกับขนมที่สวยงาม
เฉินตันจูเปิดจดหมายที่วางอยู่ด้านในสัมภาระ ลายมือที่งดงามเขียนว่า “ผ้าเช็ดหน้าซักสะอาดแล้ว ถือวิสาสะอบธูปหอมให้ ไม่รู้ว่าเจ้าชอบหรือไม่ หากไม่ชอบ เขาจะส่งผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่มาให้ ส่วนขนมนี้เป็นฝีมือของพ่อครัวในจวน รสชาติเหมือนในเมืองซีจิง เจ้าลองชิมว่าชอบหรือไม่”
อาเถียนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาดม “ไม่แตกต่างเลยเจ้าค่ะ รู้สึกเหมือนกลิ่นที่คุณหนูใช้ประจำ”
เฉินตันจูไม่พูด
อาเถียนเปิดกล่องขนมออก “คุณหนูท่านกินหรือไม่เจ้าคะ”
เฉินตันจูครุ่นคิดก่อนจะส่ายหน้า “ข้ากินอิ่มแล้ว ตอนกลางคืนค่อยกินเถิด”
อาเถียนจึงเก็บเอาไว้อย่างดีใจ จากนั้นเงยหน้ามองจู๋หลินที่ยังยืนอยู่
“เฟิงหลินถามว่าคุณหนูมีจดหมายตอบกลับหรือไม่ขอรับ” จู๋หลินพูดด้วยความลังเล
มีเรื่องใดต้องตอบกลับกัน เฉินตันจูครุ่นคิด จรดปลายพู่กันก่อนจะมอบให้จู๋หลิน “เอาไปเถิด”
จู๋หลินไม่ได้อยากแอบดู เพียงแต่จดหมายถูกเปิดเอาไว้ เพียงแค่ก้มหน้าก็สามารถเห็นตัวอักษรที่เขียนว่าหม่อมฉันรู้แล้ว
ทั้งสามคำนี้คุ้นเคยอย่างมาก จู๋หลินรู้สึกหดหู่ไม่น้อย ตอนนั้นท่านแม่ทัพก็มักจะตอบสามคำนี้ เขาไม่เข้าใจความหมายแม้แต่น้อย เวลานี้คุณหนูตันจูก็ตอบเช่นนี้ เฮ้อ…เขายังคงไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร
[1] สำนักซือเทียนเจียน หมายถึง หน่วยงานหรือขุนนางที่ทำหน้าที่สังเกตปรากฏการณ์บนท้องฟ้า คำนวณปฏิทิน