ตอนที่ 436 งานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์
เช้าวันรุ่งขึ้น เหล่าผู้บริโภคก็ได้เห็นภาคต่อของข่าวการลอกเลียนแบบสไตล์เสื้อผ้าของสองกิจการในหนังสือพิมพ์— ซีม่านฟ้องกลับหลินม่ายข้อหาหมิ่นประมาท
ข่าวนี้นับวันชักจะน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ จนยอดขายของหนังสือพิมพ์ฉู่เป้าทุบสถิติใหม่ในวันนั้น ทำให้ผู้บริหารระดับสูงมีความสุขจนยิ้มกว้างปากเกือบถึงหู
หัวหน้ากองบรรณาธิการเรียกหนิวลี่ลี่ไปชมเชยเป็นพิเศษที่ห้องทำงานส่วนตัว ทำให้หนิวลี่ลี่ปลื้มปริ่มไปหลายวัน
เนื่องจากมีนักธุรกิจชาวฮ่องกงมาเกี่ยวข้อง ศาลจึงดำเนินการไกล่เกลี่ยอย่างทันท่วงที
กวนหย่งหัวในฐานะนักธุรกิจชาวฮ่องกงคนนั้นไม่ยอมเปิดเผยตัว แทนที่จะขึ้นศาลเพื่อรับการไกล่เกลี่ยด้วยตัวเอง เขากลับส่งตัวแทนทางกฎหมายไป
ตัวแทนทางกฎหมายคนนี้พูดย้ำอยู่แค่คำเดียว คือสิ่งที่คุณกวนหย่งหัวพูดเป็นความจริงทั้งหมด ไม่ใช่การใส่ร้ายแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม ฝ่ายหลินม่ายต่างหากที่โกหก ลูกความของเขาจึงตัดสินใจฟ้องร้องเธอในข้อหาหมิ่นประมาทจนกว่าเธอจะถูกตัดสินลงโทษ เพราะฉะนั้นเขาไม่ยอมรับการไกล่เกลี่ย
หลินม่ายหัวเราะเยาะ “อย่างกับฉันอยากจะไกล่เกลี่ยมากนักแหละ ตอนนี้ยังมีโอกาส อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เดี๋ยวจะต้องอับอายขายขี้หน้าทีหลัง!”
เมื่อเห็นว่าการไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล ศาลจึงประกาศพิจารณาคดีใหม่ในวันพุธหน้า
อีกไม่กี่วันก็ถึงวันอาทิตย์แล้ว ตรงกับวันที่หลินม่ายจัดงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์
งานเลี้ยงมีกำหนดการเริ่มงานตอนเที่ยงวัน
ตอนเช้า หลินม่ายแวะไปประชุมที่โรงงานตัดเสื้อ Unique จากนั้นก็กลับมาอ่านหนังสือต่อที่บ้าน
เธอไม่แต่งตัวจนกว่าจะถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง
เนื่องจากเป็นแค่งานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ธรรมดา จึงไม่ได้พิถีพิถันในการแต่งตัวมากนัก
เธอสวมชุดสีขาวที่เถาจืออวิ๋นเป็นคนตัดให้ ใส่ที่คาดผมรูปโบว์สีม่วง แค่นี้ก็กลายเป็นสาวสวยทันสมัยแล้ว
พอหลินม่ายขี่จักรยานมาถึงคฤหาสน์ ก็พบว่าคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ แต่งตัวรอเรียบร้อยแล้ว
คุณปู่ฟางสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงสีขาวตัวใหม่ที่เถาจืออวิ๋นตัดให้ ภาพรวมดูทะมัดทะแมงมาก
โต้วโต้สวมชุดกระโปรงเจ้าหญิง ใส่ที่คาดผมแบบเดียวกันกับที่หลินม่ายใส่ แตกต่างกันแค่เป็นคนละสี
คุณย่าฟางแต่งตัวหรูหราที่สุดในบ้าน สวมกี่เพ้าผ้าซาตินสีเขียวเข้มพิมพ์ลวดลายดอกโบตั๋น ผมสั้นดัดลอนไว้อย่างสวยงาม
นางดูสง่างามมาก เหมือนเป็นหญิงชราที่มาจากครอบครัวเศรษฐี
…แต่นางก็มาจากครอบครัวเศรษฐีจริง ๆ นั่นแหละ
มีเพียงฟางจั๋วหรานที่สวมใส่เสื้อผ้าตัวเดิม ๆ ที่เธอเคยเห็น
ถึงเสื้อผ้าของเขาจะไม่ได้ย่ำแย่อะไร แต่หลินม่ายก็อดรู้สึกผิดลึก ๆ ไม่ได้
ผู้ชายคนนี้มีแฟนแล้ว แต่แฟนสาวของเขากลับลืมซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เขาสักสองสามชุด
หลังจากงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์จบลง เธอตั้งใจว่าจะซื้อเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าให้เขาใหม่
หลินม่ายยิ้มกว้างพลางชื่นชมคุณย่าฟาง “คุณย่าสวยมากเลยค่ะ!”
คุณย่าฟางลูบผมสั้นที่ดัดลอนของตัวเอง พูดด้วยความเขินอาย “คุณปู่ยืนกรานจะให้ฉันดัดผมให้ได้ เลยต้องตามใจเขา”
คุณปู่ฟางพูดกลั้วหัวเราะ “รีบแต่งตัวสวยในวันที่คุณยังไม่แก่ตัวมากจนผิวพรรณเปลี่ยนเป็นเปลือกส้มเถอะ อีกไม่นานถ้าฟันหลุดร่วง ผมบางลง ถึงตอนนั้นอยากจะแต่งตัวก็แต่งไม่ได้แล้ว”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนหัวเราะออกมา
ถ้าถามว่าอาหารจีนประเภทไหนที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นอาหารกวางตุ้ง
เมื่อพิจารณาว่าอาจารย์หลาย ๆ ท่านอายุไม่น้อยแล้ว ทั้งยังมีสองสามีภรรยาชราตระกูลฟางไปร่วมงาน
ฟางจั๋วหรานจึงตั้งใจว่าจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ของหลินม่ายที่ร้านอาหารอ้ายฉินไห่ของเขาเอง
ร้านอาหารอ้ายฉินไห่ขึ้นชื่อด้านอาหารกวางตุ้ง
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานยืนอยู่ที่หน้าประตูร้านอาหารเพื่อรอต้อนรับแขก
ผู้คนที่สัญจรไปมาอดหันมองไปทางพวกเขาไม่ได้
จากนั้นก็กะพริบตาปริบ ๆ ช่างเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันอะไรอย่างนี้!
แขกทยอยเดินทางมาถึงทีละคน
มีบรรดาอาจารย์ของหลินม่าย เพื่อนร่วมงาน รวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชา…
รวมแล้วหลายโต๊ะทีเดียว
แขกหลายคนต่างมอบของขวัญให้เธอ ตั้งแต่มูลค่าห้าหยวนถึงสิบหยวน
เถาจืออวิ๋นกับลูกชายของหล่อนมาถึงงานพร้อมกับพ่อเถาและแม่เถา
ครอบครัวนี้มอบของขวัญให้เธอเป็นเงินหนึ่งร้อยหยวน
ถือเป็นมูลค่าที่มากเกินไปหน่อย
หลินม่ายยินดีรับเงินไว้เพียงสิบหยวน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ
แต่พ่อเถาและแม่เถายืนกรานให้เธอยอมรับไว้ทั้งหมด
ทั้งสองเอาแต่พูดคะยั้นคะยอไม่ยอมหยุด ทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาต่างชะลอฝีเท้าและหยุดมองด้วยความสงสัย
หลินม่ายจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับเงินของขวัญหนึ่งร้อยหยวนนั้นไว้
สมาชิกสี่คนของครอบครัวเถาจืออวิ๋นเดินเข้าไปในร้านอาหาร
หลินม่ายได้ยินเสียงตื่นตกใจของฉีฉีดังมาจากข้างหลัง “แม่ฮะ ระวัง!”
หลินม่ายรีบหันขวับมองไปตามเสียง เห็นว่าเถาจืออวิ๋นเดินชนลูกค้าคนหนึ่งเข้า
เถาจืออวิ๋นรีบละล่ำละลักขอโทษ
ลูกค้าคนนั้นใจดีมาก ยิ้มตอบพลางพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” ก่อนจะเดินออกจากร้านไป
แม่เถามองไปที่เถาจืออวิ๋นเพราะรู้สึกผิดสังเกต “ลูกเป็นอะไรไป? ทำไมถึงได้เหม่อลอยแบบนี้”
เถาจืออวิ๋นปฏิเสธทันควัน “เปล่านี่คะ!”
ขณะที่พูดแบบนั้น หล่อนก็หันมองกลับไปทางหลินม่าย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกับฟางจั๋วหรานกำลังต้อนรับอาจารย์อีกท่านอยู่ โดยที่ไม่ได้สนใจการกระทำของหล่อนเลย จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเดินตามพ่อแม่เข้าไปในร้านอาหาร
ขณะเดียวกัน หลินม่ายที่หันหลังให้กับเถาจืออวิ๋น เริ่มรู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับหล่อนแน่ ๆ
แต่เพราะเธอต้องคอยต้อนรับอาจารย์ ดังนั้นจึงไม่ได้คิดมากเรื่องนี้
ดูเหมือนอาจารย์ทุกท่านจะเห็นพ้องตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย ว่าควรมอบของขวัญเป็นปากกาให้กับหลินม่าย
แม้แต่คำอวยพรก็ไปในทิศทางเดียวกัน คือแสดงความยินดีกับความสำเร็จ และให้เธอก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป
แต่หลินม่ายก็ยินดีน้อมรับไว้
เธอเป็นเจ้าภาพของงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ในครั้งนี้ เพื่อขอบคุณพวกเขาก็ไม่ควรทำให้พวกเขาเสียเงิน
ในไม่ช้า แขกทุกคนก็มาถึงงานครบแล้ว ขาดก็แต่เฉินเฟิง
หลินม่ายอดแปลกใจไม่ได้
ก่อนหน้านี้เขากลัวยิ่งกว่าอะไรว่าตัวเองจะไม่ถูกเชิญมางาน แต่พอถึงวันงาน เขากลับมาสายเสียอย่างนั้น
หลินม่ายยกมือขึ้นดูนาฬิกา อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาเปิดงานแล้ว
เธอไม่สามารถปล่อยให้ทุกคนรอเฉินเฟิงแค่คนเดียว ดังนั้นเธอและฟางจั๋วหรานจึงเดินเข้าไปในร้านอาหารเพื่อรับรองแขก
ขณะเดียวกัน เฉินเฟิงกำลังก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองด้วยสีหน้ามืดมิด
วันนี้นอกจากจะเป็นวันที่หลินม่ายจัดงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์แล้ว ยังเป็นวันที่เหลียนเฉียวและเหล่าทหารเกณฑ์ต้องเดินทางไปที่ค่ายเพื่อฝึกอบรม
เฉินเฟิงคิดว่าพวกทหารเกณฑ์คงเดินทางมาถึงกันแต่เช้า จึงพาสหายน้องชายกลุ่มหนึ่งไปดูเหลียนเฉียว
เวลาผ่านไปจนกระทั่งเกือบสิบเอ็ดโมงกว่าทหารเกณฑ์จะเดินทางมาถึง จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เริ่มการบรรยาย
หลังฝึกอบรมเสร็จ ทหารเกณฑ์เข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ เตรียมขึ้นรถบรรทุกเพื่อกลับเข้าไปในค่าย
ตอนนี้เฉินเฟิงควบมอเตอร์ไซค์ที่เขาเพิ่งซื้อมา แล้วรีบขับไปที่ร้านอาหารอ้ายฉินไห่ด้วยความเร็วที่อยู่ในขั้นซิ่ง
เหลียนเฉียวซึ่งยืนอยู่บนรถบรรทุกอย่างอาลัยอาวรณ์เปลี่ยนสีหน้าเป็นดำคล้ำด้วยความโกรธเคือง
วันนี้หล่อนได้รับราชการทหารอย่างเป็นทางการแล้ว แต่พี่เฟิงกลับไม่คิดจะอยู่ดูความสำเร็จของหล่อนแม้แต่สองนาที!
กลับมาที่ร้านอาหารอ้ายฉินไห่ เมื่อถึงเวลาเริ่มงาน บริกรก็เริ่มเสิร์ฟอาหารจานแรก
ในขณะที่เวียนไปพูดคุยกับแขกแต่ละโต๊ะ หลินม่ายก็เหลือบมองไปทางประตูร้านอาหารเป็นครั้งคราว
ทันทีที่ร่างของเฉินเฟิงปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูร้านอาหาร หลินม่ายจึงแสดงท่าทางโล่งใจออกมาอย่างชัดแจ้ง
ฟางจั๋วหรานเห็นแบบนั้นก็อดรู้สึกหวั่น ๆ ในหัวใจไม่ได้
เฉินเฟิงก้าวขายาว ๆ ตรงเข้าไปหาหลินม่าย มอบปากกาปาร์คเกอร์ที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ให้เธอ พร้อมกับกล่าวคำอวยพรอันเป็นมงคลอีกสองสามคำ
ฟางจั๋วหรานชำเลืองมองปากกาปาร์คเกอร์ด้ามนั้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจ
หลินม่ายรับปากกาปาร์คเกอร์จากมือเขา ขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ถามว่า “ทำไมถึงมาสายนักล่ะ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ไซต์งานหรือเปล่า?”
เฉินเฟิงส่ายหน้า “เปล่า วันนี้เป็นวันที่เหลียนเฉียวไปค่ายเพื่อฝึกอบรม ฉันก็เลยแวะไปดูหล่อนสักหน่อย ไม่คิดว่าจะเสียเวลาขนาดนี้”
หลินม่ายประหลาดใจ “เหลียนเฉียวรับราชการเร็วขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย”
เฉินเฟิงหรี่ตามอง “รับราชการเร็วก็ดี จะได้ไม่มีใครจ้องเขม่นเธออีก หรือว่าเธอทำใจไม่ได้?”
หลินม่ายรีบส่ายหัว “ใครบอกว่าฉันทำใจไม่ได้?”
อาหารเลิศรสและไวน์ทยอยยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารทีละโต๊ะ แขกต่างรับประทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย แต่แล้วจู่ ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงจานกระเบื้องเคลือบร่วงลงพื้น
หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานที่กำลังรับรองแขกหันไปมอง เห็นว่าชามผักใบเล็กของเถาจืออวิ๋นตกลงพื้นและแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
พนักงานทำความสะอาดคว้าที่ตักขยะและไม้กวาดมาจัดการกับเศษขยะอย่างเร่งด่วน
หลินม่ายเดินไปถามฉีฉีกับโต้วโต้วที่นั่งอยู่ด้านข้างเถาจืออวิ๋น ถามเบา ๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เด็กน้อยทั้งสองส่ายหน้าพร้อมกัน “ไม่มีเรื่องอะไรเลย แม่/คุณป้าเผลอทำชามใบเล็กของตัวเองหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้นเอง”
เมื่อเห็นว่ากระโปรงสีเบจของเถาจืออวิ๋นเปื้อนซุปผักที่หกเลอะเทอะเป็นวงใหญ่ หลินม่ายก็ขมวดคิ้ว “แย่แล้ว ทำยังไงดี?”
เถาจืออวิ๋นยิ้มให้หลินม่าย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปล้างตัวในห้องน้ำนิดหน่อยก็ได้แล้ว”
หลินม่ายอาสาพาเธอไปเข้าห้องน้ำ ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วง “ฉันรู้สึกว่าพี่ดูเหม่อ ๆ ไม่อยู่กับร่องกับรอยมาสองวันแล้ว พี่เหนื่อยจากการทำงานเกินไปหรือเปล่า? ลางานไปพักผ่อนสักสองสามวันดีไหม”
เถาจืออวิ๋นวักน้ำทำความสะอาดเสื้อผ้าส่วนที่เปื้อนคราบซุปผักพลางตอบกลับ “ไม่ใช่เพราะฉันเหนื่อยจากการทำงานเกินไปหรอก อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฉันมีปัญหานอนไม่ค่อยหลับก็ได้”
“อย่างนี้นี่เอง พี่ลองทำซุปดอกไป๋เหอพุทราจีนหรือลำไยกินดูสิ ของพวกนี้มีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลายระบบประสาท ทำให้นอนหลับสนิทมากขึ้น” หลินม่ายแนะนำ
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ไว้กลับบ้านแล้วฉันจะลองดู”
หลังจากทำความสะอาดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็กลับเข้าไปที่โถงร้านอาหาร
หลินม่ายปลีกตัวไปรับรองแขก ส่วนเถาจืออวิ๋นก็รับประทานอาหารในงานเลี้ยงต่อไป
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จืออวิ๋นกำลังกังวลกับความผิดของตัวเองอยู่หรือเปล่า
พี่หมออย่าเพิ่งทุบไหน้ำส้มสิคะ
ไหหม่า(海馬)