หู่พั่วตกใจ เอ่ยถามอย่างลังเล “ฮูหยิน อี้อี๋เหนียงไม่ได้พูดความจริงหรือเจ้าคะ”
“ไม่สำคัญว่านางจะพูดความจริงหรือไม่” สืออีเหนียงพูดอย่างสงบ “แค่ช่วยให้ท่านโหวหาหลักฐานเจอก็พอแล้ว!”
หู่พั่วพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฮูหยิน ท่านพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ! ใกล้จะเช้าแล้ว คืนนี้ไท่ฮูหยินไม่ได้นอนทั้งคืน พรุ่งนี้เกรงว่าท่านคงต้องดูแลคุณชายน้อยสี่ หากท่านเป็นห่วงฉินอี๋เหนียง บ่าวเฝ้าท่านอยู่ที่นี่ ถ้ามีเรื่องอันใด บ่าวจะรายงานท่านทันทีเจ้าค่ะ”
“เจ้าก็พักผ่อนเถิด!” สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็นอนลง “ท่านโหวเป็นคนรอบคอบ เขาพาคุณชายห้าไปที่เรือนของฉินอี๋เหนียงก็คงจะมีความมั่นใจ เรารอฟังข่าวจากที่นั่นก็พอแล้ว!”
หู่พั่วก็เหนื่อยมากแล้ว แต่นางไม่กล้านอน ถ่างตาเฝ้าสืออีเหนียงทั้งคืน
สืออีเหนียงคิดว่าหากพรุ่งนี้เรื่องที่ฉินอี๋เหนียงทำพิธีสาปแช่งแพร่กระจายออกไป ไม่รู้ว่าต้องมีเรื่องอันใดให้ต้องจัดการบ้าง แล้วคืนนี้หู่พั่วก็อดหลับอดนอนทั้งคืน พรุ่งนี้ก็ค่อยให้นางนอนชดเชยตอนกลางวันก็แล้วกัน นางจึงไม่พูดอะไร หลับตาลงแล้วนอนหลับไป
*****
เหวินอี๋เหนียงกลับเอียงหูฟังเสียงการเคลื่อนไหวที่ลานข้างหน้าตลอด กระทั่งมีเสียงดังขึ้นมาจากที่นั่น หัวใจที่ห้อยเคว้งอยู่กลางอากาศของนางถึงได้ร่วงหล่นลงมา
คนอย่างตนสนใจแค่เรื่องเงินทองมาโดยตลอด อี้อี๋เหนียงล้วนแต่พึ่งพาเงินของส่วนกลางแล้วยังไม่มีลูก แต่ฉินอี๋เหนียงกลับในนางช่วยตัวเอง ความคิดแรกของตนก็คือฉินอี๋เหนียงถูกอี้อี๋เหนียงหลอกเข้าให้แล้ว ดังนั้นเมื่อเห็นอี้อี๋เหนียง ตนจึงระมัดระวังตัวมากกว่าปกติ และเมื่อเห็นว่าอาหารการกินและเสื้อผ้าของอี้อี๋เหนียงดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน นางยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองจึงแอบระวังเอาไว้
ใครจะรู้ว่าไม่จับตาดูยังจะดีกว่า พอสังเกตเห็นนางถึงกับตกใจ
แม่เฒ่าจูคนนั้นไม่เพียงแต่เป็นคนที่อี้อี๋เหนียงแนะนำให้ฉินอี๋เหนียงรู้จัก แต่ฉินอี๋เหนียงยังให้เงินรางวัลแม่เฒ่าจูคนนั้นมากมายขนาดนั้น
คำพูดที่ว่า เรื่องราวเปลี่ยนไปมันต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน
เรื่องบางเรื่องจึงทำให้นางรู้สึกสงสัย…
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ดูเหมือนว่าลานข้างหน้าจะมีการเคลื่อนไหว
เหวินอี๋เหนียงอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำกับตัวเอง “ดูเหมือนว่าข้าเดินหมากถูกแล้ว สำหรับฮูหยินแล้ว ข้าทำเช่นนี้ก็ถือว่าช่วยนาง!” พูดจบ นางก็สงบสติอารมณ์ลง
นางสะกิดตงหงที่สะลึมสะลืออยู่ข้างเตียง “ดึกมากแล้ว เจ้าไปนอนเถิด!”
ตงหงขยี้ตาพลางลุกขึ้นยืน
ตั้งแต่ตนไปรายงานฮูหยินตามที่เหวินอี๋เหนียงบอก ไม่รู้ว่าทำไมเหวินอี๋เหนียงถึงดูไม่ค่อยสบายใจ ราวกับกำลังรออะไรอยู่ ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ตนจึงต้องคอยอยู่คุยเป็นเพื่อนนาง พูดคุยกันอยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน
ตงหงตอบรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ดึงสติกลับมาปูผ้าปูที่นอนข้างล่างเตียง ล้มตัวลงแล้วหลับไปทันที
*****
สืออีเหนียงรู้สึกว่าตัวเองพึ่งจะหลับไปก็ถูกหู่พั่วปลุกให้ตื่น
“ฮูหยินเจ้าคะ ท่านโหวและคุณชายห้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ!” นางกระซิบข้างหูสืออีเหนียงเบาๆ
สืออีเหนียงสะดุ้ง ตาสว่างขึ้นมาทันที “พวกเขาเล่า”
“ไปที่ห้องไท่ฮูหยินแล้วเจ้าค่ะ”
ไปปรึกษาว่าควรทำเช่นไรกระมัง
เพราะถึงอย่างไรฉินอี๋เหนียงก็เป็นแม่แท้ๆ ของสวีซื่ออวี้ หากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง ไม่ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ก็ต้องมีเหตุผลที่ฟังขึ้น
สืออีเหนียงครุ่นคิด นางปิดปากหาวแล้วถามหู่พั่ว “ตอนนี้ยามอะไรแล้ว”
หู่พั่ววิ่งออกไปดูนาฬิกาไขลาน “ยามเหม่าสามเค่อเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพูด “กลับมาเร็วขนาดนี้!”
หู่พั่วคิดว่าสืออีเหนียงไม่สบายใจ นางจึงพูดว่า “เช่นนั้น บ่าวออกไปดูดีหรือไม่เจ้าคะ!”
“ไม่ได้!” สืออีเหนียงเอ่ยปากห้ามหู่พั่วเอาไว้ “ยามนี้ ท่านโหวกำลังปรึกษากับไท่ฮูหยิน หากเจ้าออกไปดู อาจจะถูกสงสัยว่าไปแอบสืบ มันไม่เหมาะสม” จากนั้นนางก็ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ข้าต้องรีบนอน หากท่านโหวเข้ามา เจ้าค่อยปลุกข้าอีกที!”
หู่พั่วตอบรับ กำลังจะห่มผ้าให้สืออีเหนียง ก็มีเสียงรองเท้าและเสียงเอ่ยขอตัวลาของสวีลิ่งควนดังแว่วเข้ามาจากข้างนอก “…เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปก่อนนะขอรับ”
ปรึกษากันเสร็จแล้ว?
สืออีเหนียงประหลาดใจ หยัดกายลุกขึ้นมานั่ง
ก็ได้ยินเสียงส่งแขกที่พูดด้วน้ำเสียงเรียบเฉยของสวีลิ่งอี๋ “ระวังทางด้วย!”
ฟังอารมณ์ของเขาไม่ออก
สวีลิ่งควนตอบรับ ตามมาด้วยเสียงปิดประตู หลังจากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามาในห้องปีกทิศตะวันออก
เห็นสืออีเหนียงยังไม่นอน เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร คิดว่าตอนนี้แม้แต่ไท่ฮูหยินที่มีสติมากที่สุดก็ยังรอจนถึงที่สุด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสืออีเหนียง เขาบอกให้หู่พั่วตักน้ำเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยสีหน้าที่เย็นชาและน่าเกรงขามเหมือนปกติ
หู่พั่วรีบย่อเข่าคำนับพลางตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วเดินออกไป
สวีลิ่งอี๋เข้าไปนั่งข้างสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกำลังจะเอ่ยปากเรียกท่านโหว สวีลิ่งอี๋กลับสะบัดมือให้นางแล้วพูดเบาๆ “เจอหลักฐานหมดแล้ว คงให้นางอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีก แต่ว่าจะจัดการเช่นไร พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถิด!” เขาพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่ประโยค แต่น้ำเสียงกลับดูแก่ขึ้นตั้งสองสามปี ราวกับเรื่องที่เขาพยายามอดทนอดกลั้นมาตลอด ตอนนี้มันหายไปแล้ว จู่ๆ ท่าทางเขาก็กลับมาเป็นปกติทันที
ฉินอี๋เหนียงอยู่กับเขามาตั้งสิบกว่าปี เดินมาถึงจุดนี้ เขาจะไม่เสียใจได้เช่นไร
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะจับมือเขาเพื่อปลอมประโลม “ท่านโหวไม่ได้นอนทั้งคืน รีบนอนพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ! มีเรื่องอันใดพรุ่งนี้ค่อยคิดเถิด!” พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
สวีลิ่งอี๋มองดูมือเล็กๆ ที่ขาวนวล ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย เขาขยับนิ้วหัวแม่มือลูบบนผิวที่บอบบางเบาๆ จากนั้นก็จับมือนาง “เจ้าก็รีบพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวลูกในท้องจะทรมานเจ้า”
เขาพูดเช่นนี้ สืออีเหนียงก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อวานจนถึงตอนนี้ ลูกในท้องไม่รบกวนนางเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างฝืนเอาไว้ไม่ได้ “เด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าตัวเอง หรือว่ารู้ความกันแน่ พอรู้ว่าเราเกิดเรื่องขึ้นเขากลับรู้ความ ไม่เอะอะโวยวายเลยแม้แต่น้อย” พูดจบก็จับท้องของตัวเอง
รอยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้า ช่างดูอ่อนโยนราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานในเดือนสามก็ไม่ปาน
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าความแตกต่างระหว่างบุรุษกับสตรี สวีลิ่งอี๋จึงนิ่งสุขุมและมีสติมากกว่าสืออีเหนียง
สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือเท้าที่เตะมาโดนท้องสืออีเหนียงของสวีซื่อจุน…หัวใจของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมา เขากอดภรรยาของตัวเองไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน
“จริงหรือ!” เขาอดไม่ได้ที่จะจับมือสืออีเหนียง “คงจะรู้ความเหมือนท่านแม่ของเขา” ขณะที่พูด ในหัวก็นึกภาพเด็กน้อยตัวเล็กๆ ที่หน้าตาเหมือนสืออีเหนียงขึ้นมา สีหน้าของเขาพลันอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย นึกถึงภาพเด็กน้อยคนนั้น ขี้อ้อนเหมือนสืออีเหนียง อายุสามสี่ขวบก็จะมานั่งเขียนตัวหนังสือบนตักเขา จากนั้นก็ไม่อยากเขียนเพราะว่าปวดมือ ดึงแขนเสื้อของเขาแล้วร้องไห้อ้อนเขา…จิตใจของเขาก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมา ขยับหน้าของตัวเองเข้าไปแนบกับหน้าของสืออีเหนียงแล้วพูดว่า “เราคลอดบุตรสาวก่อน…คลอดบุตรสาวตัวน้อย แล้วค่อยคลอดบุตรชาย…” ความว้าวุ่นใจเมื่อครู่มลายหายไปอย่างรวดเร็ว อารมณ์สดใสขึ้นไม่น้อย
สืออีเหนียงยิ้มกว้าง
สวีลิ่งอี๋บีบมือนางเบาๆ ด้วยความสบายใจ
*****
ร่างกายของสืออีเหนียงปรับตัวได้ตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่านางจะไม่ค่อยนอนตอนกลางคืน แต่เมื่อถึงยามเหม่า นางก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
หู่พั่วกำลังหาวอยู่บนเก้าอี้หน้าตั่งนั่ง
เพราะว่านอนที่เรือนของไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงจึงไม่กล้านอนบนเตียงเดียวกัน สวีลิ่งอี๋ไปนอนที่ห้องของสวีซื่อจุน
นางยิ้มแล้วเรียกหู่พั่ว บอกให้ตักน้ำเข้ามารับใช้ตัวเองล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็พูดว่า “ประเดี๋ยวเจ้ากลับไปที่เรือนหลัก ให้จู๋เซียงนำเสื้อผ้าของข้าและท่านโหวมา แล้วเจ้าก็กลับไปนอนพักผ่อนเถิด ไม่ต้องมารับใช้ข้าแล้ว”
ถึงแม้ว่าการหาว่าใครเป็นคนรังแกสวีซื่อจุนจะยากลำบาก แต่เรื่องต่อจากนี้ลำบากกว่าไม่น้อย สืออีเหนียงกำลังตั้งครรภ์ เมื่อคืนก็นอนหลับๆ ตื่นๆ เพียงสองสามครั้งจึงต้องการคนที่มีชีวิตชีวาคอยดูแลรับใช้ นางจึงไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากรับใช้สืออีเหนียงล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว ก็ไปเรียกจู๋เซียงและลี่ว์อวิ๋นให้มารับใช้แทน
จู๋เซียงบอกให้ลี่ว์อวิ๋นนำเสื้อผ้าของสวีลิ่งอี๋ไปให้เขา ส่วนตัวเองรับใช้สืออีเหนียงเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับพูดเบาๆ ว่า “เยี่ยนหรงยังถูกกักตัวอยู่เลยเจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าเมื่อคืนท่านโหวและคุณชายห้าจะไปค้นที่เรือนของฉินอี๋เหนียงด้วยตัวเองแล้ว แต่กลับไม่ได้ให้ใครเฝ้าอยู่ที่นั่น คนในเรือนของฉินอี๋เหนียงยังคงเข้าออกได้อย่างอิสระ” นางพูดเช่นนี้เพราะว่าเป็นห่วงเยี่ยนหรง
“ไม่เป็นอะไร!” สืออีเหนียงพูดปลอบนาง “เยี่ยนหรงเป็นคนในเรือนเรา ท่านโหวไม่มีทางให้คนในเรือนของเราเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จู๋เซียงถึงได้โล่งใจ อยากจะพูดอะไรต่ออีก แต่กลับมีเสียงร้องดังขึ้นมาจากห้องของไท่ฮูหยิน
สีหน้าของสืออีเหนียงเปลี่ยนไป “เสียงจุนเกอ”
ยังสวมเสื้อกั๊กยาวไม่ทันเสร็จ นางก็รีบเดินออกไป
ไท่ฮูหยินกำลังกอดสวีซื่อจุนที่กำลังดิ้นพล่านแล้วพูดเกลี้ยกล่อมเขา “เด็กดี ท่านย่าอยู่นี่ไง!” อวี้ป่านช่วยจับขาสวีซื่อจุนอยู่ข้างๆ
ไท่ฮูหยินหวีผมแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งตัว เห็นได้ชัดว่านางได้ยินเสียงแล้วรีบวิ่งเข้ามาตอนที่กำลังแต่งตัว
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไป หยุดอยู่ห่างจากสวีซื่อจุนสามก้าว “ท่านแม่เจ้าคะ เรียกแม่นมของสวีซื่อจุนเข้ามาที่จวนดีหรือไม่เจ้าคะ”
ตั้งแต่สวีซื่อจุนรู้ความ สวีลิ่งอี๋กลัวว่าจะมีคนตามใจสวีซื่อจุน จึงเปลี่ยนคนที่คอยรับใช้สวีซื่อจุนทั้งหมด แม่นมของเขาก็ถูกส่งออกไปนอกจวนแล้ว
ไท่ฮูหยินไท่พยักหน้า จากนั้นก็บอกให้ป้าตู้ไปเรียกแม่นมของจุนเกอเข้ามาในจวน แล้วหันไปพูดกับสืออีเหนียง “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พักผ่อนเถิด” ในขณะที่นางพูด สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามา
เขาสวมเสื้อคลุมที่จู๋เซียงนำมาให้ สีหน้าเคร่งขรึม เดินเข้าไปหาสวีซื่อจุน “ท่านแม่ ข้าอุ้มเองดีกว่าขอรับ!”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ไปนั่งที่ปลายเตียงเตา
เก๋อจินยกยาเข้ามา
สวีลิ่งอี๋จับปากสวีซื่อจุน ป้ารับใช้ในห้องก็ช่วยกันป้อนยาให้เขา
สวีซื่อจุนดิ้นอยู่ประมาณครึ่งก้านธูป จากนั้นก็ค่อยๆ สงบลงแล้วหลับไป
ไม่ว่าจะเป็นสวีลิ่งอี๋หรือว่าไท่ฮูหยิน สีหน้าของทุกคนล้วนดูหม่นหมอง
อาการของสวีซื่อจุนรุนแรงกว่าที่ทุกคนคิด
ในความเงียบ สวีลิ่งอี๋ลุกขึ้นยืน “ทานข้าวกันก่อนเถิด! ประเดี๋ยวยังมีเรื่องมากมายที่ยังต้องจัดการ!”
ถึงแม้ว่าสายตาของเขาจะอึมครึม แต่สีหน้าของเขากลับสุขุมเช่นยามปกติ
ไท่ฮูหยินถอนหายใจ แล้วเข้าไปยังห้องชำระกับอวี้ป่าน
จู๋เซียงรีบเดินเข้าไปผูกเสื้อกั๊กยาวให้สืออีเหนียง
มีสาวใช้เข้ามารายงานอย่างระมัดระวัง “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินสองมาเจ้าค่ะ!”