ฮูหยินสองเป็นคนสุขุมเสมอมา นางเข้ามาก็เพียงถามว่า “จุนเกอเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
สวีลิ่งอี๋เล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้นางฟัง จากนั้นก็พานางไปหน้าเตียงเตาที่สวีซื่อจุนนอนอยู่
ผ่านไปแค่คืนเดียว ใบหน้าที่อ้วนท้วมของสวีซื่อจุนก็ซูบผอมลงไปไม่น้อย
ฮูหยินสองนั่งลงข้างเตียงเตาแล้วลูบหน้าผากสวีซื่อจุนด้วยความรักและเอ็นดู จากนั้นก็ถามสืออีเหนียง “ท่านแม่เล่า”
ทันทีที่นางพูดจบ ไท่ฮูหยินก็เดินออกมาจากห้องชำระ “อี๋เจินมาแล้วหรือ!” นางพูดด้วยสีหน้าที่ดูเหนื่อยล้า
ฮูหยินสองรีบเดินเข้าไปประคองไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างเตียงเตา เห็นสืออีเหนียงอยู่ข้างหลังสวีลิ่งอี๋ นางจึงรีบชี้ไปที่เก้าอี้ไท่ซือตรงข้ามตัวเอง “เจ้าก็นั่งลงเถิด ตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ ไม่คิดถึงตัวเองก็ต้องคิดถึงลูกในท้อง” จากนั้นก็ถามนาง “เจ้าหิวหรือไม่” ไม่รอให้นางตอบกลับก็หันหน้าไปบอกสาวใช้ “รีบไปบอกให้บรรดาท่านป้าเตรียมอาหารเช้า ฮูหยินสี่หิวแล้ว”
สาวใช้รีบตอบรับแล้วเดินออกไป
ทุกคนนั่งล้อมรอบไท่ฮูหยิน
สวีลิ่งควนสองสามีภรรยาก็มาพอดี
เพราะว่าสวีซื่อจุนไม่สบาย ฮูหยินห้าจึงไม่ได้พาซินเจี่ยเอ๋อร์มาด้วย “…กลัวว่าจะเอะอะโวยวายเจ้าค่ะ”
กลัวว่าสวีซื่อจุนจะทำให้ซินเจี่ยเอ๋อร์ตกใจกระมัง!
ทุกคนรู้อยู่แล้ว ล้วนแต่เข้าใจ
สวีลิ่งควนมองไปทางสวีลิ่งอี๋ “พี่สี่ขอรับ ข้าลาหยุดสักสองสามวันดีกว่า! เผื่อมีเรื่องอันใด ข้าจะได้ช่วยได้”
“ไม่จำเป็น” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าควรทำอะไรก็ไปทำเถิด! หากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ประเดี๋ยวจะดึงดูดความสนใจของคนนอกเอาได้”
สวีลิ่งควนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบรับเสียงเบา “เช่นนั้นพี่สี่มีอะไรก็บอกข้าได้เลย!”
ไท่ฮูหยินที่เห็นว่าพวกเขาสองพี่น้องปรึกษากัน แล้วนึกถึงพฤติกรรมของสวีลิ่งควนเมื่อคืน นางก็เผยสีหน้าพึงพอใจ บอกสวีลิ่งควนว่า “ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดี” บรรดาป้ารับใช้เตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว ป้าตู้ก็กลับมาพอดี “ส่งรถม้าไปรับแม่นมของคุณชายน้อยสี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าด้วยความอ่อนล้า บอกให้ป้าตู้อยู่ดูแลสวีซื่อจุน จากนั้นพวกเขาก็ออกไปทานข้าวเช้าที่ห้องปีกทางทิศตะวันตก
สวีลิ่งควนกำลังจะไปเข้าเวร ฮูหยินห้าไม่อยากเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นางขยิบตาให้ฮูหยินสอง แต่ฮูหยินสองกลับไม่ยอมออกไป ฮูหยินห้าก็ไม่บังคับนาง อ้างว่าซินเจี่ยเอ๋อร์อยู่ที่เรือนคนเดียว แล้วขอตัวออกไปกับสวีลิ่งควน
สวีลิ่งอี๋จึงขอให้ไท่ฮูหยินดูแลสืออีเหนียง “เรื่องของเรือนหลักยังไม่เรียบร้อย รอให้ผ่านไปสักสองวัน เรื่องราวสงบลงแล้ว ข้าค่อยมารับสืออีเหนียงกลับไป”
“เจ้าไปทำธุระเถิด!” ไท่ฮูหยินพูด “ที่นี่มีข้าอยู่!”
สวีลิ่งอี๋มองไปที่สืออีเหนียงอย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วขอตัวลาไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองและสืออีเหนียงกลับไปนั่งบนเตียงเตาในห้องข้างใน ฮูหยินสองเอ่ยปากพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ฮูหยินห้าไปหานาง
ไท่ฮูหยินไม่ปิดบังฮูหยินสอง เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฮูหยินสองฟัง
ทันทีได้ยินว่าค้นเจอของที่ทำพิธีสาปแช่งที่เรือนของฉินอี๋เหนียง นางก็ตกใจ “นางบ้าไปแล้วหรือ!” นึกถึงพฤติกรรมผิดปกติของฉินอี๋เหนียงในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล ส่ายหน้าเบาๆ “นางจะกล้าเกินไปแล้ว!”
“ใช่แล้ว!” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างขมขื่น “เดิมทีคิดเพียงว่านางเป็นคนซื่อสัตย์แต่รากฐานแย่ไปหน่อย ไม่เช่นนั้นก็คงจะทำตัวเย่อหยิ่งกว่านี้ จะว่าไปแล้ว นางช่างไม่มีวาสนา”
ฮูหยินสองนึกถึงสวีซื่ออวี้
ตอนที่อยู่ในผ้าอ้อม เขาไม่เคยร้องไห้เอะอะโวยวาย นอนอยู่บนเตียงเตาอย่างรู้ความ เห็นว่ามีคนเดินมาก็แค่ยิ้ม ต่อมาโตขึ้นมาหน่อย ก็ซุกซนเป็นอย่างมาก พอส่งเขาไปอยู่กับนาง แม้แต่นั่งก็นั่งไม่ติด จับหนังสือก็ฟุบหลับบนโต๊ะ นางถือไม้มาตีที่มือของเขา เขาก็เบะปาก ไม่ว่าเช่นไรก็ไม่ยอมรับผิด จนถึงตอนนี้ กลับมาจากเล่ออาน เขาคำนับนางอย่างมีมารยาท พูดคุยเรื่องเรียนกับนางอย่างสง่างาม ซ่อนอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองไว้ในใจ ทำให้คนที่ไม่ระวังพลาดพลั้งได้ทันที…
จู่ๆ นางก็รู้สึกเสียใจ
มีมารดาเช่นนี้ เขาจะรู้สึกอย่างไร!
ฮูหยินสองก้มหน้าลงแล้วกะพริบตา เมื่อนางเงยหน้าขึ้นสีหน้าก็กลับเป็นปกติ
“เช่นนั้นก็หมายความว่า เยี่ยนหรงยังถูกกักตัวอยู่เช่นนั้นหรือ” นางถามสืออีเหนียง “เรื่องเช่นนี้ ยิ่งนานไปยิ่งมีแต่ข่าวลือ บางคนที่ชอบดูเรื่องสนุก ไม่มีอะไรก็สามารถทำให้มันมีอะไรขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น สาวใช้ของเจ้าไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจริงๆ ข้าคิดว่า ต้องรีบหาข้ออ้างปล่อยเยี่ยนหรงออกมา!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจเต็มไปด้วยความกังวล “แล้วยังมีอี้อี๋เหนียง ต้องให้คนรีบไปส่งจดหมายให้คุณชายสาม ถึงอย่างไรนางก็รู้เรื่องแต่กลับไม่ยอมพูด เรื่องนี้นับว่านางก็ผิด แต่อย่างน้อยนางก็เคยรับใช้คุณชายสาม ถึงแม้ว่าจะมีท่านแม่อยู่ แต่กระนั้นก็ควรรายงานคุณชายสามจะจัดการอี้อี๋เหนียงอย่างไร ก็คงต้องปรึกษาคุณชายสามและน้องสะใภ้สาม”
ฮูหยินสองคิดได้รอบคอบ สืออีเหนียงเองก็เห็นด้วยกับความคิดของนาง แต่ว่าเรื่องนี้ต้องปรึกษากับสวีลิ่งอี๋ก่อน
“พี่สะใภ้สองพูดถูกเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างอ่อนโยน “ท่านโหวไปจัดการแล้ว ยิ่งไปว่านั้น เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ไม่ค่อยรู้ จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก ไม่สู้ฟังความคิดของท่านโหวก่อนจะดีกว่า”
ฮูหยินสองได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน” จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง พูดกับไท่ฮูหยินด้วยความเป็นห่วง “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านอายุมากแล้ว น้องสะใภ้สี่ก็กำลังตั้งครรภ์ น้องสะใภ้ห้าก็มีซินเจี่ยเอ๋อร์ ข้าไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ท่านแม่และน้องสะใภ้สี่ไปพักผ่อนเถิด ข้าดูแลจุนเกอเอง”
ไท่ฮูหยินก็ไม่เกรงใจฮูหยินสอง ได้ยินดังนั้นนางก็พูดว่า “ก็ได้” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “เจ้าไปนอนเถิด ข้าก็จะไปพักผ่อน ให้อี๋เจินคอยช่วยดูแลจุนเกอ”
สืออีเหนียงกลัวว่าลูกในท้องจะเหนื่อย นางครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยิ้มแล้วตอบรับ “เจ้าค่ะ” พูดขอบคุณฮูหยินสอง จากนั้นก็ออกไปนอนพักผ่อนที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกกับจู๋เซียงและลี่ว์อวิ๋น
ไท่ฮูหยินไปนอนที่เรือนหน่วนเก๋อ
*****
สืออีเหนียงนอนหลับจนตื่นขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี
จู๋เซียงรับใช้นางล้างหน้าล้างตาพร้อมกับถามเบาๆ “พี่หู่พั่วบอกให้สาวใช้มารายงาน บอกว่าท่านโหวไปทีเรือนหลักตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ ไม่ได้พูดอะไรเพียงบอกให้คนปล่อยตัวเยี่ยนหรง จากนั้นก็ให้พ่อบ้านไป๋ส่งท่านป้าสองสามคนไปกักตัวอี้อี๋เหนียงไว้ เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ลมนามของตัวเอง แล้วให้คนส่งไปให้คุณชายสามที่อยู่มณฑลซานหยางเจ้าค่ะ ในจวนล้วนแต่พูดกันว่า คนที่หลอกคุณชายน้อยสี่คืออี้อี๋เหนียง แล้วยังบอกว่า อี้อี๋เหนียงไม่มีลูก แล้วยังถูกฮูหยินสามทิ้งให้อยู่ที่เยี่ยนจิง นางจึงเป็นบ้า เจอใครก็ไล่กัดไปทั่ว!”
สืออีเหนียงปาดเหงื่อ “เรื่องพวกนั้น คนในจวนก็เชื่อหรือ”
“ไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่” จู๋เซียงกลั้นหัวเราะ “แต่ทุกคนล้วนแต่พูดถึงเรื่องนี้ แล้วยังพูดกันคนละสองสามประโยค ทุกคนล้วนแต่คิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดคือเรื่องจริง ยิ่งพูดก็ยิ่งเหลวไหล แม้แต่สองสามวันที่ผ่านมา อี้อี๋เหนียงลงโทษสาวใช้ที่ทำชามแตกคุกเข่าอยู่ที่ลาน ก็บอกว่าอี้อี๋เหนียงอยากจะเป็นนายหญิงจนเป็นบ้า ถือโอกาสตอนที่ฮูหยินสามไม่อยู่ที่เรือนทำตัวเป็นนายหญิง แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ก็ยังจับไม่ปล่อย แล้วยังบอกว่า มีครั้งหนึ่งที่อี้อี๋เหนียงบอกให้โรงครัวทำไข่ตุ๋น แต่โรงครัวทำแล้วยกไปให้นาง นางกลับพูดว่าตัวเองบอกให้ทำไข่นกกระทาทอด เพราะเรื่องนี้ ยังไปอาละวาดที่โรงครัวด้วยเจ้าค่ะ ว่ากันว่าตอนนั้นนางก็เริ่มเป็นบ้าแล้ว!”
ความเงียบ ทำให้ข่าวลือแพร่กระจายออกไปทั่วจริงๆ!
“แล้วฉินอี๋เหนียงเล่า” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ฉินอี๋เหนียงถูกจัดการเช่นไร”
“ท่านโหวไม่ได้ทำอะไรเจ้าค่ะ” จู๋เซียงพูดด้วยสีหน้าที่เคารพนับถือ “พี่หู่พั่วบอกว่า ยามเช้าท่านโหวบอกให้ป้าซ่งไปบอกกับอี๋เหนียงทั้งสี่ท่าน บอกว่าคุณชายน้อยสี่ตกใจ ฮูหยินอยู่ดูแลคุณชายน้อยสี่ที่เรือนของไท่ฮูหยิน สองสามวันนี้ไม่ต้องมาคารวะฮูหยิน เมื่อไปถึงเรือนของฉินอี๋เหนียง สีหน้าของฉินอี๋เหนียงซีดเซียว แล้วยังแปะแผ่นยาที่ขมับ ราวกับกำลังป่วยหนัก นางดูแก่ขึ้นเป็นสิบปี ท่าทีตื่นตระหนกราวกับนกที่ถูกยิง จับแขนป้าซ่งแล้วบอกว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว ขอร้องให้ป้าซ่งเชิญท่านหมอมาให้นาง แล้วยังให้ป้าซ่งส่งจดหมายไปให้คุณชายน้อยสองที่อยู่เล่ออาน บอกให้คุณชายน้อยสองกลับมาเจอหน้านางเป็นครั้งสุดท้ายเจ้าค่ะ” พูดจบ สายตาของนางก็หม่นหมองลง “แล้วยังมีชุ่ยเอ๋อร์ ป้าซ่งเดินเข้าไปนางก็เข้ามากอดขาป้าซ่ง บอกว่าเรื่องของฉินอี๋เหนียงนางไม่รู้เรื่องอันใดเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนในครอบครัวของพวกนางเจ้าค่ะ ขอร้องให้ป้าซ่งมาบอกฮูหยิน จะให้นางทานยาอะไรก็ได้ แต่อย่าทำร้ายคนในครอบครัวของนางเลย ชาติหน้านางจะตอบแทนบุญคุณของฮูหยินเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็นิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพูดเบาๆ ว่า “เจ้าไปบอกชุ่ยเอ๋อร์ หากคิดว่าถึงตอนนั้นจะได้ทานยา ตอนนี้ก็ไม่ต้องปริปากพูดอะไร”
จู๋เซียงพยักหน้า
พวกนางสองคนหวีผมปักปิ่นเงียบๆ หลังจากนั้นก็ไปยังห้องข้างใน
ฮูหยินสองกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเตา สวีซื่อจุนยังคงหลับอยู่
เมื่อเห็นนางเข้ามา ฮูหยินสองก็วางหนังสือในมือลง ชี้ไปที่เตาเผาเครื่องหอมที่มุมห้อง จากนั้นก็เดินเข้ามาเงียบๆ แล้วพูดว่า “เมื่อครู่จุนเกอนอนไม่หลับ ป้าตู้อุ้มเขามากล่อมอยู่นาน ข้าจึงจุดเครื่องหอมคลายประสาทที่ข้าทำเอง”
สืออีเหนียงพยักหน้า ฮูหยินสองบอกให้นางออกไปคุยกันข้างนอก
พวกนางสองคนไปนั่งที่ห้องปีกทางทิศตะวันตก
“ข้าคิดดูแล้ว ทางด้านอวี้เกอ ควรส่งจดหมายไปให้เขา”
หากจะบอกว่าสวีซื่ออวี้โตมากับฮูหยินสองก็ไม่ใช่ว่าพูดเกินไป ฉินอี๋เหนียงทำเรื่องเช่นนี้ นางคิดว่าจะปลอบใจสวีซื่ออวี้อย่างไรก็เป็นเรื่องปกติ สืออีเหนียงเองก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ตอนนี้ได้ยินฮูหยินสองพูดถึงเรื่องนี้ นางก็อยากฟังความคิดเห็นของฮูหยินสอง
นางเอ่ยถามเสียงเบา “พี่สะใภ้สองหมายความว่า?”
ฮูหยินสองพูดเบาๆ “อวี้เกอไม่เด็กแล้ว แล้วยังเรียนหนังสือกับอาจารย์เจียง ข้าคิดว่า เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังตามความจริงเถิด ให้เขารู้ความจริง หนึ่งคือเมื่อเขากลับมาเขาจะได้ไม่ต้องได้ยินข่าวลือแล้วคิดไปเอง ทำลายความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างเขาและท่านโหว สองคือเขาจะได้รู้สภาวะตอนนี้ของตัวเอง ถึงแม้ว่าฉินอี๋เหนียงจะเคยพูดอะไรกับเขา ก็ล้วนแต่เป็นภาพลวงตา ไม่สู้ตั้งใจเรียนหนังสือยังจะดีกว่า คิดหาวิธียืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเอง สามคือตอนนี้เขาอยู่ที่เล่ออาน มีเรื่องอันใดที่คิดไม่ตกก็จะได้ขอคำแนะนำจากอาจารย์เจียง มีอาจารย์เจียงคอยแนะนำ เขาจะได้ไม่เสียใจจนเกินไป”