ฉู่อวี๋หยงยืนอยู่ริมหน้าต่าง ยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อแขวนโคมไฟ
“อย่างนี้เหมือนดวงจันทร์มากใช่หรือไม่” เขาถาม
เฉินตันจูยืนอยู่ในห้อง นางไม่มีความตกตะลึงที่ได้เห็นดวงจันทร์ มีเพียงความเสียใจ เหตุใดนางจึงเชิญคนเข้าห้องมาได้กัน ยามดึกดื่นมีเพียงหญิงชายตามลำพัง…แน่นอน หน้าต่างทางซ้ายมีจู๋หลินยืนอยู่ หน้าประตูมีอาเถียนยืนอยู่ อีกทั้งยังมีชุ่ยเอ๋อ เยี่ยนเอ๋อ และอิงกูที่ถูกปลุกขึ้นมาให้ต้มชา
เมื่ออาเถียนบอกว่าองค์ชายหกมาเยือนด้วยความลังเลนั้น เยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อจึงถามอิงกูด้วยความฉงน เวลานี้ในเมืองหลวงมีธรรมเนียมที่ท่านเขยมาเยือนตอนกลางคืนด้วยหรือ
นี่คือปัญหา นางยังคิดไม่ตกว่าจะอภิเษกหรือไม่ก็ปล่อยคนเข้ามาแล้ว ทำอย่างกับนางต้องการอภิเษกกับเขาอย่างมาก…
พระจันทร์ ใช่ว่านางจะมองไม่เห็นพระจันทร์ อีกทั้งนางไม่ใช่เด็กสามขวบ พระจันทร์ปลอมที่ทำมาจากโคมไฟมีสิ่งใดน่าดูกัน!
เฉินตันจูเค้นยิ้มออกมา “ที่แท้องค์ชายยังทรงทำโคมไฟเป็นด้วยหรือ”
ก่อนหน้านี้เคยเห็นกากระเบื้องที่เขาทำเองในห้องของเขา
ฉู่อวี๋หยงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังทำอย่างอื่นเป็นอีกมายมาย”
เก็บตัวอยู่ในจวนย่อมต้องหาสิ่งอื่นเพื่อสนองความสนุกของตนเอง แต่เรื่องที่ทำให้เขาดีใจเหล่านี้ไม่มีแม้แต่โอกาสในการเปิดเผยให้ผู้อื่นเห็น เฉินตันจูมององค์ชายอายุน้อยที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง อดไม่ได้ที่จะยิ้มด้วยความสงสารและชื่นชม นาทีถัดมานางรีบเบนสายตาหนี ดึงความคิดที่กระเจิดกระเจิงกลับมา…อย่าคิดเหลวไหล ตั้งสติหน่อยเถิด คนที่สามารถเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ สามารถสืบข่าวของฮ่องเต้และองค์รัชทายาท อีกทั้งยังสามารถทำลายแผนการขององค์รัชทายาทได้อย่างง่ายดายนั้นจะเป็นคนที่ใช้การทำกากระเบื้องหรือโคมไฟในการคลายความเหงาได้อย่างไร
ปัญหาอยู่ตรงนี้ นางไม่รู้จักองค์ชายหกผู้นี้แม้แต่น้อย อีกทั้งมองอีกฝ่ายไม่ออก แต่กลับถูกเขาดึงดูด มักเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
น่ากลัวเหลือเกิน
เฉินตันจูสูดลมหายใจเข้า “องค์ชายไม่มีเรื่องใดจริงหรือ ฝ่าบาทไม่ได้ทรงตำหนิพระองค์หรือ องค์รัชทายาทมีการเคลื่อนไหวหรือไม่”
อย่างไรนางก็ไม่เชื่อว่าเขามาเพื่อให้นางดูโคมไฟ ฉู่อวี๋หยงมองความสงสัยและระแวงในสายตาของหญิงสาว ยืนพิงหน้าต่างพลันถาม “คุณหนูตันจู หากฝ่าบาททรงตำหนิข้า องค์รัชทายาทวางแผนทำร้ายข้า เจ้าจะทำอย่างไร”
ดังนั้นมีจริงหรือ! เฉินตันจูกำมือแน่น ทำอย่างไร นางคงทำได้เพียงทะเลาะกับฝ่าบาท ตายไปพร้อมกับ…องค์รัชทายาท
“เจ้าจัดการไม่ได้” ฉู่อวี๋หยงพูดอย่างเด็ดขาด
ใช่ นางจัดการไม่ได้ ทำได้เพียงยอมรับและแบกรับเสมอมา เฉินตันจูเม้มปาก
“ดังนั้นถึงแม้จะมีปัญหาเหล่านี้ เหตุใดข้าจึงต้องมาหารือกับเจ้า” ฉู่อวี๋หยงพูดต่อ “เจ้าจัดการไม่ได้เสียหน่อย”
ฮะ? เฉินตันจูตกตะลึงเล็กน้อย นางถูกผู้อื่นดูถูกอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“ข้าไม่ได้ดูถูกเจ้า” สีหน้าของฉู่อวี๋หยงราบเรียบ โคมไฟพระจันทร์ที่แขวนไว้ริมหน้าต่างทำให้ใบหน้าของเขาเลือนราง “ข้าแค่อยากบอกเจ้า ข้ามาเพื่อให้เจ้าดูโคมไฟ นอกจากนี้ไม่มีเรื่องอื่น เจ้าไม่ต้องกังวล”
เหตุใดเขาถึงดุเพียงนี้ เฉินตันจูไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องใด นางพึมพำ “โคมไฟมีสิ่งใดน่าดูกัน”
ฉู่อวี๋หยงเก็บความเย็นชาลง พลันพยักหน้า “แต่มันก็เป็นความผิดของข้า ข้าคิดถึงแค่ความรู้สึกของข้า จึงอยากให้เจ้าได้เห็น ละเลยความคิดว่าเจ้าอยากหรือไม่ ชอบหรือไม่ ข้าขอโทษเจ้า”
ไม่ถึงขั้นนั้น! เวลานี้เขามีความตรงไปตรงมาเหมือนเด็ก! เฉินตันจูรีบส่ายมือ “ไม่ต้องขอโทษ หม่อมฉันไม่ได้ไม่อยากดูหรือไม่ชอบ…”
นางพูดถึงตรงนี้ก็เห็นฉู่อวี๋หยงที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างยิ้มขึ้นมา ความสลดบริเวณหางตาสลายไป เฮ้อ เฉินตันจูผงะ ทำได้เพียงยิ้มตาม
นางพูดอย่างระอา “องค์ชายเสด็จมาอย่างกะทันหันเช่นนี้ เวลานี้องค์ชายกับหม่อมฉันในสายตาฝ่าบาทก็เป็นเช่นนี้เช่นนั้น หม่อมฉันแค่กังวลใจ ไม่ได้คิดเรื่องอื่น”
ฉู่อวี๋หยงพูด “กังวลย่อมกังวลได้ แต่ไม่ว่าสถานการณ์ใด เมื่อพบเห็นสิ่งสวยงามย่อมต้องดู ย่อมต้องชอบ ย่อมต้องดีใจ”
เขาหันไปมองโคมไฟ ยื่นมือปิดตาข้างหนึ่ง
“พวกเรามีตาสองข้าง ข้างหนึ่งเอาไว้มองความชั่วร้ายบนโลก อีกข้างก็สามารถมองสิ่งสวยงามบนโลก”
เฉินตันจูมองลำคอที่เรียวยาว ใบหน้าด้านข้างที่งดงามของเขา ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่เขาถือโคมไฟมาในยามดึก การเฝ้าคุ้มกันด้านนอกจวน ความไม่โปรดของฮ่องเต้ การจับตาขององค์รัชทายาท หากโยนทิ้งสิ่งเหล่านั้นไป นางก็รู้สึกว่าหัวใจที่แขวนไว้สูงของตนเองเหมือนหล่นลงบนพื้น
นางพยักหน้า ยกมือขึ้นพูด “สวยงามมาก โคมไฟงดงาม องค์ชายก็งดงาม”
ฉู่อวี๋หยงมองหญิงสาวที่ยกมือปิดตาข้างหนึ่งเอาไว้ พลันยิ้มให้เขา ทันใดนั้นรู้สึกเหมือนหัวใจแทบจะกระโดดออกมา
จู๋หลินที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างหันไปมองอาเถียนอย่างอดไม่ได้ พวกเขากำลังเกี้ยวพาราสีกันอยู่หรือ เขาไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้ เพราะเขาเป็นเพียงองครักษ์
ฉู่อวี๋หยงถือโคมไฟมาเพื่อให้ชื่นชมร่วมกัน หลังจากชื่นชมแล้ว เขาจึงจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
“ฝ่าบาททรงไม่ให้ข้าออกจากจวน” เขาพูดเสียงเบา “ออกมานานเกินไปแล้วอาจถูกพบเข้า”
เขายังรู้ด้วยหรือ เฉินตันจูจะพูดสิ่งใดได้ นางหัวเราะ “อย่ากังวล หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทไม่ทรงคิดว่าจะขังท่านเอาไว้ได้”
ฉู่อวี๋หยงยิ้มพลันคลุมหมวกไว้บนหัว เฟิงหลินเดินออกมาจากมุมมืด บอกให้เขาปีนกำแพง “องค์ชายทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาเข้ามาด้วยวิธีนี้
แต่ฉู่อวี๋หยงเปลี่ยนความคิด “ในเมื่อรบกวนเจ้าบ้านแล้ว พวกเราก็ออกทางประตูเถิด”
แต่พวกเขาปีนกำแพงก็ไม่ใช่เพราะกลัวรบกวนเจ้าบ้าน หากแต่กลัวรบกวนผู้อื่น เฟิงหลินฉงน
แต่ว่าอาเถียนดีใจอย่างมาก พูดกับจู๋หลินเสียงเบา “องค์ชายก็คือองค์ชาย แตกต่างจากท่านโหวโจว”
จู๋หลินไม่รู้สึกแบบนั้น ไม่ว่าจะปีนกำแพงหรือไม่ องค์ชายก็มีเป้าหมายเหมือนกับท่านโหวโจว!
เมื่อส่งฉู่อวี๋หยงจากไป ตระกูลเฉินก็สงบลงอีกครั้ง เฉินตันจูให้อาเถียนไปนอน ตนเองก็กลับลงไปนอนบนเตียงอีกครั้ง แต่นางหมดความอยากนอนไปแล้ว นางครุ่นคิดถึงการมาของฉู่อวี๋หยงคราวนี้ ทั้งดูโคมไฟ ทั้งโต้เถียงกับนาง แต่ไม่ได้ถามนางว่าคิดอย่างไรกับการอภิเษก
เขาไม่ถาม นางก็ไม่ตอบ แต่ไม่อาจเป็นเช่นนี้ นางไม่ตอบอาจทำให้ฉู่อวี๋หยงคิดว่านางไม่คัดค้าน
เมื่อเผชิญหน้ากับคนที่ต้องใช้เหตุผลย่อมต้องเจรจาด้วยเหตุผล
เฉินตันจูลุกขึ้นเปิดม่านขึ้น มองโคมไฟที่แขวนไว้ริมหน้าต่าง เนื่องจากจะนอน อาเถียนจึงดับไฟด้านใน โคมไฟเหมือนพระจันทร์ที่หลบซ่อนอยู่ในเมฆดำ
นางลงจากเตียงด้วยเท้าเปล่า เขย่งเท้าจุดโคมไฟ พระจันทร์ราวกับลอยอยู่ริมหน้าต่าง
เฉินตันจูกลับขึ้นเตียงอีกครั้ง นางกอดหมอนนอนตะแคงมองโคมไฟ นางไม่เคยมองดวงจันทร์ดีๆ สักครั้ง เมื่ออดีตชาติมีความขมขื่นมากมายภายในใจ ชาตินี้มีเรื่องหนักใจมากมาย
ในค่ำคืนนี้ ให้นางมองดูพระจันทร์อย่างเงียบสงบและไร้กังวลเสียทีเถิด
…
ภายในห้องเงียบสงัด อาเถียนแอบชะเง้อมอง เห็นหญิงสาวบนเตียงกอดหมอนนอนหลับสบาย อีกทั้งยังหันหน้าไปทางหน้าต่าง
อาเถียนมองไปทางหน้าต่าง แสงของโคมไฟสว่างอยู่ท่ามกลางค่ำคืน นางหดหัวกลัวไป กลับขึ้นเตียงอย่างเงียบเชียบ คุณหนูหลับแล้ว นางก็สามารถหลับได้อย่างไร้กังวล
…
คืนวันที่สอง จวนของเฉินตันจูไม่มีแขกมาเยือนในตอนกลางคืนอีก กลายเป็นด้านนอกจวนขององค์ชายหกมีเสียงนกร้องดังขึ้น
เมื่อเห็นจู๋หลิน เฟิงหลินยิ้มออกมา “มาๆ ไม่ต้องพูดสิ่งใด เชิญเข้ามา เชิญเข้ามา ข้าไม่เหมือนคนบางคนที่ทำท่าทางเหมือนไม่รู้จักกัน”
จู๋หลินทำหน้าบึ้งไม่สนใจการหยอกล้อของเขา อีกทั้งไม่ยอมเข้าไป เขายกมือโยนจดหมายฉบับหนึ่งให้อีกฝ่าย “จดหมายที่คุณหนูข้าให้องค์ชายของพวกเจ้า” พูดพลางหายลับไปในความมืด
เฟิงหลินรับจดหมายเอาไว้ พลันยิ้ม ของพวกเจ้า ของพวกข้าอันใดกัน อันที่จริงพวกเราไม่เคยเปลี่ยนไป
แต่ว่าจดหมายที่คุณหนูตันจูเขียนให้องค์ชายหกไม่มีเนื้อหามากเท่าเขียนให้ท่านแม่ทัพ เฟิงหลินมองฉู่อวี๋หยงเปิดจดหมาย บนกระดาษมีเพียงบรรทัดเดียว
“หม่อมฉันคิดมาแล้ว หม่อมฉันรู้สึกไม่อยากอภิเษก”
ฉู่อวี๋หยงวางจดหมายลง เคาะโต๊ะเบาๆ ไม่อยากหรือ ไม่ได้เชียว