ตอนที่ 438 เนื้อหาการประชุมยามเช้า
พริบตาเดียวก็ถึงวันจันทร์อีกแล้ว
แปดโมงเช้า หลินม่ายเข้าไปที่โรงงานตัดเสื้อ Unique เพื่อฟังรายงานสรุปผลจากผู้รับผิดชอบส่วนงานต่าง ๆ ของตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา
เฉินเฟิงและคนอื่น ๆ มาถึงก่อนแล้ว พวกเขาต่างนั่งรอเธออยู่ในห้องประชุม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะท่าทางเย่อหยิ่งของเฉินเฟิงหรือเปล่าที่ทำให้หลายคนไม่กล้าเข้าหาเขา เก้าอี้รอบตัวเขาจึงว่างเปล่าเป็นพิเศษ
แต่เขากลับไม่รู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย ยังคงทำตัวสูงส่งต่อไป
วังเสี่ยวลี่และคนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ข้างกัน ต่างพูดคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ทันทีที่หลินม่ายเดินเข้ามาในห้องประชุม ทุกคนต่างก็ทักทายเธอ
ที่นี่ไม่มีเสมียน ดังนั้นก่อนการประชุม เหรินเป่าจูจึงทำหน้าที่เป็นเสมียนชั่วคราว ชงชาให้กับเฉินเฟิงและคนอื่น ๆ พร้อมกับเสิร์ฟถ้วยชาให้แต่ละคน
คนอื่น ๆ หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบกันตามปกติ มีแค่เถาจืออวิ๋นที่มือไม้สั่นจนประคองไม่มั่นคง ทำให้ชาหกรดไปทั่วร่าง
เหรินเป่าจูถาม “ทำไมคุณถึงเอาแต่เหม่อลอยอยู่เรื่อยเลยล่ะ?”
“ปะ… เปล่าซะหน่อย!” เถาจืออวิ๋นตอบกลับอย่างลุกลี้ลุกลน แอบชำเลืองมองไปทางหลินม่าย
เมื่อเห็นว่าเธอไม่สนใจ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง
หลินม่ายรอจนกว่าเหรินเป่าจูจะเดินกลับไปนั่งที่ ถึงค่อยเริ่มต้นการประชุม
ก่อนอื่น เธอสอบถามเหรินเป่าจูเกี่ยวกับยอดขายล่าสุดของร้าน Unique และร้านไป๋เหอโถวซื่อ
เหรินเป่าจู “เนื่องจากราคาของเสื้อผ้าแบรนด์ Unique มีราคาที่ต่ำกว่าเสื้อผ้าร้านซีม่าน ทำให้ร้านซีม่านยังคงเสียเปรียบด้านการขาย เงียบเหงาเป็นครั้งคราว ยอดขายเลยยังอยู่ในระดับคงที่ค่ะ”
หลินม่ายพยักหน้า ก่อนจะรับเอกสารรายงานยอดขายมาจากเหรินเป่าจูแล้วเริ่มต้นอ่าน
เหรินเป่าจูรายงานต่อไป “ถึงไป๋เหอโถวซื่อจะรับสมัครคนงานเพิ่มไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ตอนนี้สินค้าก็ยังอยู่ในสถานะขาดตลาด ฉันมีข้อเสนอว่าเราควรขยายฐานการผลิตเพิ่ม ไม่ใช่แค่เพิ่มจำนวนแรงงานเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการจัดตั้งโรงงานเป็นกิจจะลักษณะด้วย ตอนนี้กิจการของเราเริ่มใหญ่โตเกินกว่าจะอยู่ในอาคารโรงงานขนาดย่อมนั้น”
กิจการของร้านไป๋เหอโถวซื่อได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายของหลินม่ายมาก
เธอพยายามวิเคราะห์ในใจว่าทำไมเครื่องประดับศีรษะในร้านถึงได้ขายดิบขายดี
เหตุผลหนึ่งคงเป็นเพราะยุคนี้มีคู่แข่งที่ผลิตหมวกหรือเครื่องประดับศีรษะอื่น ๆ น้อยเกินไป
เครื่องประดับศีรษะที่สวยงามจากโรงงานไป๋เหอโถวซื่อ ไม่เพียงหายากในเขตเจียงเฉิงเท่านั้น แต่ยังเป็นสินค้าหายากในเขตอื่น ๆ ทั่วประเทศ
ก่อนหน้านี้ ความปรารถนาด้านความสวยความงามของหญิงสาวถูกบีบให้อยู่แต่ในกรอบมาช้านาน ทันทีที่พันธนาการคลายออก ไม่แปลกที่หลายคนจะรู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อย
หลินม่ายพยักหน้า “ไว้หลังจบการประชุมเราค่อยหารือกันเรื่องการขยายฐานการผลิตโรงงานไป๋เหอโถวซื่อ”
เธอกลัวว่าเฉินเฟิงอาจต้องรีบกลับไปประจำการที่ไซต์งานก่อสร้าง ดังนั้นจึงให้เขารายงานเป็นคนที่สอง
หลังจากเฉินเฟิงอธิบายสถานการณ์ในไซต์งานก่อสร้าง รวมถึงความคืบหน้าของโครงการแบบรวบรัดแล้ว หลินม่ายก็อนุญาตให้เขากลับไปก่อน
ผู้รายงานคนที่สามคือเจิ้งซวี่ตง
เจิ้งซวี่ตงรายงานยอดขายของร้านเปาห่าวซือ รวมถึงความคืบหน้าในการขยายสาขาร้านเปาห่าวซือและร้านเสื้อผ้า Unique เพื่อให้เข้าถึงแหล่งอาศัยของเขตชุมชนต่าง ๆ ในเมืองมากขึ้น
เธอวางแผนขยายร้านเปาห่าวซือและร้าน Unique ไว้อย่างละหกสาขา
ร้านเปาห่าวซือหกสาขาใหม่ แบ่งเป็นสองสาขาในฮั่นโข่ว สองสาขาในอู่ชาง และในฮั่นหยางกับชิงซานที่ละหนึ่งสาขา
ส่วนร้าน Unique กระจายตัวอยู่ในฮั่นโข่วและอู่ชางที่ละสามสาขา
ยุคสมัยนี้สภาพเศรษฐกิจในเขตชิงซานและฮั่นหยางไม่ค่อยดีนัก อาหารจึงมีความจำเป็นมากกว่าเสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อผ้าระดับไฮเอนด์ กำลังในการบริโภคของทั้งสองเขตยังตามไม่ทัน
ยิ่งไปกว่านั้น ปกติชาวเมืองทั้งสองเขตก็ชอบข้ามมาช้อปปิ้งที่ฝั่งฮั่นโข่วในช่วงวันหยุดอยู่แล้ว ในท้องถิ่นจึงเหลือคนที่นิยมจับจ่ายในพื้นที่ไม่มากนัก
เหตุผลหลักคือทั้งสองเขตไม่ใช่ย่านการค้า ไม่มีแม้กระทั่งห้างสรรพสินค้า ทั้งยังมีผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเสื้อผ้าน้อยมาก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องคู่แข่ง
สำหรับฮั่นโข่วนั้นแตกต่างออกไป เฉพาะถนนฮั่นเจิ้งในวันหยุดก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คนจำนวนมากแล้ว
ถึงในอู่ชางไม่มีย่านการค้าแบบถนนฮั่นเจิ้ง แต่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นหอนกกระเรียนเหลือง ทะเลสาบตะวันออก พิพิธภัณฑ์… ทั้งหมดล้วนกระจุกตัวอยู่ที่อู่ชาง
นอกจากนี้อู่ชางยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการพักผ่อน มีการผสมผสานระหว่างธุรกิจและมนุษยศาสตร์
ไม่เพียงสามารถเพลิดเพลินกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ เท่านั้น ยังสามารถช้อปปิ้งได้อีกด้วย
ดังนั้นจึงถือเป็นความคิดเข้าท่าที่เจิ้งซวี่ตงยังไม่คิดจะเปิดร้านเสื้อผ้าเครือ Unique ในฮั่นหยางและชิงซาน
หลินม่ายสังเกตว่าเขาไม่พูดถึงความคืบหน้าในการซื้อตึกสำหรับขยายสาขาร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่ว และหน้าร้านบนถนนฮั่นเจิ้งเลย จึงถามว่า “มีความคืบหน้าเกี่ยวกับร้านใหม่ของเหรินเจียนเยียนหั่วกับหน้าร้านบนถนนฮั่นเจิ้งบ้างไหม?”
เจิ้งซวี่ตงส่ายหน้า “แทบไม่มีใครยอมปล่อยเช่าหน้าร้านบนถนนฮั่นเจิ้งเลยครับ ส่วนสาขาใหม่ของร้านเหรินเจียนเยียนหั่ว ตอนนี้เจอตึกที่มีทำเลเหมาะสมแล้ว แต่ยังไม่ได้ตกลงราคากัน”
หน้าร้านบนถนนฮั่นเจิ้งหาเช่ายากอย่างที่หลินม่ายคิดไว้จริง ๆ ด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่ตำหนิเขา
ถึงอย่างนั้นก็สอบถามเจิ้งซี่ตงเกี่ยวกับตำแหน่งของร้านเซาเข่าเหรินเจียนเยียนหั่วแห่งใหม่
เจิ้งซวี่ตงบอกว่า “อยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวประมาณหนึ่งร้อยเมตร”
หลินม่ายถาม “หน้าร้านของตึกที่ว่ากว้างแค่ไหน? เจ้าของเรียกเงินเท่าไหร่? ติดปัญหาอะไรถึงยังเจรจาตกลงราคากับอีกฝ่ายไม่ได้?”
เจิ้งซวี่ตงเปรียบเทียบให้ฟัง “ตึกนี้มีสองชั้น พื้นที่ของชั้นแรกประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบตารางเมตร รวมสองชั้นเป็นสองร้อยสี่สิบตารางเมตร เจ้าของบ้านเรียกเงินแปดพันหยวน แต่ผมคิดว่าตึกหลังนี้ไม่ควรมีมูลค่าเกินหกพันหยวนด้วยซ้ำ”
เขาอธิบายต่อ “ถึงตึกที่ว่าจะตั้งอยู่ใกล้กับห้างลิ่วตู้เฉียวซึ่งเป็นทำเลทอง แต่สภาพโดยรวมก็ไม่ได้ดีไปกว่าถนนเจี่ยเฟิงที่เป็นสาขาแรกเท่าไหร่ ถ้าผู้จัดการหลินจ่ายเงินซื้อตึกแถวบนถนนเจี่ยฟางทั้งหมดหนึ่งหมื่นหยวน ตึกที่อยู่ใกล้กับห้างลิ่วตู้เฉียวก็ควรมีมูลค่าแค่หกพันหยวนถึงจะเหมาะสม”
หลินม่ายพยักหน้า “หลักการวิเคราะห์ของคุณค่อนข้างมีเหตุผล แต่คุณอาจจะลืมคำนึงถึงอะไรบางอย่างไป ตอนที่ฉันซื้อตึกแถวบนถนนเจี่ยฟาง แถวนี้ยังมีคนที่ประกอบอาชีพอิสระไม่มากนัก ไม่นับถนนเจียงฮั่น แต่ตอนนี้พื้นที่ใกล้เคียงกับร้านเราเต็มไปด้วยผู้ประกอบอาชีพอิสระมากมาย หน้าร้านที่เมื่อก่อนแทบร้างก็พลอยกลายเป็นพื้นที่ทำเลดีตามไปด้วย บางที่ขึ้นค่าเช่าเป็นสี่เท่าเมื่อเทียบกับสองเดือนที่แล้ว ราคาขายตึกยิ่งแพงกว่า สมควรแล้วที่เจ้าของบ้านจะเรียกเงินสูงขนาดนั้น”
เจิ้งซวี่ตงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ถามว่า “ถ้าอย่างนั้นผมเจรจาเพิ่มเป็นเจ็ดพันหยวนแล้วซื้อไว้เลยดีไหมครับ?”
หลินม่ายพยักหน้า “ดีเหมือนกัน พยายามขอซื้อให้เร็วที่สุด ก่อนที่เขาจะขายให้คนอื่นไปซะก่อน”
จ้าวเลี่ยงเป็นผู้รายงานคนสุดท้าย
เขาพูดถึงสถานการณ์ทั้งหมดด้วยสีหน้าสดใส
เขาจัดการทำตามคำแนะนำของเธอเรียบร้อยแล้ว ให้พนักงานขายในกว่างโจวติดต่อกับข่งลิ่งเสียง
หลังจากข่งลิ่งเสียงได้รับอั่งเปาซองใหญ่มูลค่าหนึ่งร้อยหยวนแล้ว เขาไม่เพียงจัดหาอาหารทะเลตากแห้งและผลไม้ประจำถิ่นเพื่อส่งขายให้กับพวกเขาด้วยความกระตือรือร้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเป็นธุระติดต่อกับรถบรรทุกในท้องถิ่น ให้พวกเขาช่วยขนส่งอาหารทะเลตากแห้งและผลไม้ทุกชนิดที่รับซื้อมาจากเกษตรกรตามหมู่บ้านไปยังสถานีรถไฟ ทำให้พนักงานขายไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
จ้าวเลี่ยงพูดอย่างมีความสุข “เราเคยส่งคนรถบรรทุกไปแถวชายฝั่งเพื่อรับซื้ออาหารทะเลตากแห้งและผลไม้กลับมา ก่อนหน้านี้นอกจากต้องคอยระแวงเกี่ยวกับความปลอดภัยในระหว่างเดินทาง เรายังเสียเงินจ่ายค่าน้ำมันไปกลับเป็นจำนวนมาก การฝากส่งสินค้าทางรถไฟแบบนี้ช่วยประหยัดค่าน้ำมันไปได้มาก คุณไม่ต้องกังวลเลย อั่งเปาที่มอบให้ผู้อำนวยการข่งไปได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า!”
หลินม่ายชมเชย “ดีมาก! ในอนาคตถ้าคุณมีโอกาสได้ไปที่อื่นเพื่อรับซื้อผลิตผลทางการเกษตร คุณสามารถใช้วิธีจ่ายอั่งเปาแบบเดียวกันนี้ เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องช่วยอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าทางรถไฟ”
ถึงการใช้อั่งเปาเป็นเครื่องกรุยทางจะเข้าข่ายติดสินบน แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น
ใครจะไปคิดว่าความสามารถในการคมนาคมขนส่งของประเทศในยุคนี้จะล้าหลังแบบนี้ล่ะ
สินค้าจำนวนมากต้องฝากส่งทางรถไฟเท่านั้น
ถ้าไม่ยอมจ่ายอั่งเปาเพื่อกรุยทาง เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบด้านการขนส่งทางรถไฟจะยอมอำนวยความสะดวกให้ง่าย ๆ หรือ?
รอให้การคมนาคมขนส่งในวันข้างหน้าพัฒนาขึ้น ทุกอย่างคงเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้
จ้าวเลี่ยงพยักหน้า ถามว่า “ในโกดังของเรายังมีไวน์นำเข้าจากต่างประเทศเหลืออยู่เยอะเลย คุณคิดจะนำไวน์พวกนั้นออกมาขายในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์กับวันชาติไหมครับ?”
หลินม่ายเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเฉินเฟิงวางแผนจะขายไวน์แดงพวกนั้นให้กับพ่อค้าหน้าเลือดที่เขารู้จักเมื่อหลายปีก่อน
เธอไม่รู้ว่าเขาบรรลุข้อตกลงทางวาจากับพ่อค้าหน้าเลือดพวกนั้นแล้วหรือยัง
ถ้าข้อตกลงด้วยวาจาบรรลุแล้ว แต่จ้าวเลี่ยงใช้สิทธิ์ของตัวเองนำไวน์นำเข้าพวกนั้นออกไปขาย เฉินเฟิงจะกลายเป็นผู้ที่ผิดสัญญากับคนอื่นหรือเปล่า?
ถึงแม้ข้อตกลงพวกนั้นจะกระทำโดยวาจาแบบไม่มีหลักฐาน ไม่ก่อให้เกิดความเสียเปรียบด้านเศรษฐกิจ แต่มันอาจจะนำความหายนะมาสู่เฉินเฟิง
หลินม่ายพูดกับจ้าวเลี่ยง “อย่าเพิ่งขายไวน์แดงพวกนั้นนะ รอให้ฉันแวะไปที่ไซต์งานก่อสร้างเพื่อเยี่ยมเยียนคุณเฉินก่อน ถ้าฉันคุยกับคุณเฉินแล้วได้เรื่องยังไงค่อยมาว่ากันทีหลัง”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จืออวิ๋นเธอมีพิรุธนะ บอกหลินม่ายได้ไหมว่าเธอถูกข่มขู่
ไหหม่า(海馬)