เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะอัดเขาต่อ แค่นางสามารถสื่อสิ่งที่นางต้องการให้เขารู้ได้ในลูกถีบเดียว เท่านั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ดังนั้นนางจึงทำตามคำแนะนำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง ที่ที่องค์ชายป้อนอาหารให้นางกินต่อ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพาดมือข้างหนึ่งไว้กับพนักเก้าอี้ของนางอย่างไม่สะทกสะท้าน พลางใช้มืออีกข้างป้อนข้าวนาง ท่าทางเช่นนี้ไม่ได้ดูใกล้ชิดเป็นพิเศษ แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันสมบูรณ์แบบระหว่างคนทั้งสองได้เป็นอย่างดี
หนานกงเลี่ยไม่อยากเชื่อเลยว่าทั้งสองคนจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ เขาพอจะให้อภัยกับความรักอันชื่นมื่นของพวกเขาได้ แต่การแสดงความรักอย่างออกหน้าออกตานี้มันช่างทรมานเกินกว่าหนุ่มโสดอย่างเขาจะรับไหว!
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็วางตะเกียบคู่นั้นลง จากนั้นจึงรับผ้าเช็ดหน้ามาจากขันที แล้วเช็ดมือของตัวเอง ก่อนจะบอกกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”ผ่านไปสักพักแล้วเจ้าค่อยดื่มน้ำแกงตาม น้ำแกงนี้ต้มมาจากผลพุทราแดง มันช่วยบำรุงร่างกายเจ้าได้ดีทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพนักหน้าตามอย่างเชื่อฟัง
“ถ้าเจ้ากินไม่หมดก็เหลือไว้ อย่าฝืนกินทุกอย่าง”
นางพยักหน้าต่ออย่างว่าง่าย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพอใจยิ่งนักที่เห็นนางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาลูบศีรษะของนางเบาๆ แล้วกล่าวว่า ”ถ้าเจ้าอยากออกไปเที่ยวเล่นนอกวัง ก็บอกให้ขันทีซุนพาไป อย่าเถลไถลไปไกลนักล่ะ หากมีอะไรเกิดขึ้นเขาจะได้มาแจ้งข้าได้อย่างทันท่วงที”
“ได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยจิบชาจากถ้วยที่อยู่ในมือ
หลังจากได้ยินคำตอบจากนาง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสบายๆ พลางจัดแขนเสื้อของตนไปด้วย เขาเตรียมตัวจะพาหนานกงเลี่ยที่กำลังรอเขาอยู่ไปจัดการทำให้บรรดาเสนาบดีผู้ไร้ระเบียบวินัยพวกนั้นได้รู้ซึ้งถึงฐานะของตน
แต่หลังจากเดินออกไปได้สองก้าว เขาก็หยุดฝีเท้าลงเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติ เขายืนอย่างมั่นคง และเอ่ยว่า ”ถ้ามีใครมาหาเรื่องเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องสั่งให้ขันทีซุนมารายงานข้า อย่าทนให้พวกเขารังแก แต่จงตอบโต้ซะ”
หนานกงเลี่ยรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของแรงกดดันอันมหาศาลบนไหล่ของตนทันทีที่เขาได้ยินคำพูดนั้น คุณหนูใหญ่ตระกูลเฮ่อเหลียนกล้าลงไม้ลงมือกับผู้บวงสรวงอัจฉริยะอย่างเขาโดยไร้ซึ่งความลังเล ส่งเขาไปนอนแผ่หราอยู่บนพื้นด้วยลูกถีบเดียว แล้วมีหรือที่คนอย่างนางจะทนเฉยยอมถูกใครรังแกได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดกับตัวเองในใจ
ดีที่นางเลิกอัดชาวบ้านเขาไปทั่วแล้ว
แต่วิธีการพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเมื่อครู่นี้ฟังดูคุ้นหูนางชอบกล
อ๋อ นึกออกแล้ว
ที่ผ่านมาเขาก็เคยสอนเจ้าเจ็ดไว้เช่นนี้เหมือนกัน และประโยคนี้เองที่สั่งสอนให้เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมาเป็น ’เสือน้อย’ ที่ไม่มีใครกล้าเข้าไปแหย่
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสอันเหมาะสมในการแสดงความเอาใจใส่ของคนเป็น ’ประธานจอมเผด็จการ’ ให้เขาได้เห็น นางเอ่ยกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วยรอยยิ้ม ”ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมารังแกข้าแน่ ถ้าคนพวกนั้นทำตัวล้ำเส้น ข้าจะทำให้พวกเขาได้ลิ้มรสชาติในสิ่งที่ตัวเองทำอย่างแน่นอน!”
หนานกงเลี่ย : …
ทำไมเขาถึงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีว่าจากนี้ไปวังหลวงจะไม่มีวันคืนอันสงบสุขอีกกันหนอ
แต่ที่สำคัญกว่านั้น... เดี๋ยวก่อน ทำไมนางถึงดูไม่สะทกสะท้านเรื่องที่อาเจวี๋ยกำลังจะเลือกพระสนมเลยล่ะ ทั้งเมืองหลวงกำลังวุ่นวายเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นย่อมไม่มีทางที่นางจะไม่รู้เรื่อง
หืม การอยู่อย่างไม่มีปากมีเสียงเช่นนี้ดูไม่ใช่สิ่งที่นางถนัดเอาเสียเลย
หากนางจับบรรดาคุณหนูที่วาดฝันว่าจะได้เป็นพระสนมพวกนั้นมาอัดเรียงตัวยังจะน่าเชื่อกว่าอีก แต่นางกลับสงบเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้… หืม ต่อให้เวลาผ่านไปเป็นล้านปีก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
“เจ้ามีเรื่องอะไรจะพูดกับข้ารึ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองหนานกงเลี่ยที่กำลังเดินใจลอยออกจากห้องทรงอักษร
หนานกงเลี่ยกระแอมออกมาเบาๆ แล้วตอบว่า ”ข้าคิดออกแล้ว”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงเลิกคิ้วสวยของตัวเองขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้เขาพูดต่อ
“อันที่จริง ในอดีตเองก็เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นพระชายาที่ข้ามกาลเวลามา สำหรับนางแล้วการกลับชาติมาเกิดจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด” หนานกงเลี่ยมองเขา แล้วว่าต่อ ”และที่สำคัญที่สุด นางอ้างว่านางเดินทางมาจากอนาคตอีกหนึ่งพันปีหลังจากนี้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อยิ่งนัก เจ้าไม่ได้ถามนางหรือว่าจักรวรรดิจ้านหลงในหนึ่งพันปีหลังจากนี้มีสภาพเช่นใด”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงตอบเรียบๆ ว่า ”นางบอกข้าว่าโลกนั้นค่อนข้างแตกต่างจากโลกของเราตอนนี้มากทีเดียว”
“ตรงนี้ล่ะที่เป็นจุดสำคัญ” หนานกงเลี่ยหรี่ตาลง แล้วบอกว่า ”ถ้านางเป็นเพียงแค่พระชายาผู้แสนบริสุทธิ์ที่ข้ามเวลามา นางก็คงไม่เลือกเป็นผู้ฝึกปีศาจแน่ พระชายาและผู้ฝึกปีศาจนั้นเป็นสิ่งที่อยู่คนละขั้วกัน แต่ข้าเดาว่ามันอาจจะมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นตอนที่นางเดินทางข้ามเวลามาที่นี่ จนส่งผลให้นางลงเอยด้วยการประพฤติตัวเช่นนี้ได้” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยต่อ ”แต่ว่านะอาเจวี๋ย เจ้าต้องระวังตัวเอาไว้ให้ดี มันอาจจะเป็นสิ่งที่เจ้าไม่เคยคาดคิด แต่อย่าลืมว่ามีคำทำนายกล่าวว่าการมาถึงของพระชายาจะนำโชคร้ายอย่างใหญ่หลวงมาให้กับเจ้า เจ้าต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับนางเอาไว้ให้ดีล่ะ มิฉะนั้นอาจจะมีกระแสน้ำแห่งความเปลี่ยนแปลงโหมกระหน่ำเข้าใส่จักรวรรดิจ้านหลงเอาได้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนิ่งเงียบไม่พูดจา และทำเพียงลูบคางของตนเท่านั้น ไม่รู้ว่าในใจของเขากำลังคิดอะไรอยู่
หนานกงเลี่ยมองสีหน้าของอีกฝ่าย แผนการจำนวนนับไม่ถ้วนที่ชายคนนี้วางเอาไว้ก่อนหน้าก่อตัวขึ้นจนเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในสมองของเขา หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า ”อันที่จริง เฮ่อเหลียนเวยเวยคนปัจจุบันนี้ก็ถือว่าไม่เลวทีเดียว ถึงแม้ว่านางคนก่อนจะบริสุทธิ์ไร้เดียงสาตรงกับรสนิยมความงามของเจ้ามากกว่าก็เถอะ ตอนที่นางยังเด็ก นางกลัวเจ้าแทบตายเลยนี่ และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าสนใจนาง แต่ตอนนี้นางเป็นพระชายาสามแล้ว ดังนั้นเจ้าก็อย่าหักโหมมากจนเกินไปนักล่ะ”
“ข้าเคยสนใจนางตอนที่ยังเด็กหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะเย็นชา แล้วเอ่ยว่า ”ทำไมข้าถึงไม่รู้ล่ะ”
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหนานกงเลี่ยระหว่างที่เขาตอบ ”เจ้าลืมเรื่องนั้นไปแล้วหรือ อืม มันจะเป็นเช่นนั้นก็คงไม่แปลก ข้าเองก็เพิ่งจะนึกออกเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง ในเวลานั้นพวกเราเพิ่งจะเคยพบกัน เจ้ามีสีหน้าดำทะมึนทุกครั้งที่เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเลยล่ะ”
“สีหน้าดำทะมึนของข้าเป็นสัญญาณบอกว่าข้าสนใจนางหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอนกายไปด้านหลัง แล้วยกขาขึ้นไขว่ห้างอย่างเกียจคร้าน
หนานกงเลี่ยเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพูดต่อ ”แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าเจ้าไม่สนใจ แม้แต่จะปรายตามองสักนิดเจ้าก็ไม่คิดจะทำด้วยซ้ำ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนแปลกมาตั้งแต่ยังเด็ก ยิ่งเขาชอบอะไร เขาก็จะยิ่งอยากรังแกมันมากขึ้นเท่านั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทำเพียงทอดสายตามองเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน สายตาคู่นั้นดูราวกับอ่านความคิดของหนานกงเลี่ยออกอย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า ”เจ้าคิดว่าข้าจะสนใจเด็กผู้หญิงที่หน้าซีดด้วยความหวาดกลัวทุกครั้งที่เจอข้าหรือ ตอนนั้นข้ายังเด็ก ข้ายังไม่ได้มีพฤติกรรมวิปริตขนาดนั้นเสียหน่อย ถ้าข้าไม่ชอบใครสักคน ข้าก็จะแสดงออกไปตรงๆ ต่างหาก”
“เช่นนั้นเจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ชอบเฮ่อเหลียนเวยเวยคนก่อนหรือ” นี่เป็นครั้งแรกที่หนานกงเลี่ยได้ยินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยอมรับว่าเขาไม่ชอบใครสักคน เขาจึงหัวเราะออกมา แล้วจากนั้นจึงกล่าวว่า ”การที่เจ้าเก็บเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ข้างตัวในเวลานี้ ก็เพราะต้องการแก้แค้นที่ในอดีตนางเคยหวาดกลัวเจ้าถึงเพียงนั้นหรือ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะสนใจนางอย่างมากตั้งแต่ตอนที่ได้พบนางอีกครั้ง”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ตอบอย่างเยือกเย็นว่า ”ข้าไม่มีเวลามาเสียไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแก้แค้นที่น่าเบื่อเช่นนี้”
เขารู้ดีว่าเป้าหมายของตัวเองคือใคร ทุกครั้งที่เขาเห็นคนคนนั้น เขาจะรู้สึกอยากทำลายเขาหรือนางจนไม่เหลือชิ้นดี
ก็เหมือนอย่างที่เลี่ยว่า ยิ่งเขาชอบอะไร เขาก็ยิ่งอยากจะบดขยี้มัน
ไม่
เขาจะคิดเช่นนี้ต่อไปไม่ได้
ข้าอยากเก็บนางไว้ข้างกายตลอดไป เหมือนอย่างที่เป็นในตอนนี้
เขาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อนาง
จากนี้ไปเวลาที่เขาฆ่าใคร เขาก็ควรปิดบังไม่ให้นางรู้เรื่องนั้น
เขาไม่อยากให้นางเห็นด้านที่น่ารังเกียจของตนเอง ด้านที่สนุกสนานไปกับความรุนแรง การหลอกลวง และการเข่นฆ่าอันไร้ที่สิ้นสุด ด้านที่เขาเพลิดเพลินไปกับการทำลายชีวิตคนอื่น
ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะปิดมันเป็นความลับจากนางไปตลอดชีวิต
ตอนที่เขากลับมาถึงห้องทรงอักษร เขาก็เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังหลับสนิทอยู่ที่นั่น
นางไม่ได้ไปไหน และทำเพียงแค่นอนเงียบๆ อยู่บนเตียงเพื่อเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้ นางเชื่อฟังเขาดียิ่งนัก จนเหมือนกับเป็นคนละคน…