หรือส่งโคมจนทำเกิดปัญหา
ไม่สมควร รอยยิ้มของหญิงสาวในเวลานั้นเป็นสัญญาณแห่งการเปิดใจไปอีกขั้นแท้ๆ
หวังเจียนหัวเราะจนกุมท้อง “หลายวันก่อนเฉินตันจูถูกท่านหลอกจนงงงวย ท่านส่งโคมไฟไปให้นางทำให้นางเปิดใจ ทันใดนั้นก็ตั้งสติได้ขึ้นมา”
หญิงสาวผู้นี้ตั้งสติได้รวดเร็ว ไม่เหมือนเขาในเวลานั้น ถูกชายหนุ่มตรงหน้าหลอกออกจากเมืองซีจิงทั้งน้ำตามาระยะไกลถึงจะตั้งสติได้ ไม่มีแม้แต่โอกาสหันหลังกลับไป
เมื่อเห็นเฉินตันจูที่เป็นฝ่ายหลอกคนถูกหลอกบ้าง เขาดีใจอย่างมาก แต่เมื่อเห็นเฉินตันจูตั้งสติได้ ทำให้แผนการของฉู่อวี๋หยงสูญเปล่า เขาก็ดีใจเช่นเดียวกัน
ปล่อยให้พวกเขาทั้งสองทรมานซึ่งกันและกันเถิด!
เฉินตันจูตั้งสติได้ ฉู่อวี๋หยงมีสติยิ่งกว่า เขารู้ว่าบางเรื่องย่อมต้องทำตามความปรารถนาของคน แต่บางเรื่องเป็นไปไม่ได้ เขาไม่สนใจว่าเวลานี้เป็นกลางคืน เขาออกจากจวนด้วยชุดองครักษ์ อีกทั้งยังจงใจสวมผ้าคลุมปิดหน้าเอาไว้ ดูเหมือนจะเป็นการปิดบังหน้าตา แต่การแต่งกายนี้หากถูกคนมีเจตนาเห็นเข้า…เมื่อเห็นเขาเข้าไปในจวนของเฉินตันจูย่อมยิ่งมั่นใจในตัวตน
องค์รัชทายาทฟังรายงาน ถึงแม้ในใจมีการคาดเดาไว้ก่อนแล้ว แต่เขายังคงตกตะลึงเล็กน้อย “ขี่ม้าได้ด้วยหรือ”
เนื่องจากองค์ชายหกป่วย เข้าออกล้วนนั่งรถ ไม่เคยได้ยินว่าเขาเรียนขี่ม้าด้วย
“ฝีมือการขี่ม้าก็ไม่เลวพ่ะย่ะค่ะ” ฝูชิงทูลรายงานข่าวที่ได้มา “ไม่ช้ากว่าเหล่าองครักษ์แม้แต่น้อย เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ขี่ม้าเป็นประจำ”
องค์รัชทายาทหัวเราะ พลันพยักหน้า “ดี ดี ดี บรรดาน้องชายของข้าไม่อาจดูจากภายนอกอย่างเดียวเสียจริง”
ฝูชิงพูดเสียงเบา “ดูท่าทางฝ่าบาทก็ทรงรู้เรื่องนี้”
องค์รัชทายาทยิ้มเย้ยหยัน “ไม่แน่ว่าเสด็จพ่ออาจทรงสอนเองด้วยซ้ำ พวกข้าต่างเป็นบุตรชายเหมือนกัน มีเรื่องใดที่รู้ไม่ได้ จำเป็นต้องสอนอย่างหลบๆ ซ่อนๆ”
เขากัดฟันเมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย
เหตุใดจึงต้องสอนโอรสคนเล็กอย่างหลบหลีกสายตาผู้คน
รอแผ่นดินสงบ องค์รัชทายาทอย่างเขาไม่จำเป็นต้องดึงดูดความแค้นก็จะทอดทิ้ง เอาคนใหม่มาแทนอย่างนั้นหรือ
…
เมื่อได้ยินว่าฉู่อวี๋หยงมาอีกแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่กลางดึก เยี่ยนเอ๋อ ชุ่ยเอ๋อและอิงกูยังคงอดบ่นไม่ได้ “ประเพณีของเมืองหลวงในเวลานี้คือกูเหยียที่หมั้นหมายแล้วต้องมาเยือนเป็นประจำหรือ”
เฉินตันจูก็ตกใจเช่นเดียวกัน
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ” นางเผลอถามออกมา แต่เมื่อครุ่นคิดก็ตั้งสติได้
จะเกิดเรื่องใดขึ้นได้ มีเพียงเรื่องที่ตนเองเขียนจดหมายให้เขา ดังนั้นนางจึงถามอย่างเปิดเผย “องค์ชายจะตรัสเรื่องใดก็ตรัสมาเถิดเพคะ”
ฉู่อวี๋หยงพูดด้วยน้ำเสียงสลด “จดหมายที่เจ้าเขียนสั้นเกินไป ไม่ได้บอกชัดเจน เจ้าไม่อยากหมายถึงเรื่องสมรส หรือเจ้าไม่ชอบข้า”
ถึงแม้จะคิดดีแล้ว แต่เมื่อได้ยินชายหนุ่มซักถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ เฉินตันจูยังคงเก้อเขินเล็กน้อย “เพราะเรื่องสมรส หม่อมฉันไม่เคยคิดจะสมรส แน่นอน ตัวขององค์ชาย หม่อมฉันไม่ได้หมายถึงองค์ชายไม่ดี แต่หม่อมฉันไม่…”
“ไม่ได้ไม่ชอบข้าก็พอ” ฉู่อวี๋หยงพูดต่อด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูตันจู ไม่มีผู้ใดคิดเรื่องสมรสอยู่ตลอดเวลา แต่ก่อนข้าก็ไม่เคยคิด จนกระทั่งพบกับคุณหนูตันจู ข้าจึงเริ่มคิด”
คนผู้นี้พูดจาช่าง…เฉินตันจูใบหน้าแดงก่ำ กระแอมไอเบาๆ หนึ่งที “หม่อมฉันขอบพระทัยองค์ชาย เพียงแต่…”
ฉู่อวี๋หยงพูดขัดนางอีกครั้ง “ตันจู เจ้าฟังข้าก่อนได้หรือไม่”
สีหน้าของชายหนุ่มจริงใจ สายตาฉายแววอ้อนวอน เขาไม่อยากให้นางพูดเด็ดขาดเกินไปหรือ เฉินตันจูใจอ่อน มองเขาไม่พูดสิ่งใดอีก
“ข้ารู้ว่าสำหรับเจ้า การปรากฏตัวของข้ากะทันหันกินไป เจตนาที่ข้ามีต่อเจ้าก็กะทันหันเกินไป อีกทั้งประสบการณ์ที่ผ่านมาของเจ้าทำให้เจ้าไม่มีอารมณ์คิดเรื่องนี้” ฉู่อวี๋หยงพูด “ข้าเคยบอกว่าเดิมทีไม่อยากเปิดเผยต่อเจ้าเร็วเพียงนี้ แต่สถานการณ์ทำให้ข้าไม่อาจรอช้าได้ พวกเรายังไม่สมรส แต่ออกจากเมืองหลวงกลับซีจิงด้วยกันก่อนดีหรือไม่”
ออกจากเมืองหลวงกลับซีจิงด้วยกัน ดวงตาของเฉินตันจูลุกวาว ซีจิงหรือ นางสามารถกลับไปเยี่ยมท่านพ่อ ท่านพี่และคนในตระกูลได้แล้วหรือ แต่สถานการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้นางไม่อาจจากไปได้ สถานการณ์ในเวลานี้ยิ่งแย่ สายตาของนางมืดมนลงไป”
“หม่อมฉันจากเมืองหลวงไปไม่ได้” นางพูด “หม่อมฉันยังมีเรื่องต้องทำ”
ฉู่อวี๋หยงย่อมเห็นสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปของหญิงสาว เขายิ้มเล็กน้อย “ตันจู เจ้าไปได้”
เฉินตันจูยิ้มขมขื่น “องค์ชาย หม่อมฉันเคยบอกองค์ชายก่อนหน้านี้ หม่อมฉันเป็นคนเลว คนที่แค้นหม่อมฉันจนอยากให้หม่อมฉันตายมีอยู่ทุกหนแห่ง หม่อมฉันต้องเฝ้าอยู่ที่หน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท แสดงความยโสโอหัง ทำให้ฝ่าบาทเห็นหม่อมฉันทุกเวลา หากหม่อมฉันจากไป ฝ่าบาททรงลืมหม่อมฉัน เวลานั้นคงเป็นเวลาตายของหม่อมฉัน”
ฉู่อวี๋หยงพูด “ไม่ต้องกลัว เวลานี้เจ้าไม่ได้ตัวคนเดียว เวลานี้มีข้า”
เอ่อ มีเขา เฉินตันจูมองเขา มั่นใจเสียเหลือเกิน แต่…
“องค์ชาย หม่อมฉันรู้ว่ามีความสามารถมาก” นางพูดเสียงเบา “แต่ชีวิตของท่านก็ไม่ได้ดีนักใช่หรือไม่”
องค์ชายหกที่มีความสามารถเพียงนี้กลับไม่เป็นที่รู้จักของผู้คน ย่อมต้องมีเรื่องที่ไม่อาจให้ผู้คนรู้ได้
สายตาของฉู่อวี๋หยงอ่อนโยนลง นางรู้ว่าเขามีความสามารถ แต่นางก็ยังคงเป็นห่วงเขา
“ชีวิตของข้าไม่ดี” ดวงตาของเขาแพรวพราวดุจดวงดาว แต่ก็ลึกล้ำดุจบ่อน้ำ “แต่มันเป็นทางเลือกที่ข้าเลือกเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าข้าจะมีทางเลือกเดียว”
หากเขาไม่อยากใช้ชีวิตเช่นนี้ย่อมไม่ใช้ได้หรือ เฉินตันจูจ้องมองเขา พลันหัวเราะออกมา “องค์ชายมีความสามารถมากกว่าที่หม่อมฉันคิดเสียอีก”
ฉู่อวี๋หยงไม่ได้หัวเราะ แต่พยักหน้า “ใช่ ข้ามีความสามารถมาก เจ้าฟังข้า ตามข้าไปเถิด” เขาหยุดชะงักลงเล็กน้อย จับมือของหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย “ตันจู อันที่จริงข้ามาเพื่อพาเจ้าออกไปจากเมืองหลวง”
ฮะ เฉินตันจูมองเขาด้วยความนิ่งงัน ไม่ใช่ฮ่องเต้รับสั่งให้เขามา หากแต่เขามาเพื่อนางหรือ
ฟังดูเหลวไหลอย่างมาก แต่เมื่อจ้องมองดวงตาของชายหนุ่ม เฉินตันจูไม่เห็นความเท็จแม้แต่น้อย
หรือแม่ทัพหน้ากากเหล็กกำชับให้เขาพาตนเองจากไปก่อนตาย
“เช่นนั้น…” นางฉงนเล็กน้อย ก่อนจะพบว่ามือของนางถูกจับเอาไว้ นางดึงมือกลับทันที คนก็ตั้งสติขึ้นมาได้อีกครั้ง ดวงตาของนางถลึงโต “องค์ชายพูดก็พูด อย่าแตะเนื้อต้องตัวสิเพคะ”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม ไม่รอหญิงสาวปะทุโทสะอีกครั้ง พูด “ข้าไปทูลเสด็จพ่อ พวกเรายังไม่สมรสกัน รอกลับซีจิงค่อยหารืออีกที”
อย่างนี้หรือ ไม่สมรสตามคำขอของนางแล้ว เฉินตันจูลังเลเล็กน้อย ราวกับไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธได้อีก
ออกจากเมืองหลวงกลับซีจิง...
ความคิดที่ไม่กล้าคิดแม้แต่น้อยเริ่มผุดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ฉู่อวี๋หยงยิ้มเล็กน้อย “เจ้ารอข้า” พลันหันหลังจากไป
…
ฉู่อวี๋หยงออกมาตอนกลางวัน อีกทั้งยังแต่งกายแบบขอไปที ฮ่องเต้ที่นานทีจะว่างเล่นหมากกับนางในตัวน้อยในห้องทรงพระอักษรก็รู้ทันที
ฮ่องเต้ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เขาส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าจะอดทนต่อไป เมื่อถึงเวลา ส่งพวกเขาจากไปทันที”
ขันทีจิ้นจงหัวเราะเสียงเบา “ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่ในใจของพวกเราต่างรู้ดี องค์ชายหกกับคุณหนูตันจูมีวาสนาต่อกันนานเพียงใดแล้ว ในที่สุดเวลานี้ก็สามารถเปิดเผยได้ย่อมทำตามอำเภอใจ อย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่มสาว”
ฮ่องเต้ยิ้มเย้ยหยัน ยื่นมือไปหยิบขนมที่วางอยู่บนโต๊ะ
ขันทีจิ้นจงรีบยกออก “หมอหลวงจางบอกว่าเวลานี้ฝ่าบาทเสวยยา ไม่อาจเสวยของหวานได้มาก”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยอยู่นั้น ด้านนอกมีเสียงทูลรายงานว่าฉู่อวี๋หยงขอเข้าเฝ้า
ฮ่องเต้กุมขมับ “สองคนนี้อยู่ด้วยกันก็ไม่หยุดทรมานข้าแม้แต่สักครู่เดียว”
แต่ก็ไม่อาจไม่พบได้ มิฉะนั้นไม่รู้จะก่อความวุ่นวายใดขึ้นอีก
“เข้ามาเถิด เข้ามาเถิด”