หลังจากฉู่อวี๋หยงจากไป เฉินตันจูไม่ได้นอนคิดเหมือนก่อนหน้านี้ หากแต่นั่งไม่ติดด้วยความกังวล
“คุณหนู พวกเราต้องเตรียมตัวแล้วหรือไม่” อาเถียนถาม
ก่อนหน้านี้คุณหนูพูดคุยกับฉู่อวี๋หยงเป็นการส่วนตัว ไม่รู้พวกเขาคุยกันอย่างไรบ้าง
หลังจากประกาศเรื่องสมรส ตระกูลเฉินไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่น้อย ราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเขา
ที่สำคัญคือทุกคนต่างไม่เคยคิดว่าเฉินตันจูจะสมรส เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป อีกทั้งยังจะสมรสกับองค์ชายหกที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน
แต่องค์ชายหกทั้งส่งของทั้งแอบมาเยือนในตอนดึก ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เยี่ยนเอ๋อ ชุ่ยเอ๋อและอิงกูเริ่มเข้าออกคลังของ รื้อค้นผ้าไหมแต่ละชนิดในจวน
อาเถียนก็อดไม่ได้ที่จะวนเวียนไปดูจวนของพระชายาทั้งสามนั้นว่ากำลังยุ่งเรื่องใดบ้าง
นางรู้สึกว่าคุณหนูคงกำลังจะออกเรือนแล้วจริงๆ
เมื่อได้ยินอาเถียนถาม เฉินตันจูครุ่นคิด พลันพูด “ถึงเวลาเตรียมตัวแล้ว”
อาเถียนดีใจปนตะลึง “คุณหนูจะสมรสแล้วจริงหรือเจ้าคะ คุณหนูชอบองค์ชายหกมากเสียจริง!”
อะไรคือชอบองค์ชายหกมากเสียจริง! เฉินตันจูถลึงตา “ชอบที่ใดกัน อันที่จริงข้าไม่สนิทกับเขา”
อาเถียนยิ้มพลันพยักหน้า “ใช่ ไม่สนิทเจ้าค่ะ แต่ไม่สนิทก็ชอบมากได้ สนิทก็ไม่ชอบได้เจ้าค่ะ”
เฉินตันจูไม่อยากถกเถียงเรื่องนี้กับนาง หากแต่อธิบายอีกเรื่อง “ข้าไม่ได้หมายถึงเตรียมตัวสมรส หากแต่เป็นกลับเมืองซีจิงต่างหาก”
อาเถียนยิ่งตกตะลึง “คุณหนู กลับซีจิงได้จริงหรือเจ้าคะ”
คราวก่อนฮ่องเต้ต้องการเนรเทศคุณหนูไปเมืองซีจิง แต่คุณหนูไม่ยอม นางเข้าใจคุณหนู นางไม่ใช่ไม่ยอม แต่ทำไม่ได้
หากเป็นไปได้ คุณหนูย่อมอยากอยู่กับคนในตระกูล ไม่ต้องกระทำการเสื่อมเสียชื่อเสียง อยู่อย่างโดดเดี่ยวในเมืองหลวง
เฉินตันจูพยักหน้าอย่างช้าๆ มองไปยังทิศทางของวังหลวง “เขาพูดได้ คงจะทำได้”
นางไม่ได้บอกว่าเขาคือผู้ใด แต่อาเถียนเข้าใจ พลันแสดงสีหน้าดีใจ “องค์ชายหกมีความสามารถเหมือนกับท่านแม่ทัพ!”
ท่านแม่ทัพ? เฉินตันจูผงะไป เหตุใดจึงเกี่ยวกับท่านแม่ทัพ
“ตอนนั้นคุณหนูไปไม่ได้ ถึงแม้ฮ่องเต้จะออกพระราชโองการแล้ว แต่ท่านแม่ทัพกลับมาถึงก็จัดการได้” อาเถียนพูดอย่างดีใจ “เวลานี้คุณหนูอยากออกจากเมืองหลวง องค์ชายหกก็สามารถจัดการได้ ย่อมมีความสามารถเหมือนกันเจ้าค่ะ”
อย่างนี้หรือ ถึงแม้อีกคนไม่ไปอีกคนไป แต่ความหมายเหมือนกัน ล้วนจัดการปัญหาที่นางไม่อาจจัดการได้ เฉินตันจูยิ้ม พูดแก้ “พูดอย่างนี้ไม่ได้ อันที่จริงไม่ใช่แค่การพูดเท่านั้น ไม่รู้ต้องทำมากมายเพียงใด”
ไม่รู้ว่าเขาต้องใช้สิ่งใดถึงจะแลกเปลี่ยนมาได้
อืม เมื่อคิดเช่นนี้ องค์ชายหกก็เหมือนกับท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็กยิ่งขึ้น…
มิน่า นางมักรู้สึกคุ้นเคยกับองค์ชายหก ที่แท้เขาก็เหมือนท่านแม่ทัพ เฉินตันจูเหม่อลอยเล็กน้อย
…
ฉู่อวี๋หยงขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทโดยตรง
เมื่อได้ยินข่าว ฉู่ซิวหยงที่ทรงงานอยู่ตำหนักด้านข้างก็เดินออกมา ยืนอยู่บนบันไดด้านนอกพระตำหนัก มองชายหนุ่มผู้หนึ่งถูกบรรดาขันทีนำทางเดินไปยังวังหลัง ชายหนุ่มผู้นั้นสวมผ้าคลุมสีดำธรรมดา แขนขายาวราวกับนกกระเรียน
ช่างแตกต่างจากคนที่อยู่ในความทรงจำอันยาวไกล รวมทั้งความทรงจำอันใกล้ในสองสามครั้งนี้อย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มที่มักนั่งหรือนอนหรือกระแอมไอด้วยความอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ทันใดนั้นก็ราวกับฟื้นคืนชีพกลับมา
แต่เขาย่อมไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในชั่วพริบตา หากแต่เติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในที่ที่พวกเขามองไม่เห็น เมื่อเขาเดินมาถึงตรงหน้าพวกเขาก็โดดเด่นดึงดูดสายตาแล้ว แม้แต่…ดวงตาของหญิงสาวผู้นั้น
ฉู่ซิวหยงถาม “เขาเพิ่งไปพบคุณหนูตันจูหรือ คุณหนูตันจูเกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
ดังนั้นจึงต้องรีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
เสี่ยวชวีถามเสียงเบา “ให้คนไปดูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เขารู้เรื่องขององค์รัชทายาทอย่างดีแล้ว แต่กลับไม่รู้เรื่องขององค์ชายหกผู้นี้แม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าเขาต้องการทำสิ่งใด ไม่รู้การกระทำของเขาเพื่อสิ่งใด ไม่อาจคาดเดา ไม่อาจควบคุม
แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ ฉู่ซิวหยงส่ายหน้า เขามองไปยังทิศทางของวังหลังเงียบๆ ถามขึ้น “กี่วันแล้ว”
คำพูดนี้ไร้ต้นสายปลายเหตุ แต่เสี่ยวชวีเข้าใจทันที เขาทูลเสียงเบา “สี่วันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดจบพลันมองฉู่ซิวหยง ไม่ได้ถามต่อ ราวกับกำลังรอบางอย่าง
ฉู่ซิวหยงเงียบอีกครั้ง พลันพูดขึ้น “วันนี้เถิด”
เสี่ยวชวีก้มหน้าตอบรับ
ฉู่ซิวหยงมองไปยังนอกวังหลัง ยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “ข้าจะทำให้นางเสียใจอีกแล้ว”
นางคือผู้ใด เสี่ยวชวีไม่ได้ถาม หากแต่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ราวกับกลัวว่าฉู่ซิวหยงจะกลับคำ
…
ฉู่อวี๋หยงไม่ได้อยู่กับฮ่องเต้นานนัก หลังจากทูลขอสองสามคำแล้ว ฮ่องเต้ทั้งรู้สึกระอาทั้งขบขัน
“เวลานี้ข้ารู้สึกว่าเจ้าใช้แรงทั้งหมดในเรื่องนี้เสียจริง”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “ทำเรื่องใดย่อมต้องพยายามสุดกำลัง”
ฮ่องเต้ยิ้มเย้ยหยัน พยายามสุดกำลัง ถูกต้อง แต่ก่อนตอนที่อยู่ในเมืองซีจิง เขาก็พยายามสุดกำลังเพื่อวิ่งไปค่ายทหาร ใช้ทุกกลยุทธ์ทุกกลอุบาย…
“เสด็จพ่อ พระองค์ให้กระหม่อมพาคุณหนูตันจูไปก่อน กระหม่อมไม่วางใจต่อเสด็จพ่ออย่างมาก หากเสด็จพ่อทรงโกรธบอกคุณหนูตันจูเรื่องในตอนนั้น คงจะยิ่งยุ่งยาก”
เขาระแวงตนเองด้วย! ฮ่องเต้หยิบฎีกาบนโต๊ะเขวี้ยงไป “ไปๆๆ รีบออกเดินทางกลับซีจิงไป”
…
ฉู่อวี๋หยงถอยออกมาจากตำหนัก ขันทีจิ้นจงเดินตามอยู่ด้านหลัง
“องค์ชายรอหน่อยไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาบ่น “เอาแต่มาทำให้ฝ่าบาททรงโกรธ”
ฉู่อวี๋หยงพูดด้วยรอยยิ้ม “โกรธทีเดียวประหยัดเวลา มิฉะนั้นสามวันห้าวันโกรธครั้งหนึ่ง ไม่ดีต่อพระวรกายของเสด็จพ่อ”
ขันทีจิ้นจงส่งเสียงไม่พอใจ ก่อนจะมองชายหนุ่มผู้นี้ด้วยสายตาอ่อนโยน “จะไปจริงหรือ”
สายตาของฉู่อวี๋หยงก็อ่อนโยนเช่นเดียวกัน เขาเรียกเสียงเบา “กงกงใหญ่ ท่านรู้อยู่แล้วว่าข้าจะไป”
เขายอมหยุดระหว่างทางก็เพื่อพาอีกคนไปด้วย
ขันทีจิ้นจงยกมือโบกไปมา “ไปเถิด ไปเถิด จะไปก็รีบไป”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม หันหลังก้าวเท้า ก่อนจะเห็นขันทีพาหมอหลวงที่เข้าเวรเดินมาพร้อมกับยาในมือ
เขาชะงักฝีเท้าลง “เหตุใดเสวยยาในเวลานี้”
ขันทีผู้นั้นผงะด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เขามองชายหนุ่มที่สวมเครื่องแต่งกายธรรมดา แต่รูปลักษณ์งดงามอย่างเหลือเชื่อ ผู้ใดกัน เขารู้ความเคยชินต่อการเสวยโอสถของฮ่องเต้ด้วย พระกระยาหารและโอสถของฮ่องเต้ล้วนเป็นความลับ แม้แต่องค์ชายและพระสนมยังไม่อาจรู้ได้
ขันทีจิ้นจงรีบพูด “หมอหลวงจางจ่ายมาใหม่ บำรุงพระวรกายของฝ่าบาท องค์ชายหกรีบไปเถิด”
ฉู่อวี๋หยงตอบรับ พลันมองหมอหลวงผู้นั้น หมอหลวงผู้นั้นถวายบังคมให้เขาอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายคือองค์ชายหก ถึงแม้องค์ชายหกจะร่างกายอ่อนแอ แต่บรรดาหมอหลวงในสำนักหมอหลวงไม่คุ้นเคยกับเขา เพราะว่าอีกฝ่ายมีหมอหลวงที่ฮ่องเต้เลือกรับผิดชอบเสมอมา…ที่แท้องค์ชายหกกระปรี้กระเปร่าเพียงนี้หรือ
ฉู่อวี๋หยงผงกหน้าหลีกทาง มองดูหมอหลวงเดินเข้าไป ก่อนจะมองภายในตำหนักอีกครั้ง จากนั้นจึงเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“องค์ชาย” เฟิงหลินที่รออยู่นอกวังหลวงตะโกนด้วยความดีใจ “พวกเราไปจวนของคุณหนูตันจูเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่อวี๋หยงพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามั่นใจเพียงนี้เชียวหรือ”
เฟิงหลินยิ้ม “คุณหนูตันจูก็ต้องมั่นใจเช่นเดียวกัน เวลานี้กำลังรอองค์ชายอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
ใช่ เขารู้ สายตาของหญิงสาวก็ได้บอกเขาแล้วก่อนเขามา นางเชื่อว่าเขาทำได้ ฉู่อวี๋หยงยิ้มพลันขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่กำลังจะออกตัว ภายในวังหลังมีเสียงกรีดร้องทะลุผ่านหูเข้ามา
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปพลันหันหน้ากลับไปมอง เมฆดำบนฟ้าเคลื่อนที่มาปกคลุมวังหลังอย่างช้าๆ
…
ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เต็มไปด้วยเสียงฝีเท้า เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ฝ่าบาท!”
“ผู้ใดก็ได้! ผู้ใดก็ได้!”
“ฝ่าบาททรงสลบไปแล้ว!”