หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1177 สายตาท่านอาจารย์!

บทที่ 1177 สายตาท่านอาจารย์!

หลายปีก่อน ภายในนิมิตมืด หมิงคุนจื่อยืนอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ สายตาแฝงความอ่อนโยน แต่ใบหน้ากลับเคร่งขรึม แล้วถามเกี่ยวกับเรื่องการฝึกตน

“เป่าเล่อ หลังจากวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ พวกเราศิษย์สำนักแห่งความมืดทำเช่นไร”

“ท่านอาจารย์ หลังจากวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ ตามหลักเต๋าในการเวียนว่ายของเต๋าสวรรค์ ด้วยการวาดวิชาใบหน้าซากศพให้วิญญาณ ลิขิตชะตากรรม และชักใยแห่งเหตุผล หลังจากเสร็จสิ้นทุกสิ่งก็จะสามารถส่งมันเข้าสู่การเวียนว่ายได้อย่างราบรื่น ให้เต๋าสวรรค์ตรวจสอบ หากทะลวงผ่านก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่หากไม่อาจทะลวงผ่านได้ก็หมายถึงการฝึกตนของศิษย์สำนักแห่งความมืดยังไม่เพียงพอ”

“คุณธรรม”

หวังเป่าเล่อลืมตา มองตนเองเหยียบเข้าสู่ประตูแสง โลกชั้นที่สามปรากฏ เขาเฝ้ามองสถานที่นี้ท่ามกลางแสงที่ไม่สิ้นสุดอย่างโดดเดี่ยว นอกจากเมฆขาวแล้วสิ่งเดียวที่สะท้อนสู่สายตา

นั่นก็คือหน้าผาแห่งหนึ่ง

ด้านหน้าหน้าผา มีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่

บนโต๊ะ มีพู่กันแท่งหนึ่ง

นั่นคือพู่กันแต่งหน้าศพ

เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ เขาก็คิดถึงนิมิตมืดขึ้นมา คิดถึงสิ่งที่ตนเคยร่ำเรียน พร้อมกันนั้นในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดจึงมหัศจรรย์เช่นนี้

“นั่นเป็นเพราะ…สถานที่แห่งนี้คือดินแดนหลุมศพ เป็นการฝึกฝนและก็เป็น…การสืบทอด”

“ดังนั้นทุกสิ่งของที่แห่งนี้ ล้วนเพื่อไปตรวจสอบ ประเมินและเลือกเฟ้น เพื่อให้ได้ศิษย์ผู้สืบทอดจักรพรรดิแห่งความมืด”

หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา หันหน้ามองภายในแม่น้ำแห่งความมืดที่อยู่ข้างตน ในนั้นมีวิญญาณนับไม่ถ้วน เขาก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางความเงียบงัน เมื่อถึงข้างหน้าผาจึงนั่งลงหน้าโต๊ะ

เขาหลับตาลงอีกครั้งราวกับกำลังหวนคำนึงและคล้ายกำลังหมกมุ่น กระทั่งผ่านไปชั่วครู่ ขณะที่หวังเป่าเล่อลืมตา ดวงตาของเขาสงบนิ่ง สะบัดมือซ้ายทันที จากนั้นเมฆขาวรอบด้านก็ถาโถมเข้ามา หลอมเข้าสู่แม่น้ำแห่งความมืดที่อยู่ข้างๆ ดำดิ่งท่ามกลางหมู่วิญญาณภายในตัวมัน จากนั้น…ดูเหมือนเขาจะเห็นใบหน้ามากมาย ค่อยๆ ผุดอยู่ในจิตใจของตน

หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น หยิบพู่กันที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ด้วยแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่ง ลอยออกมาจากแม่น้ำแห่งความมืดตรงหน้าเขา หวังเป่าเล่อสีหน้าสงบแฝงความจริงจัง ราวกับกลับไปสำนักแห่งความมืดในปีนั้น และเริ่มวาดเค้าโครงลงบนแสงวิญญาณนี้

วาดใบหน้าซากศพ

ใบหน้าซากศพวาดลำบาก เพราะไม่สามารถผิดพลาดได้เลยแม้แต่น้อย หากผิดเพียงพู่กันเดียวจะส่งผลต่อการถือกำเนิดของวิญญาณดวงนั้น เพียงเหตุการณ์เดียวก็จะทำให้แก่นเต๋าของตนได้รับผลกระทบ

ยิ่งไม่อาจมีความรู้สึกส่วนตนได้ เหมือนศิษย์พี่ในปีนั้น ด้วยเพราะความรู้สึกส่วนตัวนั่นต่อมาจึงได้เลือกเดินทางผิด

หวังเป่าเล่อไม่อาจทราบว่าตนเองจะทำได้ดีหรือไม่ แต่อย่างไร…เขาไม่ได้วาดใบหน้าซากศพมานานมากแล้ว แม้กระทั่งเส้นทางของตนก็อยู่ตรงข้ามกับสำนักแห่งความมืด

“แต่นี่ก็เป็นสาเหตุส่วนเดียว” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า หลังจากทำให้ตนสงบขึ้น แต่ละเส้นที่วาดเค้าโครงให้ดวงวิญญาณตรงหน้า ค่อยๆ ปรากฏรูปร่าง รูปลักษณ์ปรากฏขึ้นทีละน้อย จากนั้นจึงค่อยๆ กำหนดเพศ

ในขั้นตอนเหล่านี้ มือเขาไม่สั่น แม้มันจะฝืดเคืองไปบ้าง ทว่าจิตใจของเขาเป็นดั่งดวงจิตเทพเจ้า ความเหนือชั้นนี้ คล้ายทำให้หวังเป่าเล่อตอนนี้ เปล่งเสน่ห์ลึกลับของเต๋าไปทั่วร่าง

เต๋านี้เป็นเต๋าสวรรค์ และเป็นเต๋าของสำนักแห่งความมืด

เสียงถอนหายใจด้านนอกโลกแห่งนี้ นอกแม่น้ำแห่งความมืดอันกว้างใหญ่ไพศาล เสียงสะท้อนนั้นบางเบา แต่กลับส่งไปไม่ถึงใจผู้ใด ส่งไม่ถึงสัมผัสสวรรค์ของคนรอบข้างแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเฉินชิงจื่อที่อยู่นอกแม่น้ำแห่งความมืด ในใจตกอยู่ในความว่างเปล่าอยู่นานแสนนาน

ดวงตาของเฉินชิงจื่อคล้ายกับสามารถมองผ่านทั้งหมด และเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด

เขามองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวัดก่อนหน้านั้น ประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อทำให้เขานิ่งงัน จากนั้นเขาก็เห็นว่าหลังจากหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ทุกคนภายในวัดค่อยๆ ได้ฟื้นคืนสติและเข้าสู่ขั้นต่อไป

แล้วยังเห็นเช่นกันว่า ในชั้นแรกของหอคอยที่ทลายนั้น ความต้องการสังหารนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อเหล่านี้ มากพอที่จะชะล้างวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อ

กระทั่งหลังจากการคารวะ หวังเป่าเล่อเลิกต่อต้านเผยให้เห็นสัมผัสสวรรค์ และแสดงคุณธรรมของตนแล้ว ดวงวิญญาณเหล่านั้นก็สลายไปอย่างช้าๆ

ในทำนองเดียวกัน เขายังเห็นว่าหลังจากหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่เข้าสู่ขั้นแรกเหล่านั้น ในนั้นมีกว่าครึ่งที่เห็นแก่ตัวไร้คุณธรรม ต่างก็เสียชีวิตอยู่ภายใน

และยังมีวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณของหวังเป่าเล่อในชั้นที่สอง รวมทั้งวิชาใบหน้าซากศพของชั้นที่สาม ทั้งหมดนี้ทำให้เสียงถอนหายใจของเฉินชิงจื่อดังก้องขึ้นอีกครั้ง

ไม่ต้องสงสัยว่า หวังเป่าเล่อคือความหวังการเกิดใหม่ของสำนักแห่งความมืด

เพราะไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้าเขาหรือหลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถทำหัตถ์สื่อวิญญาณถึงเจ็ดอาณาจักรได้ หวังเป่าเล่อเป็นผู้ที่ทำได้มากที่สุดและไม่มีใครสามารถทำได้เช่นเขา รักษาความเหนือชั้น ไม่ได้รับผลกระทบ และวาดใบหน้าซากศพไปอย่างเงียบๆ

แต่…เป็นเต๋าที่แตกต่าง

ดังนั้นทั้งหมดนี้ เฉินชิงจื่อจึงได้แต่เพียงถอนหายใจ กระทั่งสายตาของเขายิ่งล้ำลึก เห็นได้ว่าหลายชั้นลงไป มีสองร่างกำลังเดินหน้ามาอย่างยากลำบาก

หนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรี

สตรีคือรักษาการบุตรแห่งความมืดที่แอบแฝงพลังอยู่ด้านนอก ส่วนบุรุษนั้นรูปลักษณ์อัปลักษณ์ เป็นรักษาการบุตรแห่งความมืดอีกผู้หนึ่งที่ไร้ความรู้สึกถึงการดำรงอยู่ ยามนี้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ร่างของพวกเขาอยู่ในสายตาของเฉินชิงจื่อ เหมือนจะค่อยๆ หลอมรวมกัน

“วิชาหยินหยางต้องห้ามรวมตัวเป็นมหาเต๋า เมื่อไม่คิดจะเป็นตัวเลือก ดังนั้นจึงยิ่งต้องสู้ แต่ยังขาดส่วนหนึ่งมาโดยตลอด…โชคชะตา” เฉินชิงจื่อจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนสายตา มองไปยังที่ที่ลึกที่สุดในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด

ที่นั่นมีโลงศพโลงหนึ่ง และร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างโลงศพ

ร่างนี้พร่ามัว แต่กลับมีลมหายใจแปรปรวน นำพาเวลาที่ไม่สิ้นสุดขจรขจายไปทั่วชั้นสุดท้าย คล้ายกับรับรู้ได้ถึงการจ้องมองของเฉินชิงจื่อ ร่างนี้ลืมตาแหงนหน้าขึ้น แยกสุสาน แยกแม่น้ำแห่งความมืด แล้วเผชิญหน้ากับเขา

“ท่านอาจารย์…ข้าต้องการซากศพจักรพรรดิแห่งความมืด ท่านไม่ให้ เช่นนั้นถ้าศิษย์น้องไปแล้ว ท่าน…จะให้หรือไม่” เฉินชิงจื่อก้มหน้าพึมพำ

ร่างนี้คือผู้เฝ้าสุสาน ยังเป็น…อาจารย์ของเขา และเป็นอาจารย์สำนักแห่งความมืดของหวังเป่าเล่อ

สมญานามเต๋าของเขาคือ…หมิงคุนจื่อ

เวลาผ่านไป หวังเป่าเล่อไม่สนใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร และก็ไม่ได้พิจารณาว่าจะมีใครสังเกตตนเองอยู่หรือไม่ แม้กระทั่งไม่ได้ไปสนว่าหลังจากเขา จะมีผู้เข้าสู่ชั้นที่สามเช่นเดียวกัน

เขาไม่ได้ไปพิจารณา เหตุใดหลังจากตนแล้ว ผู้ที่เข้าสู่ชั้นที่สามนี้ยังคงมีวิญญาณที่ถูกดึงอยู่ข้างๆ อย่างไรก็ตามเขานับว่าเป็นวิญญาณเจ็ดอาณาจักรที่ขึ้นมาอีกชั้น หัตถ์สื่อวิญญาณทั้งหมด

สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ

ไม่ว่าชั้นที่สองจะไร้จุดเริ่มไร้จุดจบหรือไม่ โลกวิญญาณก็ไม่สิ้นสุด ไม่ว่าผู้ที่มาที่แห่งนี้คนแล้วคนเล่า และหลังจากที่เห็นเขาต่างก็เฝ้าระวัง ไม่ว่าหน้าผาแต่ละแห่งปรากฏเมฆขาวรอบด้าน ตามการปรากฏของผู้มาเยือน ต่างก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจของเขาได้

หวังเป่าเล่อยามนี้ มีเพียงใบหน้าซากศพตรงหน้า

เขาค่อยๆ วาดเค้าโครงวิญญาณ ตามที่ตนเองสัมผัสได้ในใจทั้งหมดออกมา จนกระทั่งแม่น้ำแห่งความมืดที่ข้างกายตนหายไป วิญญาณที่ถูกเขาวาดด้วยใบหน้าซากศพเหล่านี้กลายเป็นจุดแสงมากมายล้อมรอบกายเขา ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาเรืองรองสุกใส

เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นบนร่างา ทำให้ผู้มาเยือนจากรอบด้าน ดวงตาฉายแววสับสน

เมื่อถึงเวลานี้ จิตใจของหวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ ฟื้นคืน

“ต่อไป คือลิขิตชะตากรรม” ขณะพึมพำ ประตูแสงก็ปรากฏขึ้นเองตรงหน้าหวังเป่าเล่อ เขาลุกขึ้นยืน เดินออกไปก้าวหนึ่ง นำวิญญาณใหม่ที่ไร้ไอมรณะ แต่มีพลังชีวิตย่างเข้าไปด้วยกัน

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้มองไปด้านข้างเลยแม้แต่น้อย

เขารู้สึกเพียงว่ามีสายตาสองสาย หนึ่งอยู่บน อีกหนึ่งอยู่ล่าง ต่างจ้องมองมาที่ตนเอง เขาสามารถตระหนักได้ว่าด้านบนคือผู้ใด แต่ด้านล่างนั้น…เขาไม่อาจรู้

ทว่า หวังเป่าเล่อกลับสัมผัสได้ ขณะที่ตนเดินไปแต่ละชั้น เสียงเพรียกเช่นนั้น แรงดึงเช่นนั้น ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาค่อยๆ เดินเข้าสู่ลำแสง หลังจากเข้าสู่อีกชั้นหนึ่งแล้ว ในใจของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงความสนิทสนมและคุ้นเคย

………………

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท