“จะมีคนอื่นด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหนักใจอย่างที่สุด…
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือซ้ายขึ้นทั้งที่ยังมีขนมดอกกุ้ยฮวาอยู่เต็มปาก แล้วใช้นิ้วชี้ชี้มาที่จมูกตัวเอง พร้อมประกาศว่า ”ข้าไง”
“ท่านหรือพ่ะย่ะค่ะ ฮ่าๆ!” เฮ่อเหลียนเวยเวยทำให้ขันทีซุนถึงกับหลุดหัวเราะออกมา เขากระแอมสองครั้ง แล้วกล่าวว่า ”พระชายา ท่านหลอกกระหม่อมเล่นอีกแล้ว”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เชื่อนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงทำเพียงแค่ยิ้ม และไม่พูดอะไรต่อ นางนั่งอยู่บนเตียงทำจากทองคำบริสุทธิ์พร้อมกับกล่องขนมที่ยังอยู่ในอ้อมแขน แล้วค่อยๆ หยิบพวกมันขึ้นมากินทีละชิ้นตามลำดับ สุดท้ายเมื่อนางเห็นว่าขนมดอกซิ่งที่กินอยู่รสชาติค่อนข้างดี นางก็ตัดสินใจที่จะเหลือพวกมันเอาไว้ให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเผื่อเขาหิวกลับมา
ขันทีซุนไม่สามารถทำความเข้าใจกับความคิดของนางได้ เขาจึงทำเพียงแค่ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ คนเดียวด้วยความเป็นห่วงอนาคตในวันข้างหน้าของนาง
สิ่งแรกที่จะเกิดขึ้นหากฝ่าบาทหมดรักนางคือการที่นางจะกลายเป็นเพียงผู้หญิงที่ไร้ซึ่งอำนาจ
มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่นางจะถูกทิ้งให้เน่าตายอยู่ในวังหลวงแห่งนี้
เขารู้สึกกังวลเรื่องนี้มาได้สักระยะแล้ว
แต่เขาคงไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป หากนางได้ตระกูลเฮ่อเหลียนกลับคืนมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพร้อมฆ่าคนจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อกำจัดทุกคนที่ยืนขวางทางพวกเขาเอาไว้ด้วยซ้ำ
ขันทีซุนตระหนักได้ในตอนนั้นเองว่าทุกก้าวที่เฮ่อเหลียนเวยเวยย่ำลงบนเส้นทางนี้ล้วนแต่มาจากเลือดและหยาดเหงื่อของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทั้งสิ้น
ทุกอย่างที่เขาทำลงไปนั้นล้วนแต่ทำเพื่อให้นางสามารถต่อสู้และยืนหยัดอยู่บนจุดสูงสุดนั้นเพื่อตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะหมดอำนาจ
เขาจะยืนอยู่ข้างหลังนางหนึ่งก้าวเสมอเพื่อคอยสนับสนุนนาง พร้อมกับใช้วิธีการอันโหดเหี้ยมและชั่วร้ายทุกวิถีทางเพื่อกำจัดอุปสรรคที่ขวางทางนางเอาไว้จากในเงา
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นว่าขันทีซุนยังคงอยู่ในภวังค์ ดังนั้นหลังจากกินขนมหมด นางจึงเริ่มจัดระเบียบวัตถุดิบสำหรับประกอบอาวุธของตัวเอง ของพวกนี้เป็นวัตถุดิบที่นางชอบมากทีเดียว
ตอนที่อยู่ในโลกยุคปัจจุบันนั้น นางไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิทใจหากไม่มีปืนพกสองสามกระบอกอยู่ใต้เตียง
ตอนนี้ก็เช่นกัน หนังสือโบราณที่เรียงกันเป็นแถวยาวสุดลูกหูลูกตา และม้วนกระดาษที่ตกแต่งอยู่บนผนังห้องบรรทมแห่งนี้ล้วนแต่เป็นของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นดาบหรือปืนนั้นต่างก็เป็นของนาง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารวมถึงวัตถุดิบสำหรับประกอบอาวุธที่ส่องแสงระยิบระยับกระจัดกระจายอยู่บนพื้นด้วย…
ตอนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยุ่งอยู่กับเรื่องในราชสำนัก นางก็จะพัฒนาอาวุธชนิดใหม่ด้วยท่าทางคล่องแคล่วอยู่บนเตียงตลอดทั้งวันโดยไม่เดินออกไปนอกห้องบรรทมเลยแม้แต่ก้าวเดียว
ความจริงแล้วราชินีนักรบผู้นี้เป็นคนติดบ้านทีเดียว
นางชอบนั่งมากกว่ายืน และถ้ามีตัวเลือก นางก็เลือกที่จะนอน
นางจะยอมทิ้งไวน์แดงสุดที่รัก อาวุธ และเตียงหรูหราหลังโตก็ต่อเมื่อนางจำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้เท่านั้น
ตอนนี้เมื่อนางได้มาอยู่ถึงในวัง แม้จะไม่มีไวน์แดงให้ดื่ม แต่นางก็สามารถหาความสำราญให้กับตัวเองได้อย่างง่ายดาย
นางสงสัยว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกคำสั่งอะไรไว้หรือเปล่า เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาหานางอีกเลยหลังจากย้ายเข้ามาอยู่ในวัง
เฮ้อ… ต่อให้นางจะเป็นประธานจอมเผด็จการที่มีความสามารถในการยับยั้งตัวเองสูง แต่คนสำคัญของนางก็มีความสามารถมากเกินไปหน่อย เรื่องนี้สร้างปัญหาให้นางอย่างมาก
อันที่จริงองค์ชายสามกำลังพูดคุยกับเสนาบดีคนหนึ่งที่มาขอร้องเรื่องอาวุธกับเขาอยู่ในห้องทรงอักษรพอดี เขากล่าวว่า ”มันก็แค่อาวุธชิ้นเดียว ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน ใต้เท้าหง พวกเราไม่จำเป็นต้องทำผ่านเวยเวยเลยด้วยซ้ำ คืนนี้จะมีคนนำมันไปส่งให้ท่านที่จวนเอง”
ใต้เท้าหงอายุค่อนข้างมาก เขาเป็นเสนาบดีของอดีตฮ่องเต้ที่สามารถเชื่อใจได้ คำพูดแต่ละคำของเขานั้นล้วนแต่มีน้ำหนักยิ่งนัก
หลังจากได้ยินคำพูดของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาก็ตรงกลับบ้านด้วยความลิงโลด ดวงตาของเขายิ้มแย้มเต็มไปด้วยความพอใจ
หลังจากจัดการเรื่องนั้นเสร็จ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ที่ได้รับการแกะสลักมาเป็นอย่างดีของตนทันทีที่วันอันแสนวุ่นวายนี้สิ้นสุดลง เขายกแขนขึ้นปลดกระดุมที่คอเสื้อของตนอย่างลวกๆ พลางพูดกับเงาทมิฬที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า ”ไปเอาอาวุธที่พระชายาไม่ต้องการแล้วมา จากนั้นนำมันไปส่งที่จวนตระกูลหง”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬพยักหน้าเงียบๆ เขาไม่กล้าบอกความจริงกับคนภายนอกพวกนั้นเลยว่าอาวุธที่พวกเขากระตือรือร้นต้องการซื้อในราคาแพงหูฉี่นั่น อันที่จริงพวกมันเป็นเพียงแค่ของเล่นที่ถูกพระชายาโยนทิ้ง
ใช่แล้ว มันเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง
มันไม่ได้นับว่าเป็นอาวุธเลยด้วยซ้ำ
แต่ฝ่าบาทก็ทรงพระปรีชาเสียจริง… เขาสามารถเอากองเศษเหล็กไร้ค่าพวกนั้นมาขายได้ในราคาสูงลิบ!
น่าเสียดายจริงๆ ที่เขาไม่ใช่พ่อค้า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองท้องฟ้าด้านนอก แล้วพลิกฎีกาที่ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยดู เมื่อเขารู้สึกว่าใกล้ถึงเวลา เขาก็สั่งให้คนนำฎีกาที่เหลือเหล่านั้นส่งกลับไปให้ฮ่องเต้ จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังห้องบรรทม
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นเขากลับมา นางก็รีบหยิบขนมหน้าตาน่าอร่อยที่นางแบ่งเอาไว้ให้เขาออกมา ”กินขนมซิ่งสักชิ้นสิ” นางบอกพร้อมกับดันกล่องใส่ขนมให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ฝีมือการชงชาขององค์ชายสามจัดว่าไม่เป็นสองรองใคร ชาที่เขาเตรียมให้นั้นส่งกลิ่นหอมยิ่งกว่าของคนอื่นหลายเท่า
แต่เขากลับทำเพียงถือถ้วยชากระเบื้องเคลือบนั้นเอาไว้ในมือ และเมื่อเขาสังเกตเห็นท่าทางของนาง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วบอกว่า ”ป้อนข้าสิ”
เมื่อเห็นว่าเขามือไม่ว่าง เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงยอมทำตาม แล้วป้อนขนมซิ่งให้เขากินชิ้นหนึ่ง
ขณะที่เขากัดขนม ลิ้นของเขาก็สัมผัสเข้ากับปลายนิ้วของนางอย่างแผ่วเบา ไม่มีใครสามารถเดาได้ว่ามันเป็นการจงใจทำหรือเป็นเพียงแค่ความบังเอิญเท่านั้น
สัมผัสนั้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตกใจราวกับถูกไฟดูด ขนมลื่นหลุดจากนิ้วก่อนจะร่วงลงบนพื้น
“ทำไมเจ้าจึงซุ่มซ่ามถึงเพียงนี้” เขายื่นมือออกไปคว้านางไว้ พลางมองหน้านางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นจึงกล่าวว่า ”ถือดีๆ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำเพียงเลิกคิ้วขึ้น แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับเขา ทันใดนั้นนางก็รู้สึกอยากเล่นสนุกขึ้นมา ดังนั้นนางจึงไม่เสียเวลาคิด แล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นจูบเขาเร็วๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่เคยคิดมาก่อนว่านางจะทำเช่นนั้น รอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของเขาแข็งค้าง ร่างของเขาแข็งอยู่กับที่จากการเสียดสีเพียงชั่ววินาทีนั้น
จากนั้น…
เขาก็อุ้มตัวของนางขึ้นด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล แล้วจูบกลับไป กลิ่นหอมยั่วยวนแผ่ออกมาจากร่างของเขาราวกับดอกลำโพงที่เบ่งบานอย่างเต็มที่
อย่างไรไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เป็นชายที่สามารถทำให้ใครต่อใครหลงรักได้อย่างหน้ามืดตามัว
ถ้าเขาต้องการ เขาก็สามารถทำตัวอ่อนโยนจนคนคนนั้นจมอยู่ในความรักของเขาได้
ร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มรู้สึกชาเล็กน้อยหลังจากถูกจูบเบาๆ เข้าที่ด้านหลังใบหู
แต่มือของเขากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด พวกมันสอดเข้าไปใต้เสื้อผ้าของนาง แล้วค่อยๆ เลื่อนลงมาที่ด้านล่าง…
ทันใดนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ตัวสั่นอย่างรุนแรง ดวงตาของนางเบิกกว้าง และพยายามขัดขืนเพื่อให้ตนเป็นอิสระ แต่เขากลับจับมือนางไว้และหยุดความพยายามที่จะหนีของนาง
ขณะที่กอดนางจากทางด้านหลัง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ปลอบนางด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า ”อย่าขยับ เป็นเด็กดีเสีย…”
คลื่นแห่งความเสียวซ่านเดินทางจากนิ้วเรียวยาวของเขาเข้าไปในกล้ามเนื้อทุกส่วนและกระดูกภายในร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวย เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นทั่วร่างของนางเหมือนกับนางเป็นแค่ปลาที่เพิ่งหนีขึ้นมาจากน้ำ ขณะที่นางกัดริมฝีปากด้วยแรงทั้งหมดที่มีนั้น นางก็รู้สึกมีอารมณ์อย่างรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น นางกลับเผลอกอดคนที่กำลังทรมานนางอยู่เอาไว้เสียแน่น ร้องขอให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอ่อนโยนกับนาง...
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่มีรอยฟันและกลายเป็นสีแดงจากการกัด แล้วกระซิบเบาๆ ว่า ”เลิกกัดได้แล้ว เจ้าจะทำให้ปากตัวเองเจ็บเอาได้… ถ้าเจ้ารู้สึกพอใจก็ส่งเสียงออกมา ที่นี่มีเพียงแค่เราสองคนเท่านั้น…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่อ้าปาก แก้มทั้งสองข้างของนางแดงก่ำ และดูน่ามองเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็เคลื่อนสายตาลง แล้วดึงนางเข้ามากอด พร้อมกับเคล้นคลึงจุดอ่อนไหวภายใต้ชุดของนางไปพร้อมกัน ”ทำแบบนี้แล้วเจ้าคงรู้สึกดีขึ้นใช่ไหม”
ระหว่างที่เอ่ยเช่นนั้น เขาก็กระแทกร่างเข้าหานางอย่างกะทันหัน!
รอยสีแดงบนใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยยิ่งชัดเจนขึ้นอีก นางรู้สึกเขินอาย แต่ก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปาก สิ่งเดียวที่นางสามารถทำได้คือการหอบหายใจออกมาน้อยๆ ขณะที่ปล่อยให้มันผ่านไป…