เรื่องของป้าเถามีคนไปจัดการแล้ว ความสนใจของไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ล้วนแต่อยู่กับสวีซื่อจุนที่พึ่งจะฟื้นขึ้นมา หมอหลิวก็ยิ้มกว้างอย่างเบิกบานใจ “…ซื่อจื่อพึ่งจะดีขึ้น เรื่องอาหารการกินต้องทานเพียงของที่มีรสชาติอ่อนๆ ข้าสั่งยาบำรุงร่างกายให้เขาเพิ่มอีกสักสองชุด ก็คงจะหายดีแล้ว” พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงักไปพักหนึ่ง “แต่ว่าโรคขาดสารอาหารของซื่อจื่อมีมาตั้งแต่กำเนิด ทานยาบำรุงไม่สู้ทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่สู้หาคนที่เชี่ยวชาญด้านโภชนบำบัดมาดูแลซื่อจื่อ จะได้เห็นผลอย่างชัดเจน”
สวีลิ่งอี๋รับฟังเรื่องนี้ หลังจากส่งหมอหลิวออกไปแล้วก็ปรึกษากับไท่ฮูหยินทันที “เรื่องนี้เกรงว่าคงต้องลำบากท่านแม่แล้วขอรับ”
แต่ไท่ฮูหยินกลับมองไปที่ฮูหยินสอง “อี๋เจิน เจ้ารู้จักใครหรือไม่!”
ฮูหยินสองครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะลองหาดูเจ้าค่ะ!”
ทุกคนก็ไม่พูดอะไรอีก เรื่องนี้จึงถือว่ายกให้ฮูหยินสองเป็นคนจัดการ
สวีลิ่งอี๋พูดถึงเรื่องที่จะเชิญนักพรตฉังชุนมาทำพิธีและไปจุดธูปที่วัดฉือหยวน “…นักพรตฉังชุนคนนั้น หากไม่มีอะไรก็บอกว่ามีอะไร ในเมื่อจุนเกอฟื้นแล้ว ข้าก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเชิญเขามาทำพิธีแล้วดีกว่า” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอา “แล้วอีกอย่าง เชิญเขามาทำพิธีที่จวน ยังต้องจัดลาน ถึงตอนนั้นมีผู้คนไปๆ มาๆ มันจะวุ่นวาย หากหลงทางเข้าคงจะไม่ดี ถึงตอนนั้นข้าบอกให้พ่อบ้านไป๋ส่งซองแดงไปให้เขาก็พอแล้ว ส่วนเรื่องของวัดฉือหยวน เดิมทีกำหนดไปพรุ่งนี้เช้า เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ที่นั่นสตรีเยอะแยะมากมายอยู่แล้ว หากมีคนถาม ก็บอกว่าไปแก้บนก็พอ”
คำพูดที่ว่า ‘หลงทาง’ หมายถึงกลัวว่าจะมีใครเห็นว่าอี้อี๋เหนียงถูกกักตัวอยู่ในเรือน คำพูดที่ว่า ‘มีสตรีเยอะ’ หมายถึงบรรดาฮูหยินและคุณหนูของเหล่าสกุลขุนนางและสกุลร่ำรวยในเยี่ยนจิงที่ชอบไปจุดธูปขอพรที่วัดฉือหยวน นี่เป็นโอกาสที่ดีในการหลีกเลี่ยงข่าวลือ
ตั้งแต่สวีซื่อจุนฟื้นขึ้นมา ไท่ฮูหยินก็รู้สึกโล่งใจ ได้ยินเช่นนี้นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้” จากนั้นก็พูดว่า “ข้าก็จะไปจุดธูปให้พระโพธิสัตว์ที่วัดฉือหยวน จุนเกอผ่านเรื่องราวเลวร้ายมาได้ ก็เพราะว่าพระโพธิสัตว์คุ้มครอง” ยิ้มแล้วหันไปบอกเก๋อจินกับอวี้ป่าน “ไปรายงานตานหยาง นางจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วยังมีเจี่ยนเกอ ฉินเกอ เจี้ยเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์ ส่งคนไปบอกพวกเขาด้วย” พูดจบก็เห็นว่ามันสายแล้ว นางจึงพูดต่ออีกว่า “ข้าคิดว่าประเดี๋ยวก็จะถึงเวลาทานข้าวเที่ยงแล้ว บอกให้โรงครัวทำอาหารสักสองสามอย่าง เรียกตานหยางและคนอื่นๆ มาทานข้าวด้วยกันเถิด”
เก๋อจินและอวี้ป่านยิ้มตอบรับแล้วเดินออกไป คนหนึ่งส่งสาวใช้น้อยไปรายงาน อีกคนหนึ่งบอกให้โรงครัวทำอาหาร
บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋ประคองไท่ฮูหยินไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก
แต่ไท่ฮูหยินกลับมองไปยังเรือนปีกทางทิศตะวันออกอยู่ตลอด
“เมื่อครู่ป้าเถามา” ไท่ฮูหยินนั่งลงบนตั่งนั่งเหม่ยเหริน สวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงและฮูหยินสองนั่งล้อมรอบนาง “นางบอกว่าสืออีเหนียงส่งจดหมายไปให้นาง ข้าจึงยอมให้นางเข้ามา…”
ไท่ฮูหยินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตกใจอะไรมาก
จู๋เซียงไม่ได้ไปบอกให้พ่อบ้านไป๋เชิญท่านหมอมาโดยตรง แต่นางกลับไปหาจ้าวอิ่ง บ่าวรับใช้ของสวีลิ่งอี๋ ไม่เพียงแค่นั้น นางยังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นให้จ้าวอิ่งฟัง จ้าวอิ่งรู้ สวีลิ่งอี๋ก็รู้ อยู่ต่อหน้าทุกคนสวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร แต่เมื่อกลับไปถึงห้องตอนเย็น เขากลับจับมือสืออีเหนียงแล้วเอ่ยถามนางเบาๆ “ตอนนั้นเจ้าตกใจหรือไม่”
สืออีเหนียงพยักหน้า
สวีลิ่งอี๋กอดนางเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วถอนหายใจเบาๆ “อดทนอีกสองวัน ประเดี๋ยวก็จะได้กลับไปเรือนหลักแล้ว”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงคิดว่าการที่ตัวเองอยู่กับไท่ฮูหยิน ทำให้สวีลิ่งอี๋สบายใจก็ถือว่าเป็นการช่วยสวีลิ่งอี๋แล้ว “ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ยังช่วยดูแลจุนเกอได้อีกด้วย”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไรอีก
วันต่อมาให้สืออีเหนียงอยู่ที่จวน ฮูหยินสองและฮูหยินห้าไปวัดฉือหยวนกับไท่ฮูหยิน เมื่อหมอหลิวมาตรวจดูอาการจุนเกอ เขาก็บอกให้หมอหลิวช่วยจับชีพจรให้สืออีเหนียงด้วย
ท่านหมอหลิวจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้เช่นไร เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจว่าสวีลิ่งอี๋เป็นห่วงสืออีเหนียงมากเกินไป เขาพูดโน้มน้าวสวีลิ่งอี๋อ้อมๆ “อาจเป็นผลข้างเคียงของยา ชีพจรของฮูหยินมั่นคงดีขอรับ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ข้าคิดว่าไม่สู้ให้ฮูหยินทานอาหารโภชนบำบัดกับคุณชายน้อยสี่ด้วยดีกว่า”
สวีลิ่งอี๋คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ต่อมาเขาก็เชิญอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านโภชนบำบัดสองคนมา คนหนึ่งรับใช้สวีลิ่งอี๋ อีกคนหนึ่งรับใช้สืออีเหนียง นี่เป็นเรื่องในภายหลัง ตอนนี้ยังไม่พูดถึง
เมื่อสวีลิ่งอี๋ส่งหมอหลิวออกไปแล้ว พ่อบ้านไป๋ก็เดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่กระอักกระอ่วน
“ท่านโหวขอรับ นักพรตฉังชุนบอกว่าเขายังไม่ได้ทำอะไร จะรับซองแดงของท่านได้เช่นไร หากท่านโหวอยากจะมอบรางวัลให้เขาจริงๆ ขอให้ท่านโหวบอกให้คนทำป้ายจารึกชุบทองให้เขา ถือว่าเห็นแก่พรหมลิขิตของเขากับคุณชายน้อยสี่ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่พอใจ แต่ก็ตกปากรับคำ จากนั้นก็ถามพ่อบ้านไป๋ “เจ้าดูว่าสลักตัวอักษรกี่ตัวดี!”
พ่อบ้านไป๋รู้ว่าสวีลิ่งอี๋ไม่ชอบนักพรตฉังชุน ตอนที่มาบอกสวีลิ่งอี๋เขายังต้องรวบรวมความกล้า คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะตอบตกลง กลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะเปลี่ยนใจ จึงรีบยิ้มตอบรับแล้วเดินออกไปทันที
สวีลิ่งอี๋พูดกับสืออีเหนียง “เจ้าดูสิ นักพรตฉังชุนได้รับป้ายจารึกของสกุลเราไปเขาต้องนำออกไปโอ้อวดไปทั่วแน่นอน อวดว่าเขาทำนายแม่นแค่ไหน ข้าขอบพระคุณเขาอย่างไร” พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่เช่นนี้ ทุกคนก็จะเชื่อว่าเรื่องของจุนเกอคือประสงค์ของสวรรค์อย่างไรเล่าเจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋พูด “ก็เพราะเหตุผลนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะปล่อยให้เขาทำอะไรเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร”
แต่ว่าเรื่องราวนั้นกลับซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิดเสียอีก
นักพรตฉังชุนได้รับป้ายจารึกของสกุลสวีแล้ว ลูกศิษย์ของเขาก็ป่าวประกาศไปทั่วว่า เพื่อขอบพระคุณในความเมตตาของจวนหย่งผิงโหว เขาตัดสินใจไปที่จวนสกุลสวี เพื่อทำพิธีให้จุนเกอโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
เช่นนี้ เรื่องราวก็วนกลับมาที่จุดเดิม อีกทั้งสวีลิ่งอี๋ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ ในเมื่อมอบป้ายจารึกให้เขาแล้ว ก็หมายความว่าเขายอมรับในตัวของนักพรตฉังชุน ในเมื่อยอมรับนักพรตฉังชุน หากปฏิเสธไม่ให้นักพรตฉังชุนมาทำพิธีให้จุนเกอ ก็คงจะดูไม่สมเหตุสมผล
นี่เป็นโอกาสดีในการเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คน แต่ว่าคนคนนี้คือนักพรตฉังชุนที่สวีลิ่งอี๋ไม่ชอบมากที่สุด เขาจึงโมโหเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องหนังสืออยู่นานถึงสงบสติอารมณ์ลงได้
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะ
เมื่อไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ กลับมาจากวัดฉือหยวน รู้เรื่องเข้าพวกนางก็หัวเราะ
และในช่วงเวลานี้เอง จดหมายของคุณชายสามก็มาถึง
บอกให้สวีลิ่งอี๋จัดการเรื่องนี้แทนเขา
สวีลิ่งอี๋วางจดหมายลงแล้วบอกให้พ่อบ้านไป๋เตรียมรถม้า “…ถึงอย่างไรนางก็เคยรับใช้พี่สาม จุนเกอก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ส่งอี้อี๋เหนียงไปที่มณฑลซานหยางเถิด! ให้พี่สามเป็นคนจัดการนางเอง”
ฉินอี๋เหนียงได้ยินดังนั้นก็ไม่สบายใจ “ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้าไปสืบมาสิว่า ส่งนางไปที่มณฑลซานหยางจริงๆ หรือว่าส่งนางไปที่อื่นกันแน่” จากนั้นก็พึมพำว่า “มณฑลซานหยางไกลขนาดนั้น ถนนหนทางก็อันตราย จะไม่เกิดอะไรขึ้นระหว่างทางใช่หรือไม่”
ตอนนี้ชุ่ยเอ๋อร์ไม่กล้าเจอหน้าใครทั้งนั้น กลัวว่าถึงตอนนั้นจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน เห็นว่าฉินอี๋เหนียงให้นางออกไปสืบข่าว ในใจก็รู้สึกเดือดดาล
หากไม่ใช่เพราะนาง ตัวเองจะมีจุดจบเช่นนี้ได้อย่างไร
แต่เมื่อนึกถึงบิดามารดาและน้องๆ ชุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่กล้าไม่พูดเกลี้ยกล่อมนาง คำพูดของหู่พั่วชัดเจนอยู่แล้ว หากตัวเองดูแลฉินอี๋เหนียงให้ดี ก็ถือว่าเป็นความดีความชอบ ถึงตอนนั้นคนในครอบครัวไม่เพียงแต่มีชีวิตรอด แล้วท่านโหวยังจะดูแลพวกเขาให้ดี แต่ว่าหากตนดูแลฉินอี๋เหนียงได้ไม่ดี…ชุ่ยเอ๋อร์ไม่กล้าคิดต่อ
“อี๋เหนียง” นางพูด “ตอนนี้เราหนีออกมายังไม่ทัน จะไปสืบข่าวเรื่องของอี้อี๋เหนียงได้เช่นไรกัน ท่านอย่าลืมนะเจ้าคะ ฮูหยินสี่ถามเรื่องนี้กับท่านครั้งก่อน กำชับท่านว่าอย่าก่อเรื่องอันใดอีก!”
ฉินอี๋เหนียงก็ไม่ดื้อดึงอีกต่อไป นึกขึ้นมาว่าตัวเองรอบคอบมาตลอด แค่เคยหลุดพูดสองสามประโยคต่อหน้าอี้อี๋เหนียง แต่นางกลับไปเล่าให้คนอื่นฟัง หากส่งนางไปที่มณฑลซานหยางก็คงดี เพื่อมีชีวิตรอด อี้อี๋เหนียงไม่กล้าพูดอะไรแน่นอน แต่หากไม่ส่งนางไปที่มณฑลซานหยาง สุนัขที่หวาดกลัวยังกระโดดข้ามกำแพงพ้น หากอี้อี๋เหนียงเล่าเรื่องของนางทั้งหมด สวีลิ่งอี๋ไม่มีทางปล่อยนางไปแน่นอน
นางพลิกตัวอยู่บนเตียงนอนไม่หลับ เอ่ยเรียกชุ่ยเอ๋อร์ “เจ้าคิดว่า ทำอย่างไรคุณชายน้อยสองถึงจะกลับมา”
ขนาดเสือร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง ไม่ว่าท่านโหวจะเย็นชาแค่ไหน แต่เขาคงไม่มีทางฆ่านางต่อหน้าบุตรชายตัวเอง
ชุ่ยเอ๋อร์ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัว
ได้ยินมาวว่า คนที่ได้รับยาส่วนมากตายไปเพราะตับและลำไส้ขาด ต้องทนเจ็บปวดถึงสามวันสามคืน ไม่เช่นนั้น ทำไมทุกคนได้ยินคำว่าป้อนยาถึงได้ตกใจแทบตายเล่า
คิดเช่นนี้ นางก็ตัวสั่น
ฉินอี๋เหนียงเรียกชุ่ยเอ๋อร์ตั้งสองครั้งนางถึงได้ยิน นางตอบอย่างเอือมระอา “อี๋เหนียงเป็นคนฉลาด บ่าวเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เจ้าเป็นอะไรไป” ฉินอี๋เหนียงฟังออก นางรีบลุกขึ้นนั่ง “เจ้าไปได้ยินอะไรมา”
“บ่าวไม่ได้ยินอะไรสักอย่างเจ้าค่ะ!” ชุ่ยเอ๋อร์รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรพูดเบาและอ่อนเสียงลง แต่น้ำเสียงที่ออกมานั้นก็ยังแข็งทื่อ
ฉินอี๋เหนียงยิ่งไม่สบายใจ นางลุกขึ้นไปนั่งข้างๆ ชุ่ยเอ๋อร์แล้วพูดเบาๆ “นังเด็กคนนี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ชุ่ยเอ๋อร์นึกถึงภาพที่พวกนางสองคนอยู่ด้วยกัน ฉินอี๋เหนียงมักจะเรียกนางเช่นนี้ แต่ใครเล่าจะคิดว่า คนที่มีรอยยิ้มอันอ่อนโยนและใจดีตรงหน้าตอนนี้ จะทำให้นางมีจุดจบเช่นนี้ นางไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าฉินอี๋เหนียง จึงหันหน้าออกไป “อี๋เหนียงรีบนอนเถิด บ่าวไม่ได้ยินอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ!”
ฉินอี๋เหนียงจะเชื่อได้เช่นไร ชุ่ยเอ๋อร์กลัวว่าตัวเองจะกระโดดขึ้นไปบีบคอฉินอี๋เหนียง จึงอ้างว่า “ได้ยินมาว่างานแต่งของพี่ชิวหงกำหนดไว้วันที่หกเดือนหก วันแต่งงานของพี่หู่พั่วกำหนดไว้วันที่หนึ่งเดือนแปดเจ้าค่ะ…”
“ที่แท้ก็เรื่องนี้” ฉินอี๋เหนียงเข้าใจแล้ว นางจึงกลับไปนอนนึกถึงเรื่องของตัวเองต่อบนเตียง แล้วก็ไม่ถามอะไรอีก
แต่ชุ่ยเอ๋อร์กลับขบริมฝีปากของตัวเองอย่างแรง
เหวินอี๋เหนียงเป็นคนเก่ง คนธรรมดาสู้ไม่ได้ แล้วเฉียวอี๋เหนียงเล่า หรือว่าคนที่มีบุตรชายอย่างฉินอี๋เหนียงยังจะสู้เฉียวอี๋เหนียงที่ไม่มีบุตรแล้วยังไม่ได้รับความโปรดปรานไม่ได้เช่นนั้นหรือ นึกถึงเรื่องที่เฉียวอี๋เหนียงปฏิเสธท่านแม่ของตัวเองที่อยากจะให้ซิ่วหยวนแต่งงานกับบ่าวรับใช้จวนเฉิงกั๋วกง นำของขวัญมาให้ป้าตู้ขอร้องให้นางหาคู่ครองที่ดีให้ซิ่วหยวน แล้วฉินอี๋เหนียงของตนล่ะ ตัวเองเป็นสาวใช้มาก่อน แต่กลับไม่เห็นอกเห็นใจสาวใช้อย่างพวกนางเลย…
คิดเช่นนี้ นางก็ยิ่งเกลียดที่ตัวเองต้องมาอยู่กับนายหญิงคนนี้
นางลืมตาจนถึงเช้า
ได้ยินเสียงกลองดังขึ้นมาจากลานข้างนอกเป็นครั้งคราว
สาวใช้น้อยที่ตักน้ำเข้ามาให้พวกนางล้างหน้าล้างตาพูดกับนางอย่างมีความสุข “คุณชายน้อยสี่ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ แล้วยังเชิญนักพรตฉังชุนที่ทำนายดวงแม่นที่สุดในเยี่ยนจิงมาทำพิธีให้คุณชายน้อยสี่อีกด้วย!”
ตอนนี้ชุ่ยเอ๋อร์ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ นางหวังเพียงว่าชีวิตของตัวเองตอนนี้จะเปลี่ยนไป
นางตอบรับ “อืม” เบาๆ จากนั้นก็เทยาสีฟันลงบนแปรงสีฟัน แล้วแปรงฟันอย่างไร้ชีวิตชีวา
*****
สืออีเหนียงจ้องมองแปรงสีฟันอย่างเหม่อลอย
จู๋เซียงเห็นดังนั้นก็ตกใจ “ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
“จู๋เซียง” สืออีเหนียงพูดด้วยน้ำเสียงปิติยินดี “ข้า…ดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว!”