เฉินชิงจื่อนิ่งเงียบ
หมิงคุนจื่อแววตายังคงเดิม ไม่เอ่ยคำใด
รอบด้านนั้นเหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดรอบด้านค่อยๆ ก้มหน้า เรื่องประเภทนี้พวกมันไม่มีทางเข้าไปข้องเกี่ยว อีกทั้งยังไร้ความสามารถจะยุ่งเกี่ยวได้ มีเพียงบุรุษและสตรีกึ่งบุตรแห่งความมืดร่างหยินหยางเท่านั้นซึ่งยามนี้ดวงตาฉายแววไม่ยินยอม พวกเขาแอบมองหวังเป่าเล่อคราหนึ่งก่อนจะเลือกก้มหน้าลง
ด้านหวังเป่าเล่อนั้น ยามนี้เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของเขา ร่างกายสะท้านไหวรุนแรง กำลังดิ้นรน ภายในใจกรีดร้องไม่หยุด รอบด้านพลันปรากฏเสียงเปรี๊ยะๆ ดังออกมาเป็นเลาๆ ราวกับว่ามีผนึกที่มองไม่เห็นนั้นกำลังถูกทำลาย
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินชิงจื่อจึงค่อยพยักหน้า
“หากท่านอาจารย์ยืนยันเช่นนั้น ศิษย์ก็น้อมรับ นับแต่วันนี้ไป การกระทำใดๆ ของศิษย์น้องเล็ก…ข้าไม่อาจสืบเสาะ ไม่อาจหยุดยั้ง ไม่อาจจำกัดบริเวณ ไม่อาจรบกวน โดยเฉพาะหากเขาอยากไปที่โลกแห่งศิลา!”
“ประเสริฐ” หมิงคุนจื่อยิ้ม เขาเบนสายตาออกจากร่างของเฉินชิงจื่อ จากนั้นก็หยุดที่หวังเป่าเล่อ มองเห็นเส้นเลือดปูดบนหน้าผากและลักษณะการดิ้นรนของอีกฝ่ายแล้ว นัยน์ตาของหมิงคุนจื่อก็อดทอประกายอบอุ่นไม่ได้ เขาพึมพำเสียงเบา
“อย่าปวดใจไปเลย อาจารย์สามารถอยู่มาได้ถึงวันนี้ ล้วนแต่พึ่งโชคดีทั้งสิ้น อีกทั้งมีชีวิตอยู่อย่างไม่สมบูรณ์ เฝ้าสุสานด้วยอารมณ์มึนงงเช่นนี้ แท้จริงอาจารย์เหนื่อยเหลือเกิน เช่นนั้นปลดปล่อยข้า…เสียเถอะนะ”
“ส่วนการปลดเปลื้องของอาจารย์ในครั้งนี้นับว่าคุ้มแล้ว ศิษย์คนโตของข้าก็จะได้รุ่งโรจน์เพราะการจากไปของข้า และได้สืบทอดปณิธานต่อ ส่วนศิษย์คนเล็กของข้าก็จะได้ฝึกเต๋าของตนให้สมบูรณ์ แต่นีต่อไปก็เหตุต้นผลกรรมที่จะมาถ่วงแข้งขาเรื่องหนึ่ง อีกไม่นานข้าก็คงพ้นจากทุกข์แล้ว อีกทั้งยังได้รับสิทธิ์ที่จะจากไปด้วย เรื่องนี้….สำหรับข้า ช่างแสนสบายนัก เป็นเรื่องน่ายินดี” หมิงคุนจื่อยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งเจิดจ้าและกว้างขวาง แผ่ไพศาลไปทั่วทั้งสุสานจักพรรดิแห่งความมืด กระจายออกไปสี่ทิศ
สิ่งนี้สร้างระลอกคลื่นโดยรอบที่มองเห็นด้วยตาเปล่า และทำให้เหล่าศิษย์ของสำนักแห่งความมืดทุกคนล่าถอย โคมวิญญาณสามดวงที่ลอยอยู่เหนือโลงศพจักรพรรดิแห่งความมืดนั้น ในชั่วขณะพลันกระพริบไหว โคมที่หนึ่ง…พลันดับมอด!
ในใจหวังเป่าเล่อกรีดร้องรุนแรงกว่าเก่า แต่ไม่อาจหยุดทุกสิ่งตรงหน้าได้ เขาทำได้เพียงเบิกตามองรอยยิ้มและคำพูดของอาจารย์ มองร่างกายค่อยๆ สลายไป กระทั่งโคมดวงที่สองเหนือโลงศพนั้นดับมอด เงาร่างของอาจารย์ก็ยิ่งเลือนรางมากขึ้น…
เมื่อโคมดวงที่สาม มอดดับลงแล้ว
เงาร่างของเฉินคุนจื่อ ก็พลัน…หายไปสิ้น
“อาจารย์!” หวังเป่าเล่อกรีดร้องคำรามลั่น พริบตานั้นร่างของเขาก็ขยับได้อีกครั้งหลังจากเฉินคุนจื่อหายตัวไป เสียงกรีดร้องที่สะกดเอาไว้ในใจดังลอดออกมา น้ำเสียงเจ็บปวดถึงที่สุด อีกทั้งยังมีความบ้าคลั่งที่ไม่อาจพรรณนาได้ เขาวิ่งถลาไปหาจุดที่ท่านอาจารย์หายไป ยกสองมือขึ้นเพื่อคว้าจับอะไรบางอย่าง
แต่ทว่ากลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย…
“จันทร์ข้างแรม!!” หวังเป่าเล่อดวงตากลายเป็นสีแดงชาด สมองของเขายามนี้หลงลืมทุกคนในที่นี่ไปแล้ว เขาไม่สนใจกระทั่งตัวเฉินชิงจื่อ ความคิดเดียวของเขาก็คือต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้
วิชาจันทร์ข้างแรมถูกเปิดใช้งานทันที ทว่า…วิชาเทพที่ใช้ได้ดีมาตลอดนี้ ยามนี้กลับไม่ได้ผลอะไร มิใช่ว่าใช้การไม่ได้ แต่ต่อให้พึ่งพิงกระแสพลังของยี่สิบลมหายใจนี้ ก็ไม่อาจหลอมรวมเงาร่างของอาจารย์เบื้องหน้าได้อยู่ดี
“วิชาจันทร์ข้างแรม!”
“วิชาจันทร์ข้างแรม!!”
“วิชาจันทร์ข้างแรม!!!”
แต่ละครั้งที่หวังเป่าเล่อใช้พลังนั้น เฉินชิงจื่อที่อยู่ห่างออกไปมองดูเงาร่างหวังเป่าเล่อ ส่วนลึกในดวงตาทอประกายปวดร้าวและสับสน แต่เพียงไม่นานก็กลับมานิ่งสงบเหมือนเก่า เขาถอนสายตากลับมาจากร่างหวังเป่าเล่อ มองไปยังโลงจักรพรรดิแห่งความมืด ก่อนจะยกมือขวาขึ้น
ในพริบตานั้นโลงศพจักรพรรดิแห่งความมืดขนาดใหญ่ก็ส่งเสียงกระหึ่ม ฝาปิดของตัวโลงถูกพลังอันไร้รูปลักษณ์เปิดออก ค่อยๆ ยกตัวขึ้น กระทั่งหลังจากเปิดออกมาหมดแล้ว กลิ่นอายแห่งความตายอันเข้มข้นสุดจะหยั่งลึกก็พลันปะทุออกมา
พริบตาที่มันระเบิดออกมานี้ แสงเส้นหนึ่งก็สาดส่องออกจากภายในโลง สุดท้ายแล้วโครงกระดูกหนึ่งลอยออกจากข้างใน ศพนี้ขาดแหว่งไปเหลือเพียงแค่ครึ่งกายเท่านั้น แถมยังเน่าขาดไปหมดสิ้น มีเพียงแค่ส่วนหัวกะโหลก แต่เมื่อมองอย่างละเอียด จะเห็นว่าทุกตารางนิ้วของหัวกะโหลกนี้แผ่กระแสเต๋าแห่งความตายออกมา และแทบทุกตารางของกระแสแห่งความตายนี้คล้ายจะบรรจุอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ หัวกะโหลกนี้…สำหรับสำนักแห่งความมืดแล้วนับเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่าที่สุด
ไม่มีสิ่งอื่นใด!
ยามนี้กะโหลกลอยขึ้นมา พุ่งไปยังทิศทางที่เฉินชิงจื่ออยู่ เหล่าผู้ฝึกตนของสำนักแห่งความมืดล้วนสั่นสะท้าน คุกเข่าลงพร้อมกันดวงตาทอประกายปรารถนาและรอคอย ส่วนหวังเป่าเล่อ…เป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้มองสักนิด เขายังคงยืนอยู่ตรงที่ที่อาจารย์หายไปราวกับเป็นปีศาจก็ไม่ปาน พยายามใช้วิชาจันทร์ข้างแรมไม่หยุด
เพราะว่าใช้พลังมากเกินไป ร่างกายของเขาจึงเริ่มรับไม่ไหว ความว่างเปล่ารอบทิศเริ่มบิดเบี้ยว ส่วนเงาร่างของเขาคล้ายปรากฏคล้ายเลือนหาย ในบริเวณโดยรอบไม่กี่จั้งนั้น เริ่มมีลักษณะแตกต่างจากบริเวณอื่นๆ แล้วด้วยเพราะใช้วิชาจันทร์ข้างแรมหลายครั้งและกระแสแห่งเวลาไหลผ่านไวไป
“ต้องทำได้!”
“วิชาจันทร์ข้างแรมเป็นวิชาควบคุมเวลา ข้าต้องทำได้แน่!” หวังเป่าเล่อดวงตาทั้งคู่แดงฉาน พึมพำผนึกมุทรารวดเร็ว ไม่ได้สนใจกะโหลกศีรษะของจักรพรรดิแห่งความมืดซึ่งเปรียบเหมือนของศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจของเหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดเลยสักนิด และไม่ได้สนใจว่ากะโหลกนี้ค่อยๆ ร่อนลงช้าๆ สู่มือของเฉินชิงจื่อแล้ว
ด้านเฉินชิงจื่อหลังจากยกมือขวาขึ้นรับซากกะโหลกแล้ว กะโหลกนี้ก็เปลี่ยนเป็นจุดแสงส่องสว่างหนึ่งจุดหลอมรวมเข้าไปในข้อมูลของเฉินชิงจื่อ ทำให้บริเวณข้อมือนั้นส่องแสงสีอื่นๆ ปรากฏขึ้นในดาราจักรโลกันตร์เป็นครั้งแรก นอกเหนือจากแสงสีเทาและขาวดำ
ห้าแสงสิบสี!
สีสันเหล่านี้เปล่งประกายจากข้อมือของเขาค่อยๆ อาบไล้ทั้งร่าง จนกระทั่งครอบตัวของเฉินชิงจื่อจนหมดสิ้น กลิ่นอายเต๋าสวรรค์ก็ระเบิดออกมาในพริบตานั้นอย่างเข้มข้นมากขึ้นจนเรียกได้ว่าสุดกำลัง กระทั่งว่าเหนือศีรษะนั้นเริ่มปรากฏเค้าลางของวังวนอันยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว
วังวนนี้ครอบคลุมทั่วบริเวณไร้สิ้นสุดของดาราจักร เหนือศีรษะของเหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืด ล้วนแต่สัมผัสและมองเห็นได้ ในวังวนนี้มีพลังเต๋าสายหนึ่ง พลังนี้…สามารถทำให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดเข้าสู่เส้นทาง…เบื้องหน้าได้!
ส่วนจุดสิ้นสุดของเส้นทางดังกล่าว ก็คือ…โลกด้านนอกของอาณาเขตเต๋าไม่รู้สิ้น!
ในชั่วพริบตา หลังจากที่วังวนนี้พัดหมุน ทั้งดาราจักรโลกันตร์พลันสั่นสะท้านขึ้นมา แม่น้ำแห่งความมืดเริ่มหมุนคว้าง ราวกับอยู่ในกระแสพลังและทั้งหมดที่ว่ามานี้เกิดขึ้นในชั่วหนึ่งกระแสจิตของเฉินชิงจื่อเท่านั้น
หลังสัมผัสได้ว่าตนเองแตกต่างออกไปแล้ว อีกทั้งยังสืบทอดพลังเต๋าสวรรค์มาได้อย่างราบรื่น นัยน์ตาของเฉินชิงจื่อจึงยิ่งสงบนิ่งกว่าเก่า เขามองเงาร่างหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้งคราหนึ่งก่อนจะหันกายเดินออกไปสู่นอกโลก
หลังจากเฉินชิงจื่อจากไปแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดแต่ละคนก็รีบตามติด ดวงตาเผยประกายบ้าคลั่งเร่าร้อน แถมมาด้วยความตื่นเต้นและการยึดมั่น ทว่า…ผู้ฝึกตนทั้งสอง บุรุษและสตรีกึ่งบุตรแห่งความมืดนั้น ยามนี้ผู้ฝึกตนผู้เป็นบุรุษดวงตาฉายแววไม่ยินยอม เขาหันกลับมามองหวังเป่าเล่อคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกระโจนออกจากสุสาน เหยียบย่างเข้าแม่น้ำแห่งความมืดก่อนจะตัดแขนขวาของตนเองออกจากร่าง แขนนั้นกลายเป็นกลิ่นอายความมืดขุมหนึ่ง มันทะยานด้วยความเร็วมุ่งไปยัง…หวังเป่าเล่อที่อยู่ในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดทันที!
ในพริบตาที่กำลังพุ่งเข้าไปนั้น ข้อมือนี้ก็กลายเป็นมนุษย์ตัวจ้อย ลักษณะเหมือนกึ่งบุตรแห่งความมืดผู้นั้นไม่ปาน จิตสังหารเต็มเปี่ยม ทว่าความเร็วกลับไม่ได้เร็วตามไปด้วย ราวกับตัวผู้โจมตีนี้กำลังตัดสินและรอคอย แต่หลังจากพบว่าเต๋าสวรรค์ไม่เข้ามาหยุดยั้งแล้ว มนุษย์ตัวจ้อยก็เหมือนได้รับสัญญาณลับ พุ่งตัวด้วยความเร็วเท่าทวีคูณ พริบตานั้นก็เข้าสู่บริเวณสามจั้งใกล้กับที่หวังเป่าเล่ออยู่
โดยที่ไม่หยุดชะงัก มันพุ่งตัวเข้าไปทันที คิดจะฉวยโอกาสที่หวังเป่าเล่อเลอะเลือนอยู่นี้ลงมือ แต่แล้วยามที่มันเข้าสู่เขตแดนนั้น ยังไม่ทันได้ลงมือร่างกายก็พลันสั่นเทา ก่อนจะเปลี่ยนร่างด้วยความเร็วที่เห็นด้วยตาเปล่า เหมือนว่าในชั่วกะพริบตานั้น มีกระแสแสงจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักออกจากร่าง
เวลานั้นมันย้อนกลับอยู่ในรูปลักษณ์ข้อมืออีกครั้ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นปราณสีดำ หลังจากนั้นก็กลายเป็นโลหิตสีดำสนิทหยดหนึ่ง ก่อนจะถูกลบหายไปโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ
ในพริบตาที่ถูกลบหาย ราวกับเหตุต้นผลกรรมกระจายทั่ว ตัดซึ่งรากเหตุ ทำให้ทุกอย่างสิ้นหายไป สลายไปในดาราจักรแห่งนี้
ไม่เพียงแค่นั้น ร่างของกึ่งบุตรแห่งความมืดที่ใช้วิชาท่อนแขนก็พลันร่างสั่นสะท้านกระอักเลือดออกมาคราหนึ่ง วิญญาณเทพเลอะเลือนไปในทันที สตรีที่อยู่ข้างๆ เองก็เช่นกัน นางกระอักเลือดออกมา
ด้านผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดรายอื่น มีจำนวนไม่น้อยที่ขมวดคิ้วคิดกล่าวยับยั้ง ทว่าเฉินชิงจื่อที่เดินไปข้างหน้าตลอดทางนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบไม่หยุดเท้าเลยสักนิด อีกทั้งยังไม่มีทีท่าจะเข้ายับยั้งแม้แต่น้อย มีเพียงแค่แผ่กระแสเต๋าออกจากร่างอ่อนจางไม่หยุด แต่แล้วในเวลาถัดมา…
บุรุษและสตรีผู้ฝึกตนสองคนนี้ซึ่งแบ่งร่างเป็นหยินหยาง ผู้ซึ่งตระหนักว่าฝีมือตนไม่ธรรมดา ในฐานะอนาคตผู้นำ เจ้าสำนักแห่งความมืดอันดับหนึ่งผู้ซึ่งคิดว่าตนเองจะจัดการหวังเป่าเล่อได้แล้วนั้น ร่างของพวกเขาพลันสั่นสะท้าน ดวงตาเผยประกายไม่อยากเชื่อ กระทั่งโอกาสจะเอ่ยปากพูดก็ไม่มี ร่างแหลกสลายในพริบตา ดวงวิญญาณพินาศ ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสในการเข้าวัฏสงสาร เพราะพวกเขาถูกเต๋าสวรรค์…ลบทิ้ง!
เงาร่างของเฉินชิงจื่อยังคงก้าวต่อไปทีละก้าวจนห่างออกไปไกล กระแสเต๋าเปี่ยมร่าง ท่วงท่าองอาจยิ่งใหญ่ ทำให้มวลความว่างเปล่าสั่นสะท้าน ทำให้ทั้งดาราจักรโลกันตร์โห่ร้อง ราวกับบังเกิดกระแสวังวนครอบคลุมไม่รู้สิ้น
ส่วนทางด้านหลังเขานั้น พื้นล่างของสุสานแห่งความมืด อีกเงาร่างหนึ่งเส้นผมกำลังยุ่งเหยิง สีหน้าซีดขาว ดวงตาทั้งคู่เจือเส้นเลือดฝอย กำลังใช้วิชาจันทร์ข้างแรมอย่างไม่หยุดยั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง…
ในไม่ช้า ระยะห่างของทั้งสองคนก็ยิ่งทวีคูณ กระทั่งเฉินชิงจื่อจากแม่น้ำแห่งความมืดไปแล้ว แม่น้ำแห่งความมืดก็บังเกิดเสียงอึกทัก จากนั้นจึงม้วนตัวกลับเข้าโอบล้อมสุสานแห่งความมืดอีกครั้ง…กลบทุกสิ่งเอาไว้ข้างใน ตัดขาดจากทุกอย่าง
พริบตาที่แม่น้ำแห่งความมืดกลบทับสุสานไว้แล้ว เฉินชิงจื่อจึงพึมพำออกมา ด้วยเสียงที่ตัวเขาเองได้ยินเพียงผู้เดียว
“ข้า จะต้องถูกสิ!”