เฮ่อเหลียนเวยเวยรับฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่ขัดจังหวะอดีตฮ่องเต้เลยแม้แต่นิดเดียว นางนั่งอยู่ข้างอดีตฮ่องเต้พลางค่อยๆ ดื่มชาจากถ้วยชาในมืออย่างผู้ที่อ่อนกว่าควรทำ
เมื่อฟังจบ นางก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน และเอ่ยว่า ”ท่านปู่ไม่ต้องเป็นห่วง หากมีวันนั้นจริง ข้าจะไม่ยอมเป็นจุดอ่อนของเขาแน่เจ้าค่ะ”
นางไม่เคยคิดจะเป็นเพียงแค่พระชายาในบรรดาสนมของเขาอยู่แล้ว
ในเมื่อนางรักเขา แน่นอนว่านางย่อมรักเขาด้วยหัวใจทั้งหมดที่นางมี
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ”ไม่ว่าจะเป็นเบี้ย หรือจะเป็นดาบในมือของเขา สิ่งเดียวที่ข้าต้องการก็คือให้เขาคิดถึงข้า เฮ่อเหลียนเวยเวย ทุกครั้งที่เขาเห็นบัลลังก์เจ้าค่ะ”
ดวงตาของอดีตฮ่องเต้สั่นไหวอยู่ครู่หนึ่งราวกับตกตะลึงไปกับคำพูดของงนาง ”ไม่แปลกใจเลยที่เจวี๋ยเอ๋อร์เลือกเจ้า” เขาพูดพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับรู้สึกว่าการปกป้องคนสำคัญก็เป็นงานของประธานจอมเผด็จการอย่างนางอยู่แล้วมิใช่หรือ
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับเข้ามา และเห็นทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่ เขาก็เลิกคิ้ว ”คุยอะไรกันอยู่รึ”
“ไม่มีอะไรหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน ”เมื่อครู่นี้ท่านไปไหนมาหรือ”
“มีบางอย่างเกิดขึ้นทางฝั่งขันทีซุนนิดหน่อย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ
“เอ่อ ถ้าท่านยุ่ง เช่นนั้นเรากลับกันดีกว่า” เฮ่อเหลียนเวยเวยบอกพลางลุกขึ้นยืน ”มีใต้เท้าอาวุโสคนหนึ่งมาตามตื๊อขออาวุธจากข้าอยู่ ข้ากะว่ากลับไปแล้วจะเอาให้เขาสักชิ้นสองชิ้น”
“ไม่จำเป็น ข้าสั่งให้คนส่งไปให้เขาแล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือไปหยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมา ดวงตาของเขาสบเข้ากับอดีตฮ่องเต้
เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันหน้าไปมองอดีตฮ่องเต้เช่นกัน ”เสด็จปู่เพคะ เช่นนั้นพวกหม่อมฉันคงต้องขอตัวก่อนแล้ว”
“ไปเถิด” อดีตฮ่องเต้โบกมือให้พวกเขา ภาพนั้นทำให้เขาดูเหมือนชายชราธรรมดาทั่วไป….
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังมีคำพูดของอดีตฮ่องเต้ติดค้างอยู่ในใจ สายตาของนางหยุดอยู่ที่ร่างสูงเพรียวดูเย็นชาที่เดินอยู่ข้างหน้านาง นางยื่นมือออกไปจับมือว่างๆ ที่ทิ้งอยู่ข้างตัวของเขา
จากนั้นนิ้วของทั้งสองก็เกี่ยวกระหวัดเข้าหากัน
ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขาเดินนำเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าไปในห้องบรรทมราวกับกำลังจูงมือเด็กตัวเล็กๆ
หลังจากนั้นเขาก็ลูบศีรษะของนางพร้อมกับบอกว่า ”ถ้าเจ้าเหนื่อยก็ไปนอนก่อน”
“ท่านจะออกไปข้างนอกอีกแล้วหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหาว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงในลำคอแทนคำตอบ ”ข้ายังมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องจัดการ”
“อ๋อ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินตามหลังเขาโดยอัตโนมัติ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเคลื่อนสายตาขึ้นมองนางพลางหัวเราะเบาๆ ”เจ้าไม่จำเป็นต้องมากับข้าหรอก มันเป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น ตอนข้ากลับมา ข้าอยากกินขนมซิ่งที่เจ้าเตรียมไว้วันนี้ เหลือไว้ให้ข้าสักสองสามชิ้นด้วยล่ะ”
“เข้าใจแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยปล่อยให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไปทำธุระของตน พร้อมกันนั้นนางก็คว้าผ้าห่มขึ้นมากอด แล้วเริ่มควานหากล่องขนมของตัวเอง
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาสวมเสื้อคลุมตัวนอกแล้วเดินหายเข้าสู่ยามค่ำคืน สีหน้าอบอุ่นอ่อนโยนที่เขาเคยมีเมื่อครู่นี้หายไปจากใบหน้า ”นอกจากบรรดาองครักษ์ จงไปเรียกตัวทุกคนมารวมกันที่ห้องทรงอักษร” เขาสั่งกับหัวหน้าข้ารับใช้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ข้ารับใช้ประจำวังหลวงที่ตามมาด้วยรีบทำตามในทันที
เพียงชั่วอึดใจต่อมา
นางกำนัลอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งก็ถูกองครักษ์คุมตัวมานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นห่างออกไปจากห้องทรงอักษรเพียงก้าวเดียว นางตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าของนางซีดเผือดราวกับกระดาษขาว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจ้องนางเขม็งจากตำแหน่งที่สูงกว่า ”ใครมอบความกล้าให้เจ้าเที่ยวเอาพระชายาไปนินทาหรือ หืม” เขาหัวเราะอย่างเย็นชา
“บ่าว… บ่าว…” นางกำนัลคนนี้อยู่ในวังหลวงมาหลายปี นางรู้จักอวิ๋นปี้ลั่ว และเชื่อมาโดยตลอดว่าในเมื่อแม่นางอวิ๋นเข้าร่วมการคัดเลือกพระสนมในครั้งนี้ด้วย พระชายาย่อมไม่มีที่ในวังหลวงอีกต่อไป ทุกคนจะได้เห็นเรื่องนั้นกันอย่างชัดเจนเมื่อได้เห็นว่าองค์ชายโปรดปรานแม่นางอวิ๋นเพียงใด
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางพยายามจะปูทางให้กับแม่นางอวิ๋นล่วงหน้า อีกอย่างหนึ่ง พระชายาก็หน้าตาอัปลักษณ์ยิ่งนัก และนั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนแต่รู้กันดีอยู่แล้ว
นางไม่เข้าใจว่าทำไมองค์ชายถึงได้ทรงกริ้วขึ้นมา
แต่กว่านางจะตระหนักได้ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตวัดสายตาเย็นชามองนาง ”พาตัวไป”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬสาวเท้าเข้าไปใกล้ แล้วรอคอยคำสั่งจากไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างเงียบๆ ”ฝ่าบาท ข้ารับใช้ประจำวังหลวงมาอยู่ที่นี่พร้อมหน้ากันแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“โบยให้ตาย” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดเพียงสามคำ น้ำเสียงของเขาไม่ได้เย็นชาหรือห่างเหิน
นางกำนัลคนนั้นคิดไม่ถึงว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะลงโทษนางโดยไม่ไต่สวนอะไรต่อ นางหวีดร้องเสียงแหลมด้วยความตื่นตระหนก ”ได้โปรดเมตตาด้วยเพคะ ฝ่าบาท! หม่อมฉันยอมพูดแล้ว!! เป็นอวิ๋น...”
นางกำนัลคนนั้นหวาดกลัวอย่างสุดแสน นางเริ่มขัดขืนโดยไม่รู้ตัว แต่เงาทมิฬก็ใช้ด้ามดาบของเขากระแทกเข้ากับศีรษะของนางอย่างรวดเร็ว นางถึงกับกระอักเลือดออกมา
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ มันเป็นความโหดเหี้ยมเลือดเย็นที่เขาไม่เคยแสดงให้เห็นเมื่ออยู่ต่อหน้าเฮ่อเหลียนเวยเวย ”อย่าลงมือใหญ่โตนัก อุดปากนางก่อนแล้วค่อยโบย ถ้านางตายได้ภายในครึ่งชั่วยามก็ดี พานางไปไกลๆ แล้วอย่าให้เรื่องถึงหูพระชายาเด็ดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬรับคำสั่งจากองค์ชาย แล้วจึงถอยออกไป เขารู้ดีว่าฝ่าบาทต้องการจะสื่ออะไร
ใครก็ตามที่กล้าคิดทำร้ายพระชายาจะต้องตาย!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ก่อนหน้านี้มันเกิดขึ้นในสำนักไท่ไป๋ และพวกเขาต่างก็รู้กันเป็นอย่างดี
ตั้งแต่พระชายาเข้ามาในวังก็ผ่านมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ที่นางสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขเช่นนี้ไม่ใช่เพราะไม่มีใครพูดจาว่าร้ายนาง แต่เป็นเพราะว่าภายใต้คำสั่งของฝ่าบาท บรรดาคนผิดเหล่านั้นไม่เคยได้มีชีวิตอยู่จนถึงเช้าวันถัดไปต่างหาก
ตอนนี้ในที่สุดเงาทมิฬก็เข้าใจแล้วว่าฝ่าบาทห่วงใยพระชายาจริงๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนตัวกลับเข้าไปในห้อง ระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังหยิบขนมซิ่งที่หาได้ยากออกมาให้เขา นางดูตกอยู่ในภวังค์ระหว่างทำเช่นนั้น นานๆ ทีนางถึงจะละมือออกแล้วยกชาในถ้วยขึ้นจิบ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกว่าเขาใจอ่อนลงทุกครั้งที่เห็นท่าทางราวกับลูกสุนัขของนาง
เพียงแค่มองเฮ่อเหลียนเวยเวย มันก็เหมือนกับว่าความโหดเหี้ยมเลือดเย็นในตัวของเขาหายไปเองตามธรรมชาติ
เหยื่อตัวน้อยของเขาปฏิบัติตัวดียิ่งนัก เจ้าพวกลูกหมาไม่รักตัวกลัวตายที่กล้าว่าร้ายนางลับหลังล้วนแต่รนหาที่ตายด้วยกันทั้งสิ้น!
แต่อย่างไรก็ตาม…
เหตุผลที่เขาจัดการคนพวกนั้นในวันนี้ก็ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว
สาเหตุสำคัญก็คือ หากมีใครบางคนกำลังพยายามเปิดเผยเรื่องเลวร้ายที่เขาทำในปัจจุบันให้นางรู้ละก็
ทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนึกถึงความเป็นไปได้นั้น ความโหดเหี้ยมอันน่าสะพรึงกลัวก็ปกคลุมไปทั่วดวงตาของเขาจนดำทะมึนทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้นเพราะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศชั่วร้ายที่อยู่รอบๆ ตัวเขา นางยังถือกล่องขนมเอาไว้ในมือ ”เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งยิ้มให้นาง ”ข้าจะไปอาบน้ำก่อน ถ้าขันทีซุนมาก็บอกให้เขาไปหาข้าที่ห้องอาบน้ำ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยขานรับ ระหว่างที่นางมองร่างของเขาเดินออกไป จู่ๆ นางก็โพล่งออกมาว่า ”ข้าไม่ชอบกลิ่นเลือดเอาเสียเลย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักกับคำพูดของนางไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาจมลง ”กลิ่นเลือดอะไรหรือ ข้าเพียงแค่ชินกับการอาบน้ำเท่านั้น ทำตัวดีๆ รอข้ากลับมาเสีย” เขารีบพูดด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องบรรทม
นางยังรู้เข้าจนได้ ดูเหมือนว่าตอนที่จัดการกับเรื่องพวกนั้นในอนาคต คงต้องยืนให้ห่างกว่าเดิมเสียแล้วกระมัง…
ขันทีซุนที่อยู่ข้างนอกได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเข้าพอดี เขาจึงเดินเข้าไปหาไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เขาช่วยไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดการเสื้อคลุมของตนด้วยความระมัดระวังระหว่างให้คำแนะนำกับเขาเสียงเบาว่า ”หากองค์ชายรักพระชายาจริงๆ องค์ชายก็ไม่ควรที่จะตามใจนางมากจนเกินเหตุนะพ่ะย่ะค่ะ หรือต่อให้ท่านทำเช่นนั้น แต่คงจะดีที่สุดหากไม่ปล่อยให้คนอื่นเห็นว่าท่านห่วงใยพระชายาเพียงใด เพราะนั่นคงไม่ดีแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเงยหน้าขึ้น พลางใช้นิ้วเรียวของตนปลดกระดุมที่คอเสื้อ มุมปากของเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้ายระหว่างถามว่า ”เช่นนั้น ขันทีซุนคิดว่าข้าควรทำอย่างไรหรือ”