ทางด้านตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ไม่ได้มีคนมากมายนัก เมื่อคืนคนอยู่เฝ้าคือท่านอ๋องฉี เมื่อองค์รัชทายาทเข้ามาก็เห็นฉู่ซิวหยงกึ่งคุกเข่ากึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าของเขาแทบจะแนบชิดใบหน้าของฮ่องเต้
กำลังพูดเรื่องใด
“องค์รัชทายาท” ฉู่ซิวหยงเห็นเขาจึงรีบลุกขึ้น ภายในดวงตาประกายด้วยน้ำตา “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อเหมือนจะทรงฟื้นแล้ว”
องค์รัชทายาทยืนอยู่ข้างเตียง ขันทีจิ้นจงจุดไฟให้สว่างจนสามารถมองเห็นฮ่องเต้ที่อยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมาเล็กน้อย
“เสด็จพ่อ” องค์รัชทายาทร้องเรียก พลันจับมือของฮ่องเต้เอาไว้ “เสด็จพ่อ กระหม่อมคือจิ่นหยง พระองค์ทรงมองเห็นกระหม่อมหรือไม่”
ศีรษะของฮ่องเต้ขยับเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขาไม่ได้เปิดขึ้นมากนัก ยิ่งไม่ได้เอ่ยปากพูดสิ่งใด
เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาในตำหนักบรรทม ห้องด้านนอกเต็มไปด้วยผู้คน ทั้งพระสนม องค์หญิง พระราชบุตรเขย พระชายาองค์รัชทายาท ขุนนางสำคัญล้วนอยู่ ห้องด้านในคนไม่มาก บรรดาหมอหลวงถูกไล่ออกมา เหลือไว้เพียงหมอหลวงจาง แต่ว่าเขาไม่ได้ยืนอยู่ข้างเตียงของฮ่องเต้ ข้างเตียงของฮ่องเต้มีเพียงหมอเทวดาจากชนบทที่โจวเสวียนเชิญมากำลังทำงานหนัก
ขันทีจิ้นจง องค์รัชทายาท และโจวเสวียนยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง
โจวเสวียนถามอย่างต่อเนื่อง “หูไต้ฟู เป็นอย่างไร ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วหรือไม่”
องค์รัชทายาทอดที่จะหยุดเขาไม่ได้ “อาเสวียน อย่ารบกวนหูไต้ฟู”
โชคดีที่หูไต้ฟูไม่ได้ถูกรบกวน หลังจากทำงานอย่างหนักแล้วจึงหันกลับมา “องค์รัชทายาท ท่านโหวโจว ฝ่าบาททรงดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
โจวเสวียนและองค์รัชทายาทรีบเดินมาข้างเตียง ก้มมองฮ่องเต้ที่นอนอยู่บนเตียง เห็นฮ่องเต้ที่ลืมตาขึ้นในเดิมทีหลับตาลงอีกครั้ง
“รอฝ่าบาททรงตื่นขึ้นมาก็จะดีขึ้นแล้ว” หูไต้ฟูอธิบาย “องค์รัชทายาทลองทรงเรียกขานฝ่าบาท เวลานี้ฝ่าบาททรงมีการตอบสนอง”
องค์รัชทายาทจึงเรียกขานเสด็จพ่อเสียงเบาที่ข้างหูของฮ่องเต้ ก่อนจะเห็นศีรษะของฮ่องเต้ขยับ
องค์รัชทายาทดีใจจนร้องไห้ เขามองไปทางหูไต้ฟู “ฟื้นได้เมื่อใด”
หูไต้ฟูพูดอย่างมั่นใจ “วันนี้ย่อมฟื้นได้พ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทลุกขึ้นพลันพูด “ประทานรางวัลใหญ่”
หูไต้ฟูโน้มตัวขอบพระทัย องค์รัชทายาทจับมือของโจวเสวียนเอาไว้ น้ำเสียงสะอึกสะอื้น “อาเสวียน อาเสวียน โชคดีที่มีเจ้า”
ความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าของโจวเสวียนถูกปลดลงในเวลานี้ เขาโค้งคำนับ “เป็นหน้าที่ของกระหม่อม”
ผู้คนในห้องด้านนอกต่างได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดจึงรีบร้อนจะเข้ามา องค์รัชทายาทเดินออกไปปลอบทุกคน ให้ทุกคนกลับไปพักผ่อนก่อน อย่าได้เบียดอยู่ตรงนี้ รอฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาจะแจ้งให้พวกนางมา
พระสนมสวีเป็นคนแรกที่คิดจะคัดค้าน แต่ไม่คิดว่าพระสนมเสียนจะเอ่ยขึ้น “องค์รัชทายาทตรัสถูกต้อง พวกเราอยู่ตรงนี้เป็นการรบกวนฝ่าบาท ทำให้อาการหนักขึ้นจะแย่เอา”
บรรดาองค์หญิงและพระราชบุตรเขยก็ไม่กล้าโต้แย้งกับองค์รัชทายาท เหลือเพียงพระสนมสวียิ่งหมดหนทาง นางทำได้เพียงหลั่งน้ำตาด้วยความไม่พอใจ “หม่อมฉันไม่บังอาจรบกวนฝ่าบาท หม่อมฉันจะรออยู่ด้านนอก”
องค์รัชทายาทไม่สนใจนางแม้แต่น้อย เขาเพียงรับสั่งบรรดาขุนนางใหญ่ “วันนี้ข้าไม่เข้าท้องพระโรง” ให้พวกเขานำเรื่องที่ต้องรีบจัดการมาให้เขาตรงนี้แทน
ขุนนางใหญ่ทั้งหลายทูลตอบว่าไม่มีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ หากมี รอฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมาก็ไม่สายเกินไป
สายตาขององค์รัชทายาทมืดมนลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินว่าอาการของฮ่องเต้ดีขึ้น ท่าทีของบรรดาขุนนางก็เปลี่ยนไป…หรือควรบอกว่า ท่าทีของบรรดาขุนนางกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ผู้คนต่างถอยออกไป แสงแดดที่สดใสสาดส่องเข้ามา ทำให้ตำหนักบรรทมสว่างขึ้น
องค์รัชทายาทรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก เขาหันหน้ามองเข้าไปในห้องด้านใน ฮ่องเต้ประชวรอย่างกะทันหัน แต่ฮ่องเต้ก็ดีขึ้นอีกครั้ง แล้วเขาเล่า เขาแค่ฝันไปอย่างนั้นหรือ
…
ข่าวอาการประชวรของฮ่องเต้ดีขึ้น ฉู่อวี๋หยงก็รู้ในเวลาแรก เพียงแต่คนในวังหลวงราวกับลืมรายงานเขา ทำให้เขาไม่สามารถเข้าไปดูในวังหลวงได้
“หมอเทวดาผู้นี้ โจวเสวียนเป็นคนหามาหรือ” ฉู่อวี๋หยงพูดกับหวังเจียน “เขาจะดูออกหรือไม่ว่าฝ่าบาทถูกลอบทำร้าย”
หวังเจียนเบ้ปาก “เขาดูออกก็จะแสร้งทำเป็นดูไม่ออก หมอเทวดาชนบทพวกนี้เล่ห์เหลี่ยมที่สุด แต่ว่าเรื่องที่ต้องกังวลในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องนี้ หากแต่…ฝ่าบาทจะทรงดีขึ้นจริงหรือ”
หวังเจียนไม่ได้สงสัยหมอเทวดาชนบทผู้นั้น…แน่นอน สงสัยย่อมต้องสงสัย แต่เวลานี้เขาพูดเช่นนี้ไม่ใช่เจาะจงต่อไต้ฟู หากแต่เจาะจงถึงเรื่องนี้
ฮ่องเต้ถูกคนลอบทำร้าย คนที่ลอบทำร้ายจะคาดหวังให้ฮ่องเต้ดีขึ้นหรือ
ลอบทำร้ายครั้งแรกได้ ย่อมสามารถลอบทำร้ายครั้งที่สองได้
“ยังไม่เห็นว่ามีเป้าหมายใดให้บรรลุ” หวังเจียนพึมพำ “เสียแรงเปล่า”
เขาพึมพำเสร็จ เมื่อเงยหน้าก็เห็นฉู่อวี๋หยงกำลังเหม่อลอย
“องค์ชายทรงคิดเรื่องใดอยู่”
ดวงตาคู่งามของฉู่อวี๋หยงลุกวาว “ข้ากำลังคิดว่าเมื่อเสด็จพ่อทรงฟื้นขึ้นมา สิ่งที่อยากพูดที่สุดคืออันใด”
เหตุใดจึงคิดเรื่องนี้ หวังเจียนครุ่นคิด “หากฮ่องเต้ทรงรู้ว่าผู้ร้ายคือผู้ใด อาจจะวางแผนลอบจับผู้ร้าย แต่ก็ไม่แน่ พระองค์อาจทรงแสร้งไม่รู้ ไม่พูดสิ่งใดเพื่อไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น หากฮ่องเต้ทรงไม่รู้ตัวผู้ร้าย คนป่วยที่ฟื้นจากการสลบ หึ สถานการณ์แบบนี้ข้าเห็นมาบ่อย บางคนคิดว่าตนเองฝันไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองป่วย อีกทั้งยังแปลกใจที่ทุกคนล้อมรอบเขา บางคนรู้ว่าป่วย อาจร้องไห้เมื่อหนีรอดจากความตายได้ ฮ่า ข้าคิดว่าฝ่าบาทคงไม่ร้องไห้ อย่างมากก็แค่รู้สึกถึงความเป็นความตายที่ไม่แน่นอน…”
หวังเจียนพูดอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะมองฉู่อวี๋หยงที่กำลังเหม่อลอยอีกครั้ง
เขาส่งเสียงเรียก “องค์ชายทรงคิดเรื่องใดอยู่กันแน่”
ฉู่อวี๋หยงมองไปยังทิศทางของวังหลวง สายตาล่องลอย “ข้ากำลังคิดว่าเสด็จพ่อทรงเป็นบิดาที่ดีมาก”
พูดเรื่องใดกัน หวังเจียนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เขาเหมือนต้องการพูดบางอย่าง แต่นาทีถัดมาสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป คำพูดหลงเหลือเพียง “องค์ชาย…”
…
“องค์รัชทายาท…” เสียงเรียกดังขึ้นข้างหู องค์รัชทายาทลืมตาขึ้น ความมืดปรากฏในสายตา
ฟ้ายังไม่สว่างหรือ เขาควรเข้าท้องพระโรงแล้ว! เกือบไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาฝัน ฝันว่าฮ่องเต้…
“องค์รัชทายาท” ใบหน้าของฝูชิงปรากฏในความมืดสลัว “ใกล้ถึงเวลาแล้ว ฝ่าบาทใกล้ฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ความมืดสลายไป เวลานี้ไม่ใช่เช้าตรู่ หากเป็นพลบค่ำ องค์รัชทายาทตื่นขึ้นมา นับแต่หูไต้ฟูผู้นั้นบอกว่าฮ่องเต้จะทรงฟื้นขึ้นมาในวันนี้ เขาก็เฝ้าอยู่ในตำหนักบรรทมตลอดเวลา ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงอดทนไม่ไหวจนนั่งหลับไป
เขารีบลุกขึ้น ฝูชิงพยุงเขา พลันพูดเสียงเบา “พระองค์ทรงหลับไปไม่นาน”
องค์รัชทายาทตอบรับในลำคอ เดินจากห้องด้านข้างเข้ามาในห้องบรรทมของฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว ภายในห้องจุดไฟอยู่หลายดวง หูไต้ฟูกับหมอหลวงจางล้วนไม่อยู่ คาดว่ากำลังเตรียมยา มีเพียงขันทีจิ้นจงที่เฝ้าอยู่ตรงนี้
“เป็นอย่างไร” องค์รัชทายาทถามเสียงเบา
ขันทีจิ้นจงทูลตอบ “ยังไม่ฟื้นพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทนั่งลงพลันถอนหายใจ ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยเรียกให้หูไต้ฟูมาดูนั้น ขันทีจิ้นจงก็พูดขึ้นเสียงสั่น “ฝ่าบาท…”
องค์รัชทายาทมองไป เห็นฮ่องเต้ที่นอนอยู่บนเตียงขยับศีรษะเล็กน้อย จากนั้นลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
“เสด็จพ่อ!” องค์รัชทายาทตะโกนเสียงดัง เขาคุกเข่าอยู่ข้างเตียง จับมือของฮ่องเต้เอาไว้ “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ”
เมื่อได้ยินเสียงเรียก สายตาที่เหม่อลอยของฮ่องเต้จับจ้องไปบนตัวเขา อ้าปากไร้เสียง
เพียงเท่านี้ก็น่ายินดีอย่างมากแล้ว องค์รัชทายาทรีบตะโกนเรียกเสียงดัง “เร็วเข้า หูไต้ฟู” ก่อนจะจับมือของฮ่องเต้อีกครั้ง พลันหลั่งน้ำตา “เสด็จพ่ออย่ากลัวพ่ะย่ะค่ะ อย่ากลัว อาจิ่นอยู่ตรงนี้”
อาจเป็นเพราะได้ยินชื่อของอาจิ่น ทำให้มือของฮ่องเต้มีแรงมากขึ้น องค์รัชทายาทรู้สึกว่ามือของตนเองถูกฮ่องเต้จับเอาไว้
ฮ่องเต้ราวกับต้องการยืมแรงของเขาเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น จากนั้นส่งเสียงที่แหบพร่าออกมา
องค์รัชทายาทรีบปลอบอีกครั้ง “เสด็จพ่ออย่าทรงรีบร้อน อย่าทรงรีบร้อนพ่ะย่ะค่ะ ไต้ฟูมาแล้ว พระองค์จะทรงดีขึ้น…”
ฮ่องเต้ผงกหัวขึ้นจากหมอน จ้องมององค์รัชทายาทเขม็ง ปากของเขาสั่นอย่างรุนแรง
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีจิ้นจงรีบถาม
ฮ่องเต้จ้องมององค์รัชทายาท ดวงตาของเขาแดงก่ำ ส่งเสียงที่แหบพร่าออกมาจากในลำคอด้วยแรงทั้งหมดที่มี “ประหารฉู่อวี๋หยง”