น้ำเสียงของเหวินอี๋เหนียงเบาลงอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าและป้ารับใช้ยืนหันหน้าเข้าหากัน จากนั้นก็พากันปีนขึ้นไปดูที่ฉลุบานหน้าต่างข้างเตียงเตาอีกครั้ง
แต่เห็นเพียงไฟที่สว่างไสวของเรือนปีกทางทิศตะวันออกเท่านั้น ฉลุบานหน้าต่างสะท้อนเป็นเงาคน ป้าเถากำลังพาสาวใช้สองคนเดินเข้าไป ไม่นาน ฮูหยินคนก่อนก็มาถึง เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ฮูหยินสองก็พาไท่ฮูหยินมาถึง…ยังไม่ทันจะพ้นสองเค่อ ก็มีเสียงของฉินอี๋เหนียงที่กำลังท่องบทสวดและเสียงสาวใช้น้อยที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นดังมาจากเรือนปีกทางทิศตะวันตก
ป้ารับใช้ของข้าก็เริ่มนั่งไม่ติดขึ้นมา จึงให้สาวใช้ออกไปสืบถามมา ได้เรื่องว่าถงอี๋เหนียงเสียแล้ว และเด็กที่คลอดออกมานั้นก็เป็นเด็กผู้ชาย!”
เหวินอี๋เหนียงเงยหน้าขึ้นมามองสืออีเหนียง “เวลาต่อมา ฉินอี๋เหนียงก็เดินตามหลังไท่ฮูหยินและฮูหยินสองไปยังเรือนของไท่ฮูหยิน”
สืออีเหนียงฟังอย่างตั้งใจ รอกระทั่งเหวินอี๋เหนียงพูดจบ นางก็ก้มหน้าลงและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “มีสองสามเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ”
เหวินอี๋เหนียงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เชิญฮูหยินถามข้ามาได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าถงอี๋เหนียงกับฉินอี๋เหนียงปรนนิบัติรับใช้พี่หญิงใหญ่ของข้าจนเคยชินแล้ว ดังนั้นตอนตั้งครรภ์ก็ยังปรนนิบัติเหมือนเดิม แล้วเจ้าล่ะ ข้างกายของเจ้ายังมีป้ารับใช้ที่เจ้าพามาจากหยางโจว การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาพิเศษ เหตุใดเจ้าถึงยังตามไปปรนนิบัติรับใช้ด้วย”
เหวินอี๋เหนียงแสดงสีหน้าลำบากใจขึ้นมา “ข้าแค่คนเดียว แต่พวกนางสองคน…”
สืออีเหนียงส่ายหน้าเบาๆ “เหวินอี๋เหนียงรู้หรือไม่ว่าข้ามาที่นี่เพราะเหตุใด” ไม่รอให้เหวินอี๋เหนียงได้ทันตอบ สืออีเหนียงก็ได้เล่าคำพูดที่อี้อี๋เหนียงฝากป้ารับใช้มาบอกตนให้กับเหวินอี๋เหนียงฟัง
เหวินอี๋เหนียงนึกไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะเล่าความลับเช่นนี้ให้ตนฟัง จึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ถึงแม้ว่าอี้อี๋เหนียงจะเป็นคนละเอียดอ่อนและรอบคอบ ไม่ผิดใจต่อผู้ใด สิ่งใดที่ไม่ควรพูดไม่เคยเล็ดลอดออกจากปากของนางเลยแม้แต่คำเดียว ข้ารู้ว่าอี๋เหนียงเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองและรู้ดีอยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องข้าก็จะไม่ปิดบังอี๋เหนียงแล้ว” พูดจบ สืออีเหนียงก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องในอดีต “ก่อนหน้านี้ได้ยินสิ่งที่อี๋เหนียงเล่ามา แสดงว่าพี่หญิงใหญ่ของข้าพึ่งแต่งเข้าจวนก็อบรมสอนสั่งถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงจนว่านอนสอนง่ายและให้ความเคารพเป็นอย่างมาก หากข้าทายไม่ผิด ก็แสดงว่าพี่หญิงใหญ่ของข้าค่อนข้างเข้มงวดกวดขันกับถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียง ทำให้อี๋เหนียงทั้งสองเกิดความกลัวและยำเกรงออกมาจากภายในจริงๆ ดังนั้นพอร่างกายเริ่มดีขึ้นก็พากันมาปรนนิบัติรับใช้พี่หญิงใหญ่ของข้า และพี่หญิงของข้าก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ป้ารับใช้ที่เจ้าพามาจากหยางโจวนั้นเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน รู้ข้อดีข้อเสียและสิ่งที่ควรไม่ควรเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงโน้มน้าวให้เจ้าไปปรนนิบัติรับใช้ด้วยคน ที่ข้าพูดมานั้นถูกต้องหรือไม่” สืออีเหนียงพลันนึกถึงเหล่าบรรดาอี๋เหนียงของสกุลหลัว
เหวินอี๋เหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง นึกถึงสีหน้าและท่าทีที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวของถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงตอนยืนอยู่ต่อหน้าหยวนเหนียง นางจึงตอบกลับเสียงเบา “เจ้าค่ะ”
ตอบเท่านี้ก็คงพอ มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้
“แต่ข้าไม่เข้าใจอยู่จุดหนึ่ง” สืออีเหนียงครุ่นคิด “ตามหลักแล้ว พี่หญิงของข้าแต่งงานเข้าจวนมา ก็ควรจะพาสาวใช้คนสนิทติดตามไปด้วย เหตุใดถึงยกถงอี๋เหนียงให้เป็นอนุ ไม่เลือกจากเหล่าบรรดาสาวใช้คนสนิทของพี่หญิงแทน”
นางอยากรู้ว่าสาเหตุของความขัดแย้งของสวีลิ่งอี๋และหยวนเหนียงเริ่มมาจากจุดไหนกันแน่
“ท่านโหวไม่ได้สนใจเรื่องเช่นนี้เท่าไรนัก” เหวินอี๋เหนียงพูดขึ้นด้วยอาการเก้อเขินว่า “ได้ยินว่าตอนที่ฮูหยินคนก่อนพึ่งแต่งงานเข้าจวนมา ก็เคยให้สาวใช้คนสนิทไปปรนนิบัติรับใช้ข้างหมอนท่านโหว แต่ท่านโหวกลับรู้สึกวุ่นวาย จึงเลือกที่จะไปหาถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงแทน เรื่องนี้จึงถูกปล่อยทิ้งและถูกลืมไปในที่สุด” พูดจบ นางก็นึกถึงคำถามที่เถรตรงและคำพูดที่จริงใจของสืออีเหนียง จึงรู้สึกว่าตนพูดจาคลุมเครือไม่ชัดเจน กิริยาท่าทีเหมือนเด็กที่ยังไม่โต นางจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ต่อมาทั้งสองตระกูลกำหนดให้ข้าเข้าจวน ไท่ฮูหยินก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา ว่าหลังจากที่ข้าเข้ามาแล้วจะเกิดการต่อสู้ชิงดีชิงเด่น ก็เลยอยากหาใครสักคนมาข่มข้าไว้ และก็กลัวว่าฮูหยินคนก่อนจะคุมสถานการณ์เอาไว้ไม่อยู่ ก็เลยเลือกปี้อวี้ที่ว่านอนสอนง่ายที่สุดขึ้นมาเป็นอี๋เหนียง และเพื่อที่จะได้ไม่ต้องยุ่งยากไปหาอนุคนใหม่มาแต่งงานเข้าจวนอีกรอบ จึงเลือกหนึ่งในสองของสาวใช้ห้องข้างที่เคยปรนนิบัติรับใช้ท่านโหวขึ้นมาเป็นอนุ ฮูหยินคนก่อนเองก็เห็นด้วยและหวังว่าทุกอย่างจะสำเร็จราบรื่นไปได้ด้วยดี”
นี่เป็นครั้งที่สองที่สืออีเหนียงได้ยินเหวินอี๋เหนียงพูดว่า ‘ถงอี๋เหนียงเชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย’ “ เช่นนี้ก็แสดงว่าการที่ถงอี๋เหนียงสามารถขึ้นมาเป็นอี๋เหนียงได้ ก็เพราะนางเป็นคนหัวอ่อน เชื่อฟังและว่านอนสอนง่ายอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ!” เหวินอี๋เหนียงพยักหน้าเบาๆ “ส่วนฉินอี๋เหนียงนั้น เพราะดูมีน้ำมีนวลเหมาะแก่การให้กำเนิดบุตร อีกทั้งยังซื่อสัตย์และพูดน้อย” เมื่อพูดจนถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความหดหู่ “มิเช่นนั้น อย่าว่าแต่เป็นฮูหยินคนก่อนเลย แม้แต่ไท่ฮูหยินเองก็คงไม่ยอมปล่อยพวกนางไปอย่างแน่นอน เหมือนสาวใช้ห้องข้างทั้งสองคนของคุณชายสาม หลังจากที่คุณชายสองเสียชีวิตไปแล้ว ฮูหยินสองก็กลายมาเป็นผู้ดูแลแทน หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น บทสรุปของถงอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงถือว่าดีที่สุดแล้ว”
จากคนที่พูดจาไม่เก่งจนกลายมาเป็นคนที่ไปว่าจ้างแม่เฒ่าของสำนักชีมาท่องคาถาอาคมทำพิธีสาปแช่งใส่สวีซื่อจุน นี่ก็คงเป็นดังคำที่เขาว่ากันว่า ‘โลภมากมักลาภหาย’ กระมัง
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ
ทั้งสองคนก็พากันเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
“เจ้าว่าฉินอี๋เหนียงไปแจ้งข่าวเรื่องนี้ที่เรือนหลักคนเดียวหรือ” ผ่านไปครู่หนึ่ง สืออีเหนียงจึงค่อยพูดต่อไปว่า “ข้าจำได้ว่าตอนนั้นพวกเจ้าพักอาศัยเรือนอยู่ที่ลานหลังของเรือนหลัก ห่างกันไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเสียด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับบอกว่าเจ้าคุกเข่าจนเข่าแข็งชาไปหมดก็ยังไม่เห็นใครมาดู เหตุใดฉินอี๋เหนียงถึงได้ไปนานขนาดนั้น”
“เด็กที่ถงอี๋เหนียงแท้งไปคือเด็กผู้ชาย อีกทั้งยังเสียชีวิตไปทั้งคู่ ไท่ฮูหยินให้เหตุผลว่าฮูหยินคนก่อนไม่ค่อยสบาย จึงมอบหมายฉินอี๋เหนียงให้ฮูหยินสองไปดูแลแทน” เหวินอี๋เหนียงพูดต่อไปว่า “ฮูหยินสองตั้งอกตั้งใจดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของฉินอี๋เหนียงเป็นอย่างดี จนคลอดคุณชายน้อยสองออกมาได้อย่างราบรื่น ฉินอี๋เหนียงและคุณชายน้อยสองจึงค่อยย้ายไปที่เรือนปีกทางทิศตะวันออกที่ฮูหยินสองพักอยู่ ตอนแรกที่ข้าทำไปก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงการถูกสงสัยและถูกระแวง จึงไม่ไปเยี่ยมฉินอี๋เหนียงเลย ต่อมาเจินเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้คลอดออกมา คุณชายน้อยสองจึงกลายเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของสวีลิ่งอี๋ ข้าก็ยิ่งไม่ควรเข้าใกล้ไปใหญ่ ช่วงพลบค่ำเวลาที่พบปะเจอกัน ก็มักจะแค่ไปรับทราบคำสั่งเสร็จแล้วก็แยกย้ายกลับเรือนของตัวเอง ไม่ได้อยู่คุยอะไรไปมากกว่านี้ อีกทั้งยังไม่ได้ไปมาหาสู่กัน จากนั้นท่านโหวก็กลับมา ที่เรือนหลักมีการซ่อมแซมและแต่งเติมใหม่ ข้าและฉินอี๋เหนียงจึงต้องย้ายไปอยู่ที่เรือนเล็กทางทิศตะวันออกของเรือนหลัก นี่จึงเป็นการเริ่มไปมาหาสู่กันอีกครั้ง เรื่องราวในอดีตที่ทั้งพัวพันและเกิดขึ้นมากมายเหล่านั้น ข้าและฉินอี๋เหนียงก็ไม่ได้พูดถึงอีกเลย เรื่องบางเรื่องก็เป็นป้ารับใช้ของข้าที่เป็นคนไปสืบถามมา ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน”
เหวินอี๋เหนียงจิบชาไปหนึ่งอึก ก็สังเกตเห็นว่าน้ำชานั้นเย็นชืดหมดแล้ว นางจึงหันไปยิ้มให้สืออีเหนียงด้วยความรู้สึกผิดที่บกพร่องในหน้าที่ จากนั้นนางก็ไปรินน้ำชาร้อนๆ มาใหม่อีกหนึ่งกา
“ถงอี๋เหนียงตกเลือด ป้ารับใช้ในเรือนของนางโมโหเป็นอย่างมาก เอาแต่ถามสาวใช้น้อยที่อยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายถงอี๋เหนียงในตอนนั้น ถงอี๋เหนียงยังคงรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก จึงให้สาวใช้น้อยที่ปรนนิบัติรับใช้ฉินอี๋เหนียงไปเรียกฉินอี๋เหนียงมา” นางรินน้ำชาถ้วยใหม่มาให้สืออีเหนียง สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณเสียงเบา “หลังจากที่ฉินอี๋เหนียงไปแล้ว ก็เห็นว่าถงอี๋เหนียงเลือดไหลออกมาจากกางเกงซับในไม่หยุด นางก็ตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่กล้าจะไปบงการป้ารับใช้ที่อยู่ในเรือน จึงสั่งกับสาวใช้น้อยให้ดูแลถงอี๋เหนียงด้วย ส่วนนางก็ไปที่เรือนหลัก”
เหวินอี๋เหนียงหย่อนตัวนั่งลงและจิบชาไปอีกหนึ่งอึก
“หลังจากที่ฮูหยินคนก่อนกลับมาจากเรือนของฮูหยินสองแล้ว ก็กลับไปนอนพักผ่อนที่เรือนของตน ฉินอี๋เหนียงเห็นว่าอาการของถงอี๋เหนียงไม่ค่อยดีแล้ว จึงสั่งให้สาวใช้น้อยไปแจ้งข่าวนี้กับฮูหยินคนก่อน แต่สาวใช้น้อยบอกว่าฮูหยินคนก่อนพึ่งจะโมโหไปยกใหญ่ หากว่าเรื่องไม่สำคัญมาก สู้ไปเรียนพรุ่งนี้ดีกว่า หรือว่าไปแจ้งเรื่องนี้กับป้าเถาก็ได้เช่นกัน ฉินอี๋เหนียงจึงรีบไปหาป้าเถาทันที แต่สาวใช้น้อยบอกว่าป้าเถาพึ่งกลับที่พักของนางไป ฉินอี๋เหนียงจึงรีบไปยังที่พักของป้าเถาทันที ป้าเถากำลังล้างหน้าล้างตาชำระร่างกายอยู่ สาวใช้น้อยจึงบอกให้นางรอสักครู่แล้วค่อยไปแจ้งเรื่อง จากนั้นป้าเถาก็ถามฉินอี๋เหนียงว่ามีเรื่องอันใด เดิมทีฉินอี๋เหนียงก็เป็นคนที่พูดไม่เก่งอยู่แล้ว สีหน้าท่าทีของป้าเถาก็ดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก นางก็เริ่มติดอ่างพูดจาติดๆ ขัดๆ พูดไปครึ่งค่อนวันก็ยังจับใจความไม่ได้ ป้าเถาจึงเกิดรำคาญใจขึ้นมา ให้นางกลับไปยืนที่เรือนของตัวเอง นึกขึ้นได้เมื่อไรก็ค่อยมาพูด
ในตอนนั้นฉินอี๋เหนียงจึงทำได้เพียงคุกเข่าลงกับพื้น ขอร้องวิงวอนให้ป้าเถาไปช่วยดูถงอี๋เหนียง
ป้าเถาจึงค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้า ตามฉินอี๋เหนียงไปยังเรือนปีกทางทิศตะวันออก”
“แต่ก็ไม่ทันแล้ว!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ครุ่นคิด
“ถงอี๋เหนียงแท้งบุตรไปแล้ว อีกทั้งยังเลือดไหลไม่หยุด จนเจ้าตัวหมดสติไม่รู้ตัว” เหวินอี๋เหนียงพยักหน้าเบาๆ “ป้าเถาจึงค่อยร้อนใจขึ้นมา รีบให้เด็กไปแจ้งเรื่องนี้กับฮูหยินคนก่อน ฮูหยินคนก่อนจึงรีบมาทันที ตอนนั้นถงอี๋เหนียงหายใจเข้ามากกว่าหายใจออกเสียด้วยซ้ำ ดูจากอาการแล้วคงไม่น่าจะน่ารอดแล้ว ฮูหยินคนก่อนก็เลยไม่กล้าปิดบังเรื่องนี้ไว้ จึงรีบให้สาวใช้น้อยไปเรียนเรื่องนี้ให้กับไท่ฮูหยินทันที…”
“ในตอนนั้น จวนสกุลสวีอยู่ในช่วงวิกฤต” สืออีเหนียงพูดขึ้นพึมพำ “นายท่านผู้เฒ่าเสียชีวิต องค์ชายเจ็ดเข้าสู่การช่วงชิงมงกุฎและอำนาจ อนาคตของท่านโหวคลุมเครือไม่ชัดเจน สิ่งที่ท่านโหวต้องการที่สุดในยามนั้นก็คือการมีบุตรชายสักคน หนึ่งคือเพื่อจะให้มาเป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งที่เป็นสายเลือดหลัก ไม่ว่าจะเป็นคุณชายสามหรือคุณชายห้าก็ดี ล้วนแต่ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงทั้งสิ้น เมื่อท่านโหวมีทายาทที่เป็นสายเลือดหลักแล้ว ก็จะสามารถสืบทอดตำแหน่งและตระกูลต่อไปได้ สองคือหากฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ยินยอมที่จะปล่อยจวนสกุลสวีไปจริงๆ การที่ท่านโหวยังมีทายาทหลงเหลืออยู่เช่นนี้ อย่างน้อยๆ ก็ยังสามารถที่จะวางแผนรับมือกับสถานการณ์ รักษาตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดสกุลของจวนสกุลสวีไว้ได้ มิเช่นนั้น หากว่าท่านโหวไร้ซึ่งทายาทสืบสกุลแล้ว ก็ไร้ซึ่งเหตุผลที่จะออกรบ ถึงแม้จะมีพละกำลังแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จวนหย่งผิงโหวก็จะเป็นเพียงแค่ตำนานในอดีตเท่านั้น”
“เจ้าค่ะ!” เหวินอี๋เหนียงพยักหน้าเบาๆ “ตอนนั้นคุณชายห้าอายุยังน้อย และยังไม่มีทายาท คุณชายสามมีแค่บุตรชายคนโตคนเดียวเท่านั้น คงจะไม่ตัดสิทธิ์ครอบครัวคุณชายสามเพียงเพราะท่านโหวจะรับภาระหน้าที่ดูแลจวนจากคุณชายใหญ่กระมัง ดังนั้นทุกครั้งที่ไท่ฮูหยินเจอหน้า ก็มักจะรู้สึกโกรธจนตัวสั่นเทาเสมอ ไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว หมุนตัวเดินหนีตลอด ฉินอี๋เหนียงที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ข้างเตียงถงอี๋เหนียงจู่ๆ ก็หมดสติไป…”
“หมดสติไปหรือ” สืออีเหนียงหันไปมองเหวินอี๋เหนียงด้วยความประหลาดใจ
“หมดสติไปเจ้าค่ะ!” เหวินอี๋เหนียงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ “เพราะฮูหยินสองทั้งหยิกและใช้เข็มทิ่มนิ้วมือของฉินอี๋เหนียง ฉินอี๋เหนียงจึงได้สติกลับคืนมาในที่สุด”
“ดังนั้นไท่ฮูหยินก็เลยตัดสินใจให้ฮูหยินสองเป็นคนจัดการฉินอี๋เหนียงแทน” สืออีเหนียงพูดขึ้น “แต่แล้วฮูหยินสองกลับไม่ได้ทำตามคำไหว้วานของไท่ฮูหยิน ฉินอี๋เหนียงจึงสามารถคลอดสวีซื่ออวี้ที่แข็งแรงและร่าเริงออกมาอย่างราบรื่นได้”
เรื่องมาจนถึงตอนนี้ เค้าโครงก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
เพราะหยวนเหนียงค่อนข้างเข้มงวดกวดขันกับอี๋เหนียงทั้งสองที่เคยเป็นบ่าวรับใช้มาก่อน จึงส่งผลกระทบกับทัศนคติของบ่าวรับใช้ที่มีต่ออี๋เหนียงทั้งสอง ปัจจัยบางอย่างมักมาพร้อมกับผลลัพธ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาตามหลัง
ถึงแม้ว่าฉินอี๋เหนียงจะเป็นคนที่พูดไม่เก่งเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเลอะเลือน ภายใต้เจ้านายที่ฉลาดหลักแหลมเช่นไท่ฮูหยิน ท่านโหวและฮูหยินสอง นางจึงค่อนข้างขลาดกลัว แต่สืออีเหนียงเคยได้ยินคำพูดที่ฉินอี๋เหนียงใช้คุยกับเหวินอี๋เหนียงมาแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ฉลาดหัวไวเท่าไรนัก แต่ฉะฉานชัดเจน ถงอี๋เหนียงตกเลือด เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถึงแม้ว่านางจะกลัว และถึงแม้ว่าจะร้องไห้ก็ต้องร้องจนหยวนเหนียงตื่นให้ได้ถึงจะถูก แต่คำพูดของสาวใช้น้อยเพียงไม่กี่คำกลับทำให้นางไปหาป้าเถาอย่างง่ายดายเช่นนี้ อีกอย่างสาวใช้คนสนิทของป้าเถาบอกให้นางรอ นางก็รออยู่ตรงนั้นอย่างเชื่อฟังอย่างนั้นหรือ
เมื่อคิดถึงคำพูดของอี้อี๋เหนียงและความรู้สึกผิดที่ให้ฉินอี๋เหนียงไปเซ่นไหว้อนุของจวนคุณชายห้าที่เสียชีวิตไปแล้ว…
สืออีเหนียงพลันใจสั่นขึ้นมา รีบหันไปถามเหวินอี๋เหนียงว่า “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลังจากที่ท่านโหวกลับมาแล้ว ไท่ฮูหยินบอกเรื่องนี้กับท่านโหวว่าอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่…”
“รู้เจ้าค่ะ” เหวินอี๋เหนียงตอบกลับ “ไท่ฮูหยินบอกว่าครรภ์ของถงอี๋เหนียงไม่แข็งแรง เด็กในครรภ์พึ่งจะอายุสี่เดือนก็แท้งเสียแล้ว เพราะเป็นช่วงกลางดึก ตอนที่หมอเดินทางมาถึงก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว แม้แต่ชีวิตมารดาก็รักษาเอาไว้ไม่ได้”
“แล้วท่านโหวเล่า” สืออีเหนียงถามขึ้น “ท่านโหวไม่ได้ถามอะไรเลยหรือ”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง