ตอนที่ 447 คำถามอันเฉียบคมของหนิวลี่ลี่
หลังจากกินอาหารเที่ยงและงีบหลับสบายไปหนึ่งตื่น หลินม่ายก็ไปที่ศาลโดยลำพัง และเห็นว่าสื่อกับผู้คนที่มาร่วมฟังได้รวมตัวกันอยู่ที่หน้าศาลเป็นจำนวนมาก
หลินม่ายเองก็ไม่ได้สนใจ นึกว่านักข่าวและฝูงชนพวกนี้ทั้งหมดนั้นได้ข่าวจึงมากัน ไม่ได้คิดว่ากวนหย่งหัวเป็นคนเชิญมาแม้แต่น้อย
หนิวลี่ลี่เองก็มาด้วย พลันมองเห็นหลินม่ายทันทีในฝูงชนนั้น
หล่อนแอบทำท่าทางเป็นภาษามือว่าสู้ๆ นะให้หลินม่ายทีหนึ่ง
หลินม่ายส่งยิ้มสบายๆ อย่างมั่นใจให้กับหล่อน
กวนหย่งหัวเองก็มาแล้ว พร้อมกำลังรบจำนวนไม่น้อย ทั้งเลขาผู้ช่วยหลายคน และยังมีนักกฎหมายที่พามาจากฮ่องกงอีกด้วย
นอกจากนี้แล้ว ที่แขนยังควงหวังหรงสาวสวยที่แต่งหน้ามาอย่างประณีตงดงามคนนี้อีกต่างหาก
หวังหรงเห็นหลินม่ายก็เอามือปิดปากยิ้ม เพื่อให้เธอเห็นกำไลทองคำหนักอึ้งที่สวมอยู่บนข้อมือของตน
หวังหรงเห็นหลินม่ายมาตัวคนเดียว ก็เอ่ยถากถาง “นี่เธอจนขนาดนี้เชียวเหรอ ไม่มีทั้งผู้ช่วย ไม่มีทั้งเลขา?”
หลินม่ายย้อนเสียดสีกลับ “หรือว่าพาคนมาเยอะแล้วจะชนะคดีได้? อายุเธอก็ไม่น้อยแล้ว ยังจะไร้เดียงสาขนาดนี้อีกเหรอ?”
หวังหรงโกรธแทบดิ้นตาย หล่อนเพิ่งจะอายุยี่สิบกว่า อายุไม่น้อยแล้วอะไรกัน?
แต่ก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดพวกนั้นตอกกลับไปได้ เพราะหลินม่ายอายุน้อยกว่าหล่อนหลายปี
กวนหย่งหัวมองหลินม่ายอย่างพินิจ
แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยเห็นหลินม่ายอยู่สองสามครั้ง แต่ก็แค่เหลือบมองอย่างไวๆ หรือมองเห็นจากไกลๆ เท่านั้น
ไม่เหมือนกับตอนนี้ ที่ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันขนาดนี้ จึงมองเธอได้อย่างชัดเจนมาก
แม้ก่อนหน้านี้เขาก็รู้สึกว่าหลินม่ายนั้นสวยมากอยู่แล้ว แต่เมื่อได้เห็นใกล้ๆ ก็สวยยิ่งกว่าเสียอีก
เธอผู้ปล่อยผิวหน้าตามธรรมชาติไม่ได้ประโคมเครื่องประทินโฉมนั้นดูราวกับดอกโบตั๋น แต่กลับเป็นดั่งโบตั๋นขาวที่ถ่อมตัวและสง่างามที่สุดในบรรดาดอกโบตั๋น สง่างามและสูงส่งอย่างสุดจะพรรณนา
อีตัวที่ทำเป็นจีบปากจีบนิ้วอยู่ข้างกายตนนี้เมื่อเทียบกับหลินม่ายแล้วก็คือขยะเปียกที่ควรโยนทิ้งไปนี่เอง
หากไม่ใช่เพราะทั้งสองเป็นคู่แข่งกัน นอกจากนี้ยังเป็นศัตรูตัวฉกาจกันแล้ว กวนหย่งหัวก็อยากจะเป็นเพื่อนกับหลินม่ายจริงๆ
ใครไม่จะชอบคนสวยๆ กัน อีกทั้งยังเป็นสาวสวยที่เฉลียวฉลาดอีกด้วย
ทว่าอีกไม่นานสาวสวยผู้แสนฉลาดคนนี้ก็จะร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้ว
เมื่อถึงตรงนี้ กวนหย่งหัวก็มีความสุขเอ่อล้นขึ้นมาในใจ
หลังจากถูกหลินม่ายกดหัวจุ่มพื้นอยู่นานนม ก็ควรจะถึงคราวที่เขาจะได้เงยหน้าอ้าปากบ้างแล้ว
นักข่าวจำนวนมากแห่กันไปสัมภาษณ์หลินม่ายและกวนหย่งหัว ว่าใครลอกเลียนแบบใคร ใครใส่ร้ายใครกันแน่
ทั้งสองคนต่างก็แถลงอย่างเป็นทางการ
ซึ่งไม่ได้บอกว่าอีกฝ่ายลอกเลียนแบบตนเอง เพียงแต่ให้พวกเขาดูผลการตัดสินของศาล
พวกเขาเชื่อว่าศาลจะพิพากษาคดีออกมาอย่างเที่ยงธรรม และล้างมลทินให้ตน
ในขณะที่กลุ่มนักข่าวกำลังไม่พอใจเพราะค้นหารวบรวมสิ่งที่ต้องการมาไม่ได้ หนิวลี่ลี่ก็แทรกไปอยู่เบื้องหน้ากวนหย่งหัว แล้วสัมภาษณ์เขาขึ้นมา
“คุณกวนคะ ได้ยินว่าที่ผู้อำนวยการหูคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปถูกไล่ออกในครั้งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทของคุณด้วยเหรอคะ?”
ผู้ช่วยคนหนึ่งของกวนหย่งหัวตำหนิอย่างรุนแรง “สาวน้อย ในฐานะสื่อมวลชน กรุณาระวังคำพูดด้วย ถ้าคุณกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ก็อย่าโทษที่เราฟ้องหมิ่นประมาทคุณแล้วกัน!”
หลินม่ายได้ยินเช่นนั้นก็มองไปยังหนิวลี่ลี่อย่างตึงเครียดเล็กน้อย
เธอรู้สึกได้ลางๆ ว่าที่หนิวลี่ลี่ตั้งคำถามกับกวนหย่งหัวต่อหน้าสาธารณะชนนั้น คงจะทำไปเพื่อเธอนั่นเอง
แต่เธอไม่อยากให้หนิวลี่ลี่ต้องมีปัญหาเพื่อเธอเลย
แต่หนิวลี่ลี่กลับไม่ยอมถอยแม่แต่น้อย หล่อนเชิดคางขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “ฉันหรือคะพูดเหลวไหล? คณะกรรมการตรวจสอบวินัยตรวจสอบพบว่าบริษัทของคุณติดสินบนผู้อำนวยการหูไม่ใช่เหรอคะ? ฉันมีเอกสารที่เกี่ยวข้องอยู่นะคะ”
พูดดังนั้น หล่อนก็หยิบเอกสารที่เกี่ยวข้องนั้นออกมาจากกระเป๋าแสดงให้ทุกคนดู
ผู้ช่วยของกวนหย่งหัวพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาในทันใด
แต่หนิวลี่ลี่กลับซักไซ้ไล่เลียงอย่างไม่ยอมรามือ “มีคนบอกว่าบริษัทของคุณติดสินบนผู้อำนวยการหู เพื่อที่จะข่มเหงโรงงานเสื้อผ้า Unique ขอถามหน่อยค่ะ ว่าข่าวลือนี้เป็นความจริงหรือไม่คะ?”
กวนหย่งหัวกับพวกผู้ช่วยของเขาพลันไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไรไปชั่วขณะ
เพราะทุกสิ่งที่นักข่าวคนนั้นพูดนั้นล้วนเป็นความจริง ตอนที่ปี้ซิงผู้จัดการฝ่ายขายที่เป็นแพะรับบาปแทนกวนหย่งหัวอยู่ระหว่างการสอบสวนก็ได้ยอมรับไปแล้ว
หากพวกเขาปฏิเสธตอนนี้ นักข่าวหญิงน่ารังเกียจคนนั้นอาจจะควักหลักฐานที่พิสูจน์ว่าพวกเขาพูดโกหกออกมาอีกก็ได้ อย่างนั้นพวกเขาจะไม่เป็นการตบหน้าตัวเองอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ?
นอกจากนี้ยังตบหน้าตัวเองต่อหน้าสาธารณะชนอีกด้วย
แต่หากยอมรับ……มันก็ดูไม่เหมาะสมเหมือนกัน…
นี่มันคำถามโลกแตกชัดๆ ลูกน้องแต่ละคนไม่มีใครกล้าปริปากทั้งนั้น
แต่ถ้าไม่พูดก็ดิ้นไม่หลุดแล้ว นักข่าวหลายสิบคนรุมล้อมกรอบพวกเขาอยู่นี่นา
กวนหย่งหัวนึกเสียใจขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่านักข่าวในแผ่นดินใหญ่น่ารำคาญไม่ต่างจากนักข่าวของฮ่องกง เขาก็คงไม่เรียกพวกนักข่าวมาร่วมฟังการพิจารณาคดีหรอก
นี่มันยกหินมาทับเท้าตัวเองจริงๆ เลย แถมยังเจ็บสุดๆ ด้วย
ลูกน้องคนนั้นต่อให้ตายก็ไม่ยอมปริปาก แต่ในฐานะผู้จัดการใหญ่ของเสื้อผ้าซีม่านแล้วจะถอยไม่ได้
กวนหย่งหัวแสร้งทำเป็นกระแอมไอ แล้วพูดอ้อมไปอ้อมมา “การติดสินบนผู้อำนวยการหูนั้น ทั้งหมดเป็นพฤติการณ์เฉพาะบุคคลของปี้ซิงอดีตผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทครับ แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะเป็นความจริง แต่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทของเราเลยครับ”
หนิวลี่ลี่ส่งเสียง“หา?” ขึ้นมาพลางกลั้วหัวเราะ แล้วพูดอย่างแฝงความนัย “อดีตผู้จัดการฝ่ายขายของคุณทุ่มเทให้กับบริษัทของคุณเสียอีกนะคะเนี่ย ถึงกับควักเงินมากมายตั้งหลายพันหยวน เพื่อติดสินบนกับผู้อำนวยการหูด้วยชื่อของเขาเอง เพียงแต่พนักงานที่ภักดีขนาดนี้ ทำไมถึงได้กลายเป็น ‘อดีตผู้จัดการฝ่ายขาย’ ไปได้กันนะ บริษัทเสื้อผ้าซีม่านของพวกคุณไล่เขาออกแล้วเหรอคะ? แบบนี้มันไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้วนะคะ!”
กวนหย่งหัวสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
นักข่าวหญิงโฉมหน้าอัปลักษณ์คนนี้ฝีปากคมกริบเกินไปแล้ว เขาไม่สามารถหยุดฝีปากของหล่อนได้เลย
แต่จะไม่หยุดก็ไม่ได้ ตรงนี้มีนักข่าวเยอะขนาดนี้ ถ้าเขาไม่อธิบายอย่างสมเหตุสมผล พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่านักข่าวเวรตะไลพวกนี้จะเอาข่าวไปเขียนอย่างไร
เขาให้ค่าตอบแทนกับปี้ซิงไปตั้งเยอะ แถมลงทุนลงแรงไปตั้งมากมายเพื่อล้างมลทินให้กับซีม่านของตน ถ้าถูกนักข่าวเอาไปเขียนมั่วซั่วลงหนังสือพิมพ์ ที่ทำมาจะไม่เสียเปล่าหรอกเหรอ?
กวนหย่งหัวแสดงสีหน้าองอาจผึ่งผาย “ปี้ซิงกระหายความสำเร็จและผลประโยชน์มากเกินไป อยากจะแสดงผลงานต่อหน้าผม ดังนั้นถึงได้ทำพลาดพลั้งไป แต่เมื่อพลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว ไม่สามารถผ่อนปรนให้ผู้กระทำผิดเพราะเขาทำผิดพลาดเพื่อบริษัทได้ ควรไล่ออกก็ต้องไล่ออก!”
หนิวลี่ลี่เห็นเขาเลี่ยงหนักไปหาเบา ไม่อธิบายว่าปี้ซิงนั้นเอาเงินมากมายขนาดนั้นไปติดสินบนผู้อำนวยการหูและจ่ายค่าปรับจำนวนมากได้อย่างไร พูดเพียงเรื่องที่เขาทำพลาด หล่อนก็หัวเราะฮ่าๆ แล้วจงใจเอ่ยเน้นย้ำเรื่องที่ปี้ซิงมีเงินเยอะอีกครั้ง
“ฉันเพิ่งจะเคยเห็นผู้จัดการฝ่ายขายอยากได้ผลงานจนควักกระเป๋าตัวเอง ติดสินบนเจ้าพนักงานตั้งหลายพันหยวน และหลังจากนั้นก็จ่ายค่าปรับหนักอีกเป็นหมื่น ในเมื่อมีเงินมากมายขนาดนี้ ยังต้องออกมาทำงานให้คนอื่นอีกเหรอคะ?”
คำพูดนี้ของเธอทำให้นักข่าวและฝูงชนในที่นั้นพากันวิพากษ์วิจารณ์
มีบางคนหัวเราะเยาะขึ้นมา “ผู้จัดการฝ่ายขายคนนั้นจะต้องเป็นพวกโง่เงินเยอะแน่ๆ”
ใครอีกคนพูดขึ้น “ถ้าเป็นคนโง่จริงๆ ก็คงไม่คิดถึงขนาดไปติดสินบนเจ้าพนักงานหรอก ต้องเป็นแพะรับบาปแน่ 80 เปอร์เซ็นต์”
หลินม่ายฟังแล้วก็รู้สึกขบขันอยู่ข้างๆ
สติปัญญาของผู้คนนั้นน่าประหลาดใจตามคาด ความจริงถูกเปิดเผยด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
เธอโน้มตัวเอ่ยเสียงเบาที่ข้างตัวกวนหย่งหัว “แม่แฟนสาวแจกันดอกไม้ของคุณนี่ใช้ไม่ได้เลยนะคะ ถ้าฉลาดสักนิดก็คงรับโทษแทนคุณไปแล้ว แค่บอกว่าหล่อนไม่อยากให้ซีม่านถูก Unique กลั่นแกล้ง ดังนั้นจึงบงการให้ผู้จัดการฝ่ายขายของคุณคนนั้นทำแบบนั้น คุณก็ไม่ต้องเสียแรงอธิบายแล้ว”
พูดจบเธอก็เยื้องกรายจากไปและเดินเข้าไปในศาล
แม้กวนหย่งหัวเองก็เป็นนักธุรกิจ ไม่ได้ถูกใครยุยงได้ง่ายๆ แต่นับวันเขาก็ยิ่งเกลียดหวังหรงขึ้นทุกวัน เมื่อคนอื่นบอกว่าหล่อนไม่ดีแค่นิดเดียว มันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างไร้ที่สิ้นสุดสำหรับเขา
ด้วยเหตุนี้คำพูดสองสามคำนั้นของหลินม่ายจึงปลุกปั่นเขาได้ไม่น้อย ในใจเองก็ยิ่งรู้สึกเกลียดชังหวังหรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ไม่ได้เผยออกมาทางสีหน้าเท่านั้น
น้ำเสียงที่หลินม่ายพูดเมื่อครู่นั้นแม้จะเบามาก แต่หวังหรงก็อยู่ข้างกายกวนหย่งหัว
ดังนั้นสิ่งที่หลินม่ายพูด หล่อนจึงได้ยินไม่ขาดตกไปแม้แต่คำเดียว พลันโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา
แต่หญิงเจ้าเล่ห์คือหญิงเจ้าเล่ห์ หวังหรงจึงไม่เอะอะโวยวายต่อหน้ากวนหย่งหัว
หล่อนพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด “พี่กวน ฉันช่างไร้ประโยชน์จริงๆ ค่ะ แม้แต่วิธีการที่คู่แข่งของพี่คิดได้ ฉันกลับคิดไม่ถึง”
กวนหย่งหัวตบมือลงบนหลังมือเล็กของหล่อนเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ผมเป็นคนมอบความสุขให้กับคุณ ไม่ได้จะให้คุณมาคลายกังวลให้ผม อย่าคิดฟุ้งซ่านเลยนะ”
แต่สิ่งที่คิดในใจคือ เมื่อใดที่ใช้ประโยชน์จากยัยแจกันดอกไม้นี่ดูแลอาการป่วยของลูกสาวเขาหายดี ก็ค่อยกำจัดหล่อนทิ้ง
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ยกที่ 1 ม่ายจื่อชนะ รอดูยกต่อๆ ไปนะคะว่าจะกลับมาแก้ลำได้ไหม
หวังหรงจะรอดไหม จะเป็นยัยหรงตายแน่ ตายแน่ยัยหรงหรือเปล่านะ?
ไหหม่า(海馬)