สืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋ถูกไท่ฮูหยินและถูกป้าตู้หัวเราะไปยกใหญ่ ต่างก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงโดนหัวเราะ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยนและสวีซื่อเจี้ยก็ได้มาเยี่ยมสวีซื่อจุน ไท่ฮูหยินจึงเรียกให้สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงไปนั่งเล่นที่ห้องปลายสุดทางทิศตะวันออก
“อี้อี๋เหนียงออกไปแล้ว ฉินเกอเอ๋อร์กับเจี่ยนเกอเอ๋อร์ก็พักที่ลานนอก เรือนของครอบครัวคุณชายสามก็จะว่างขึ้น” ไท่ฮูหยินนั่งลงบนตั่งนั่งเหม่ยเหริน จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “ข้าว่า ดูจากสะใภ้สามที่ทั้งเก่งและฉลาดหลักแหลม ข้าวของที่ควรเก็บก็คงจะจัดเก็บเรียบร้อยหมดแล้ว จะได้ไม่ต้องคอยพะวงหน้าพะวงหลังว่าใครจะแอบหยิบข้าวของติดมือไปด้วย” พูดจบก็หันไปมองสืออีเหนียง “ข้าว่าหาป้ารับใช้ที่ใช้แรงงานสักสองคนไปช่วยเฝ้าดูแลโต๊ะบูชาและม้านั่งหินก็พอแล้ว!”
นานๆ ทีไท่ฮูหยินจะอารมณ์ดีและหยอกล้อฮูหยินสามเช่นนี้
สืออีเหนียงจึงตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ แล้วถามขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ข้าได้ยินมาว่าหลายวันมานี้ฉินอี๋เหนียงไม่ค่อยสบายอย่างนั้นเหรอ”
สืออีเหนียงชะงักไปชั่วขณะ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามองสวีลิ่งอี๋
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋ยังคงนิ่งสงบ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ตอบกลับอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นเคย
สืออีเหนียงแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ กำลังจะตอบกลับไท่ฮูหยิน แต่จู่ๆ ไท่ฮูหยินกลับพูดกับสืออีเหนียงก่อนว่า “หากว่าป่วยก็รีบรักษา ปล่อยทิ้งไว้นานวันเข้าจะกลายเป็นโรคร้ายแรงขึ้นมาได้ เรื่องนี้เจ้าต้องใส่ใจและจำเอาไว้ให้ดี ฉินอี๋เหนียง เหวินอี๋เหนียง เฉียวอี๋เหนียงและหยางอี๋เหนียงที่อยู่ในเรือนของเจ้า โดยเฉพาะหยางอี๋เหนียงที่ได้รับพระราชทานจากฮองเฮาที่สิ้นพระชนม์แล้ว ยิ่งต้องห้ามประมาทเลินเล่อโดยเด็ดขาด หากผ่านไปสองสามวันแล้วอาการของฉินอี๋เหนียงยังไม่ดีขึ้น ก็ให้ย้ายไปพักที่เรือนจวินจื่อเซวียนหลังสวนดอกไม้แทน หากว่ายังไม่ดีขึ้นอีก ก็ให้ย้ายไปอยู่ที่เขาลั่วเย่ว์สักระยะหนึ่ง ตอนที่อวี้เกอเอ๋อร์กลับมาจะได้ไม่ต้องมาเห็นฉินอี๋เหนียงนอนป่วยและเห็นนางอยู่เบียดเสียดกับคนอื่นๆ เขาจะไม่สบายใจเอาได้”
เวลานี้เอง บรรยากาศในห้องก็เต็มไปด้วยความเงียบเชียบ
สืออีเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขานรับไปว่า “เจ้าค่ะ” แต่สายตาก็ยังไม่วายที่จะเหลือบไปมองสวีลิ่งอี๋
แต่สวีลิ่งอี๋กลับกำลังจ้องมองนางอยู่แล้ว
สายตาของทั้งสองสบกันกลางอากาศเข้าโดยบังเอิญ
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าให้สืออีเหนียงเบาๆ
*****
อี้อี๋เหนียงออกจากจวนไปได้ไม่นาน สืออีเหนียงก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
บรรดาอี๋เหนียงพากันมาคารวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงจึงได้ถามถึงอาการป่วยของฉินอี๋เหนียงขึ้นมา “หลายวันก่อนเห็นว่าไม่ค่อยสบาย ช่วงนี้อาการดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ข้าว่าสีหน้าของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก”
ฉินอี๋เหนียงสวมเสื้อสีขาวซ้อนทับด้วยเสื้อกั๊กสีแดงเลือดหมู พลอยทำให้สีหน้าของนางยิ่งดูซีดเซียวเข้าไปกันใหญ่
“ขอบคุณฮูหยินที่ห่วงใยเจ้าค่ะ” นางรีบพูดขึ้น “ข้าป่วย ฮูหยินให้ข้าหาหมอมารักษา ทานยาลูกกลอนเซียวเข่อเซิงไปจำนวนหนึ่ง ตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้ว”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็หันไปพูดกับเหวินอี๋เหนียงว่า “นี่ก็จะถึงเทศกาลวันหกค่ำเดือนหกแล้ว ยังดีที่ช่วงนี้ข้าอยู่ที่เรือนของไท่ฮูหยินพอดี งานแต่งของชิวหงจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว กำหนดสถานที่แต่งงานแล้วหรือยัง”
บิดามารดาของชิวหงล้วนแล้วแต่ติดตามเหวินอี๋เหนียงมาจากหยางโจว เพราะได้รับอนุญาตจากไท่ฮูหยินจึงไม่ต้องย้ายเข้าจวนสกุลสวี แต่เหวินอี๋เหนียงเองไม่มีสินเดิม ดังนั้นจึงรับการเลี้ยงดูจากจวนสกุลเหวินแทน ช่วยเหวินอี๋เหนียงไปทำธุระเกี่ยวกับการค้าขายข้างนอกบ้างเป็นครั้งคราว หลังจากที่เหวินอี๋เหนียงออกมาจากจวนสกุลเหวินแล้ว จวนสกุลเหวินก็ต้องการให้ชิวหงและครอบครัวย้ายกลับไปที่หยางโจว แต่บิดาของชิวหงถือคติที่ว่า ‘ตั้งแต่สมัยโบราณเป็นต้นมา บ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์จะไม่ปรนนิบัติรับใช้เจ้านายสองคน’ มาเป็นเหตุผล จึงให้ชิวหงอยู่ปรนนิบัติรับใช้เหวินอี๋เหนียง ส่วนบิดาของนางก็ลาออกไป เบื้องหน้าคือออกไปเปิดร้านขายสินค้าของทางเหนือและทางใต้อยู่ที่เขตจี่หนาน แต่ความเป็นจริงนั้นคือการออกมาช่วยดูแลกิจการการค้าข้างนอกของเหวินอี๋เหนียง ครั้งนี้ชิวหงแต่งงานค่อนข้างกะทันหันและกระชั้นชิด บิดาของนางได้ออกไปทำธุระของธุรกิจการค้าพอดี เหวินอี๋เหนียงเองไม่มีสินเดิม และชิวหงเองก็ไม่สามารถแต่งออกจากจวนได้ ดังนั้นสืออีเหนียงจึงได้ถามนางเช่นนี้
เหวินอี๋เหนียงจึงยิ้มพลางรีบพูดขึ้นว่า “นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าทำไม่ถูก ข้าเห็นว่าช่วงนี้ฮูหยินยุ่งมาก จึงกลัวว่าท่านจะรำคาญใจ ก็เลยไม่ได้แจ้งเรื่องนี้กับฮูหยินให้ละเอียด ชิวหงได้ไหว้ป้าซ่งเป็นแม่บุญธรรม จึงแต่งงานออกเรือนจากบ้านของป้าซ่งแทน ส่วนเรื่องงานแต่ง ทั้งสองฝ่ายได้ทำการตกลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้รอแค่ถึงเวลาที่จะเดินทางไปบ้านฝ่ายชายเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หยางอี๋เหนียงได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับแสดงความยินดีกับเหวินอี๋เหนียง และยังได้พูดอีกว่าประเดี๋ยวจะไปเย็บปักถักร้อยเพื่อใช้เป็นสินเดิมให้กับชิวหง
“งานมงคลก็จะต้องมีความครึกครื้น” เหวินอี๋เหนียงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจ นางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเองก็อยากเชิญพวกเจ้าไปนั่งเล่นที่เรือนของข้าด้วย”
ตั้งแต่ได้ยินว่าอี้อี๋เหนียงถูกส่งไปที่ซานหยางในเช้าวันนี้ ฉินอี๋เหนียงที่รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนกับได้ทานยาที่ทำให้จิตใจสงบลงไปชั่วขณะ
ตอนที่ถงอี๋เหนียงเสียชีวิตไปพร้อมกันทั้งสองแม่ลูก ต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดถูกชี้ไปที่หยวนเหนียงคนเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นสวีลิ่งอี๋หรือไท่ฮูหยิน เพื่อชื่อเสียงเรียงนามของ ‘ฮูหยินแห่งจวนหย่งผิงโหว’ ไม่เพียงแต่สามารถสยบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ลงไปได้ แต่ยังสามารถทำให้ชีวิตประจำวันยังคงดำเนินไปได้อย่างปกติ
ตอนนี้ถึงแม้ว่าเรื่องพิธีสาปแช่งจะมีความเกี่ยวข้องกับนาง แต่หน้ากากที่ทำให้สวีซื่อจุนหวาดกลัวและถูกค้นพบตรงหลังห้องพักของเยี่ยนหรงนั้น สืออีเหนียงไม่อาจละเว้นความรับผิดชอบนี้ไปได้ เพื่อชื่อเสียงของ ‘ฮูหยินแห่งจวนหย่งผิงโหว’ สวีลิ่งอี๋คงจะต้องคิดหาวิธีที่จะทำเรื่องใหญ่นี้ให้เล็กลงและทำให้เรื่องเล็กสลายหายไปในที่สุดอย่างแน่นอน
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น เป็นเหมือนดังที่นางคิดไว้ไม่มีผิด
เริ่มจากการทำให้สวีซื่อจุนหวาดกลัว เกี่ยวเนื่องไปจนถึงเรื่อง ‘ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ’ หลังจากที่สยบเรื่องพิธีสาปแช่งไว้ ก็ได้ให้ถงอี๋เหนียงของครอบครัวคุณชายสามไปเป็นแพะรับบาปแทน บีบให้นาง เยี่ยนหรงและสืออีเหนียงออกมา…ตามความคิดของนาง หลังจากที่สวีลิ่งอี๋ส่งอี้อี๋เหนียงไปที่ซานหยางต่อหน้าทุกคนแล้ว ก็จะปลิดชีพเยี่ยนหรงอย่างเงียบๆ สุดท้ายก็คงมาถึงตาของนาง…
หากว่านางเป็นเหมือนเช่นเยี่ยนหรง เป็นเพียงแค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าคงจะถูกกำจัดไปอย่างเงียบๆ หากว่านางเป็นเหมือนเช่นถงอี๋เหนียงที่ไม่มีบุตรชาย ก็ย่อมถูกส่งออกไปตามคำสั่งอย่างแน่นอน แต่สำหรับนางมันไม่เหมือนกัน นางเป็นอี๋เหนียงที่ให้กำเนิดบุตรชาย
หากว่าบุตรชายคนนี้เติบโตขึ้นภายใต้การเลี้ยงดูของมารดาที่เป็นภรรยาเอก คนส่วนใหญ่ก็จะดูถูกดูแคลนนาง แน่นอนว่าการมีชีวิตอยู่และการตายของนางนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา หากว่าบุตรชายคนนี้เติบโตจากการเลี้ยงดูของแม่นม เขาก็จะไม่สนิทสนมกับนาง การอยู่หรือการตายของนางนั้นแลกมาซึ่งลมหายใจที่ถูกทอดถอนออกมาก็เท่านั้น แต่สำหรับนางแล้วไม่ใช่เลย ในตอนนั้นหยวนเหนียงตั้งอกตั้งใจที่จะมีบุตรชายเป็นของตัวเองสักคน จึงไม่ได้เห็นพวกนางสองแม่ลูกอยู่ในสายตาเลย
แม้ว่าเสือจะดุร้ายแค่ไหน แต่มันไม่เคยกินลูกตัวเองเป็นอาหาร
มีความสัมพันธ์ชั้นเชิงนี้ หากสวีลิ่งอี๋คิดอยากจะวางยานาง ก็จะต้องยืนหยัดบนความชัดเจนนี้ให้ได้ ไม่เพียงแต่ต้องยืนหยัดให้ได้เท่านั้น ยังต้องทบทวนอย่างละเอียดรอบคอบและถี่ถ้วนอีกด้วย…แต่แล้วกลับมีเรื่องการทำคุณไสยนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง มันจึงเป็นการยากที่จะนำเรื่องนี้ออกมาพูดอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา
มิเช่นนั้น เพียงแค่สวีซื่ออวี้โวยวายขึ้นมา…สกุลสวีก็จะขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน!
นี่ก็คือโชคชะตาชีวิต ก็เหมือนกับถงอี๋เหนียงที่แท้งบุตรในตอนนั้น เหมือนกับบุตรชายของชิวหลัวที่เสียชีวิตไป…นี่คือโชคชะตา โชคชะตาที่ผู้คนมิอาจจะหลบเลี่ยงได้
นางเองก็มีโชคชะตาเช่นนี้!
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ ฉินอี๋เหนียงก็ยิ้มขึ้นมาอย่างเบิกบาน
นางก็ได้หยิบยกคำพูดของเหวินอี๋เหนียงขึ้นมาพูด “ขอแค่เจ้าไม่รู้สึกว่าพวกข้ามาวุ่นวาย ถึงเวลานั้นพวกข้าก็จะไปช่วยสร้างความครึกครื้นให้กับเจ้าด้วย!”
นางอารมณ์ดีเช่นนี้!
เหวินอี๋เหนียงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ ถึงแม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่นางกลับเหลือบตาหันไปมองสืออีเหนียง
บนใบหน้าของสืออีเหนียงปรากฏรอยยิ้มจางๆ ไม่ได้แตกต่างจากปกติแต่อย่างใด
ในใจของเหวินอี๋เหนียงไม่สามารถหาคำตอบได้
การที่สวีซื่อจุนถูกทำให้หวาดกลัว เห็นได้ชัดว่ามีความเกี่ยวข้องกับฉินอี๋เหนียง แต่ตอนนี้ ฉินอี๋เหนียงไม่ได้ถูกกักบริเวณแล้ว อีกทั้งยังสามารถเข้านอกออกในได้อย่างอิสระ จะเป็นเหมือนดังถงอี๋เหนียงในตอนนั้นอีกครั้งหรืออย่างไรกัน เพราะจะมีความเกี่ยวเนื่องไปถึงสืออีเหนียง จึงต้องปล่อยเรื่องทิ้งไว้ทั้งอย่างนี้น่ะหรือ
“พวกเจ้ามาช่วยชิวหงเย็บปักถักร้อยเพื่อนำไปเป็นข้าวของสินเดิมให้กับชิวหง ข้าจะรู้สึกว่าวุ่นวายได้อย่างไรกัน!” จากนั้นนางก็ได้พูดต่ออีกมากมายก่ายกอง และก็ได้พูดถึงเรื่องงานแต่งของหู่พั่วขึ้นมา ว่าหลังจากจบงานแต่งของเยี่ยนหรง นางก็จะตั้งอกตั้งใจจัดการเรื่องงานแต่งของหู่พั่ว นางรับประกันว่าครึกครื้นและใหญ่โตกว่างานแต่งของชิวหงอย่างแน่นอน หยางอี๋เหนียงและฉินอี๋เหนียงเองก็คอยคล้อยตามอยู่ข้างๆ ใบหน้าของทุกคนต่างก็เปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม มีเพียงเฉียวเหลียนฝังที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา
นางกำลังกลัดกลุ้มใจเรื่องของซิ่วหยวน
ครั้งที่แล้วที่ไปหาป้าตู้ ถึงแม้ว่าป้าตู้จะต้อนรับขับสู้อย่างสนิทสนม แต่พอเอ่ยปากก็เอาแต่พูดว่านางนั้นอายุมากแล้ว ไม่รู้จักเด็กหนุ่มที่อายุน้อยๆ เลย นางบ่ายเบี่ยงทุกอย่างออกไปอย่างหมดจด ทางฝั่งท่านแม่ก็ไม่มีข่าวดีอะไรเลย หากไม่นับครอบครัวที่ยากจนข้นแค้น ก็มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่พอมีหน้าตาอยู่ในจวนเฉิงกั๋วกง แต่กลับมีข้อบกพร่องอย่างน่าเศร้า
นางจะยอมให้ซิ่วหยวนแต่งงานกับคนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ท่านแม่กลับบอกว่านางไม่ได้มองดีๆ
หนึ่งคือพวกนางไม่มีสินเดิมให้กับซิ่วหยวน สองคือซิ่วหยวนไม่มีเครือข่ายความสัมพันธ์เลย คนที่พอจะไปวัดไปวาได้หน่อยก็ไม่มีใครยินดีจะรับ
เฉียวเหลียนฝังครุ่นคิดและแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
จากนั้นก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “ฮูหยินสี่ มารดาของเฉาอานมาขอพบเจ้าค่ะ!”
ทุกคนต่างก็อึ้งไปตามๆ กัน
มารดาของเฉาอานเป็นแค่คนกวาดพื้นที่ลานนอก
“ให้นางเข้ามาเถิด!” ดูท่าแล้ว คงจะเป็นเยี่ยนหรงที่ไปส่งข่าวให้ทางสกุลเฉามาขอคนแล้วกระมัง
เป็นคนที่รอบคอบและระมัดระวัง การกระทำเด็ดเดี่ยวและฉลาดหลักแหลม เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ สืออีเหนียงก็แอบรู้สึกเสียดายขึ้นมาในใจ
หลังจากที่มารดาของเฉาอานกลับไปแล้ว เหวินอี๋เหนียงก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “ฮูหยิน ข้านึกไม่ถึงเลยว่าท่านจะตอบตกลงกับทางครอบครัวสกุลเฉา แต่ในเมื่อรับปากไปแล้ว ข้าขอพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยจะน่าฟังแต่ค่อนข้างมีเหตุผลเสียหน่อยเจ้าค่ะ ในเมื่อว่าที่พ่อสามีของนางป่วยหนักเช่นนี้ สกุลเฉาคงกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรขึ้นมากลางคันก็เลยรีบสู่ขอสะใภ้เข้าเรือนก่อน ข้าว่าในเมื่อชิวหงแต่งงานไปแล้ว ท่านก็ควรปล่อยเยี่ยนหรงไปดีกว่า นางจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาอีกสามปี”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ที่เจ้าพูดมามีเหตุผล”
เรื่องนี้จึงถูกตกลงเป็นที่เรียบร้อย
จู่ๆ ฉินอี๋เหนียงก็รู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เหตุใดถึงไม่จัดการกับเยี่ยนหรง
เพราะเรื่องบางเรื่องท่านโหวก็ไม่ได้พูดกับฮูหยิน หรือว่าท่านโหวไม่ได้ตั้งใจจะจัดการเยี่ยนหรงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?
เช่นนั้น อี้อี๋เหนียงเล่า…นางจะถูกส่งไปที่ซานหยางจริงๆ น่ะหรือ
ทุกสิ่งต่างจากที่นางคำนวณไว้อย่างสิ้นเชิง นางพลิกตัวไปมานอนไม่หลับทั้งคืน รู้สึกเป็นกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก
ครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายนางก็ตัดสินใจลุกขึ้นมาเขียนจดหมายใจความว่า ‘ที่จวนเกิดเรื่องใหญ่ เจ้ารีบกลับมาให้ไว’ เช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้นำตั๋วเงินมูลค่ายี่สิบตำลึงให้กับชุ่ยเอ๋อร์ “หาวิธีส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้คุณชายน้อยสอง หากว่าคุณชายน้อยสองกลับมาได้ เจ้าจะได้รับเงินรางวัลอีก!”
แต่ชุ่ยเอ๋อร์ได้นำจดหมายฉบับนี้ไปให้กับสืออีเหนียงแทน
สืออีเหนียงจึงให้หู่พั่วเป็นคนนำจดหมายฉบับนี้ไปส่งให้สวีลิ่งอี๋ด้วยตัวเอง
สวีลิ่งอี๋อ่านดูคร่าวๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้หู่พั่วนำกลับไปให้สืออีเหนียง “ให้นางส่งจดหมายฉบับนี้ออกไปเถิด! เช่นนี้ ต่อไปภายภาคหน้า ข้าก็จะสามารถพูดเรื่องนี้กับอวี้เกอเอ๋อร์ได้อย่างเต็มปาก”
สืออีเหนียงเศร้าสลดอย่างเห็นได้ชัด ให้หู่พั่วนำจดหมายฉบับนี้ไปคืนให้ชุ่ยเอ๋อร์ “หากไม่มีคนช่วยส่งจดหมาย เจ้าก็ช่วยฉินอี๋เหนียงคิดหาวิธีส่งจดหมายฉบับนี้ออกไปด้วย”
หู่พั่วขานรับและถอยออกไป
ชุ่ยเอ๋อร์เองจึงสามารถออกไปส่งจดหมายฉบับนี้ได้อย่างราบรื่น
ฉินอี๋เหนียงจึงค่อยรู้สึกคลายกังวลใจลง แล้วตั้งอกตั้งใจท่องบทสวด ‘คัมภีร์หลักคำสอนฝ่าหวา’ ให้กับอี้อี๋เหนียงทั้งวัน
เพียงแต่ว่านางไม่เคยรู้เลย ว่าหลังจากที่ส่งอี้อี๋เหนียงขึ้นรถม้าเดินทางออกจากเมืองหลวงไปแล้ว รถม้าของอี้อี๋เหนียงก็ชนเข้ากับรถม้าอีกคันเข้าอย่างจัง รถม้าที่อี้อี๋เหนียงนั่งอยู่พลิกคว่ำตกลงไปในคูน้ำด้านข้าง อี้อี๋เหนียงโชคร้ายเป็นอย่างมาก หลังจากที่รถม้าถูกลากออกมาจากคูน้ำ อี้อี๋เหนียงก็ได้สิ้นใจไปแล้ว